Præsidenten (1919) : Carl Theodor Dreyer ♥♥♥
ผลงานเรื่องแรกของปรมาจารย์ผู้กำกับ Carl Theodor Dreyer นำเสนอเรื่องราวคนสามรุ่น วุ่นเวียนวนประสบเหตุการณ์คล้ายคลึงเดิมซ้ำถึงสามครั้งครา นั่นแปลว่าบางสิ่งอย่างเคยยึดถือมั่นคงมา สมควรต้องเรียนรู้จักการปรับเปลี่ยนแปลงเสียบ้างแล้วหนา
The President อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มีความโดดเด่นอะไร ยิ่งด้วยไดเรคชั่นเล่าเรื่องย้อนอดีต ทำให้ดูยากชิบหาย! ประกอบเนื้อหาสาระโคตรเข้มข้น ชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้าโดยง่าย ขอแนะนำเฉพาะผู้สนใจในผลงานผู้กำกับ Carl Thedor Dreyer หรือเคยอ่านนวนิยายของ Karl Emil Franzos … หารับชมได้ใน Youtube
ขออารัมบทถึงการเล่าเรื่องย้อนอดีต (Flashback) สักหน่อยก่อนแล้วกัน จุดเริ่มต้นได้น่าจะแรงบันดาลใจจากวรรณกรรม/นวนิยาย ซึ่งมีการทดลองกันมาอย่างเนิ่นยาวนานตั้งแต่ มหาภารตะ, รามายณะ, ตำนานแคนเตอร์บรี, พันหนึ่งราตรี ฯ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องแรกนำเสนอเทคนิคนี้คือ Histoire d’un crime (1901) กำกับโดย Ferdinand Zecca
สำหรับ Hollywood การนำเสนอภาพย้อนอดีตที่ถือว่าทรงอิทธิพลอย่างมาก คือสองผลงานชิ้นเอกของ D. W. Griffith เรื่อง The Birth of a Nation (1915) และ Intolerance (1916) โดยบัญญัติคำเรียกว่า ‘Switchback’ แต่กลับไม่มีใครเปลี่ยนมาใช้คำนี้
ส่วนในทวีปยุโรปก็มีการทดลองกับ
– The President (1919) เล่าย้อนอดีตจากหลายมุมมองตัวละคร
– The Phantom Carriage (1921) มีลักษณะ Flashback ซ้อน Flashback สองชั้น!
ฯลฯ
Carl Theodor Dreyer (1889 – 1968) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Danish เกิดที่ Copenhagen, Denmark มารดาเป็นคนรับใช้ตั้งครรภ์กับเจ้านายคลอดเขาออกมา แต่แล้วเมื่อกำลังจะมีคนที่สองพยายามทำแท้งแต่เลือดตกในเสียชีวิต สองปีแรกอาศัยอยู่ยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า กระทั่งว่าได้รับอุปการะเลี้ยงดูจากพ่อแม่บุญธรรม กระนั้นพวกเขาก็ไม่ใคร่สนใจใยดี เสี้ยมสอนสั่งให้รู้จักสำเหนียกระลึกบุญคุณต่ออาหารและหลังคาคลุมกะลาหัว ด้วยเหตุนี้พออายุ 16 จึงหลบหนีออกจากบ้าน ด้วยความเฉลียวฉลาดเรียนเก่งเลยได้ทำงานเป็นนักข่าว ตามด้วยเข้าสู่วงการภาพยนตร์ช่วงหนังเงียบ เป็นนักออกแบบ Title Card ตามด้วยพัฒนาบทในสังกัด Nordisk Film ตั้งแต่ปี 1912
หลังจากทำงานเขียนบทมาประมาณ 5 ปี วันหนึ่งเขียนจดหมายถึงโปรดิวเซอร์/เจ้าของสตูดิโอ Harald Frost
“when a man has been in one post for five years, one must either advance him or get rid of him”.
Dreyer ได้ซุ่มซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงจากนวนิยาย Der Präsident (1884) แต่งโดย Karl Emil Franzos (1848 – 1904) นักเขียนสัญชาติ Austrian แล้วลงมือพัฒนาบทภาพยนตร์ด้วยตนเองไม่รีรอใคร ซึ่งพอสตูดิโอถามมีโปรเจคใดสนใจ ก็ยื่นบทนี้ให้โดยทันที
ดำเนินเรื่องราวจากมุมมองของ Karl Victor von Sendlingen ขุนนาง/ผู้ดี ชนชั้นสูงชาว Danish
– เริ่มต้นเมื่อตอนยังหนุ่มแน่น บิดา Franz Victor von Sendlingen ชักชวนออกมาเดินเที่ยวเล่นริมเศษซากปรักหักพังอดีตปราสาทของตระกูล เล่าเรื่องตนเองเมื่อครั้นอดีตแต่งงานกับภรรยาที่เป็นสามัญชน เสี้ยมสั่งสอนและให้ Karl ปฏิญาณตนว่าจะไม่กระทำการอันโง่เขลานั้นเป็นอันขาด
– สามสิบปีถัดมา Karl ได้กลายเป็นหัวหน้าผู้พิพากษา (The President) หลังเดินทางกลับจากวันหยุดพักผ่อน พบเห็นหนึ่งในคดีความที่ยังค้างคา มีชื่อบุตรสาว Victorine Lippert ถูกกล่าวหาว่ากระทำการเข่นฆาตกรรมทารกน้อยในไส้ นั่นทำให้เขาหวนระลึกนึกถึงอดีตเมื่อตอนที่ตนตกหลุมรักหญิงสามัญชน Hermine Lippert ทำเธอตั้งครรภ์แต่เลือกไม่แต่งงานเพราะคำปฏิญาณที่มีไว้ต่อบิดา
– เมื่อ Victorine Lippert ขึ้นให้การบนชั้นศาล ทนายความ Georg Berger ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Karl ได้เล่าอดีตเบื้องหลัง สาเหตุผลการกระทำดังกล่าว เพราะเธอตกหลุมรักหนุ่มชนชั้นสูงคนหนึ่ง แต่ถูกเขาทอดทิ้งขว้างและขับไล่ออกจากบ้าน … แต่ถึงอย่างนั้นเธอยังได้ตัดสินโทษประหารชีวิต
– ความรู้สึกผิดของ Karl ที่พานพบเห็นเรื่องราวเวียนวนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงตัดสินใจให้ความช่วยเหลือพาบุตรสาวหลบหนีออกนอกประเทศ
– สามปีถัดมา Victorine พานพบเจอรักครั้งใหม่กับ Weyden เจ้าของสวนพฤษศาสตร์จากอินโดนีเซีย กำลังจะเข้าพิธีสมรสในอีกไม่ช้านาน
– หลังจากส่งตัวบุตรสาวไปอยู่กับสามีใหม่ Karl ตัดสินใจหวนกลับสู่ Denmark ต้องการสารภาพความผิดทั้งหมดที่เคยก่อ แต่ถูกโน้มน้าวให้ล้มเลิกความตั้งใจ สุดท้ายเลยตัดสินใจฆ่าตัวตายยังซากปรักหักพัง ณ ปราสาทของตระกูล
เนื่องจากผมไม่สามารถหารายละเอียดนักแสดงได้เลย แต่ก็ไม่มีใครโดดเด่นเจิดจรัสพอให้พูดกล่าวถึงอีกด้วย นั่นเพราะยุคสมัยนั้นเน้นเพียงภาพ/รูปลักษณ์ และการขยับเคลื่อนไหวร่างกาย ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกตัวละครออกมาเท่านั้น มิได้มุ่งเน้นความสมจริงจังจับต้องได้แต่ประการใด
ถ่ายภาพโดย Hans Vaagø, แทบทั้งหมดของหนังที่เป็นการตั้งกล้องทิ้งไว้ กำหนดขอบเขตซ้ายขวา จัดวางตำแหน่ง/องค์ประกอบ นักแสดงเดินเข้าออก … คือข้อจำกัดของยุคสมัยทำได้เพียงเท่านี้
บางฉบับของหนังมีการปรับโทนสีสัน ซึ่งก็เพียง Amber (ฉากตอนกลางวัน/ในบ้านมีแสงสว่าง) และ Blue (ฉากตอนกลางคืน/มืดมิด)
การเลือกมุมกล้อง หลายครั้งแลดูน่าพิศวงสงสัย งดงามดั่งภาพวาดศิลปะ แฝงนัยยะความหมายซ่อนเร้นบางอย่าง อาทิ
– เด็กๆวิ่งเล่นท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง ณ ปราสาทของตระกูล สะท้อนถึงการล่มสลายของระบอบชนชั้น ขุนนาง แต่คนเกิดในตระกูลสูงยังคงเอ่อล้นด้วยความเย่อหยิ่งทะนงตน อ้างอวดดี ว่าฉันมีคุณค่าศักดิ์ศรีเหนือกว่าสามัญชน
– ย้อนอดีตของบิดา ขณะกอดจูบสาวสามัญชนสังเกตว่าถ่ายมุมก้มจากฟากฟ้า ซึ่งจะแตกต่างตรงกันข้ามกับ Karl ขณะกำลังจุมพิตสาวพบเห็นเพียงเงาบนลำธาร … นี่ราวกับว่าคือภาพสะท้อน ย้อนวันวาน ไม่ว่าจากมุมมอง/ยุคสมัยไหนล้วนไม่แตกต่าง
– การเฉลิมฉลองด้วยไฟยามค่ำคืน เพื่อสะท้อนความโชติช่วงชัชวาลย์ของคุณธรรมความดีงาม (ของ Karl) แม้ในยามค่ำคืนยังส่องสว่างจร้า (แต่ทั้งหมดนั่นก็คือภาพลวงตาที่มองเห็นจากเปลือกนอกเท่านั้นเอง)
– ไก่ = สัญลักษณ์ของการปลุกตื่น กระจ่างแจ้งต่อข้อเท็จจริง, สุนัขสามตัว สักขีพยานการแต่งงาน แทนได้ด้วยสามผู้เสียชีวิต (บิดา-ภรรยา-หลานสาว) หรือจากสามเหตุการณ์ย้อนอดีตที่พานผ่านมา
ตัดต่อไม่มีเครดิต แต่น่าจะโดย Carl Theodor Dreyer, ดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองของ Karl Victor von Sendlingen ซึ่งจะมีทั้ง Time Skip และ Flashback กระโดดสลับไปมาอย่างชวนมึน
Time Skip พบเห็นสองครั้ง
– Karl เมื่อครั้นยังหนุ่มแน่น กระโดดไปข้างหน้า 30 ปี เมื่อเติบโตใหญ่ กลายเป็นหัวหน้าผู้พิพากษา ได้รับการยกย่องนับถือใต้หล้า
– หลังจากที่ Karl ให้ความช่วยเหลือบุตรสาว Victorine หลบหนีออกจากคุก กระโดดไปข้างหน้า 3 ปี ถึงวันที่เธอกำลังจะแต่งงาน
ส่วน Flashback จะพบเห็นสามครั้งครา
– ครั้งแรกรับฟังจากบิดา Franz Victor von Sendlingen
– ครั้งสอง Karl เล่าให้เพื่อนสนิท Georg Berger ถึงอดีตของตนเอง
– ครั้งสาม Georg Berger เล่าแทนเรื่องราวของ Victorine Lippert
สำหรับ Title Card มีการใช้อย่างประหยัด … เกินไปนิด! หลายครั้งที่ผู้ชมต้องสังเกตการกระทำของนักแสดงเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราว อาทิ
– บิดาขอบุตรชายให้ปฏิญาณตนว่าจะไม่แต่งงานกับสามัญชน เมื่อ Title Card เคลื่อนผ่านไป พอพบเห็น Karl ยกมือขึ้น -ซึ่งก็แปลว่าตอบตกลง กำลังจะปฏิณาณ- ยังไม่ทันไรพ่อก็ทรุดล้มลงถึงคราตายโดยทันที
– ผู้ช่วยผู้พิพากษา ซักถาม Karl ว่าจะขึ้นตัดสินคดีความแทนตนได้หรือไม่ หรือจากครุ่นคิดอยู่นานทำท่าส่ายหัว ไม่มีขึ้นคำอธิบายใดอื่น -ก็แปลว่าบอกปัดปฏิเสธ-
ฯลฯ
ความรักต่างชนชั้น และการลดตัวไปแต่งงานกับสามัญชน เป็นสิ่งที่ผู้ดีมีสกุลสมัยก่อนมองว่าไม่เหมาะสม สูญเสียเกียรติ ขายขี้หน้า! แต่ถึงอย่างนั้นตระกูล Victor von Sendlingen ตั้งแต่รุ่นพ่อ ลูก และหลาน ต่างมิอาจหักห้ามใจตกหลุมรักหญิงสาวชาวบ้าน แถมน้ำเชื้อแรงได้ทายาทกลับคืนมา
เฉกเช่นนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อันใดในคำสัตย์ปฏิญาณที่เคยให้ไว้? เมื่อได้ยินมา พานพบเห็น และประสบเข้ากับตนเอง รับล่วงรู้ว่าทั้งหมดคือคำลวงหลอก กลับกลอก ไร้สาระ ทำไมคนต่างชนชั้นจะตกหลุมรัก แต่งงาน ครองคู่อยู่ร่วมกันไม่ได้!
ทัศนคติดังกล่าวของผู้กำกับ Carl Thedor Dreyer และเจ้าของนวนิยาย Karl Emil Franzos เห็นสอดพ้องไปในทิศทางเดียวกันถึงความเสื่อมในระบอบขุนนาง/ชนชั้น ไม่ใช่แค่ประเทศ Austria หรือ Denmark แต่ยังทั่วทั้งทวีปยุโรปที่ยุคสมัยนั้นยังปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย กำลังใกล้ถึงจุดสิ้นสุดล่มสลายเต็มทน
The President คือคำกว้างๆที่หมายถึง หัวหน้า/ประธาน ตัวแทนบุคคล ผู้คอยควบคุมดูแล ปกครองคนอื่นใต้สังกัด, ในบริบทของหนัง ตัวละครไม่เพียงทำหน้าที่หัวหน้าผู้พิพากษาศาล แต่ยังรวมถึงผู้นำครอบครัว ซึ่งถือว่ามีนัยยะใจความสะท้อนกันและกัน
บิดา Franz คือตัวแทนบรรพบุรุษ คนรุ่นก่อน ที่พยายามปลูกฝัง เสี้ยมสั่งสอน สร้างทัศนคติ กฎกรอบเกณฑ์ทางสังคม ให้ลูกหลาน/คนรุ่นหลัง ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกัน ซึ่งมักเป็นสิ่งที่พวกตนเองเคยกระทำผิดพลาด ออกนอกลู่นอกรอย ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม
สำหรับ Karl แรกเริ่มพยายามยึดถือมั่นคำสอนสั่งของพ่อ แต่เมื่อจุดๆหนึ่งมิอาจหักห้ามความต้องการตนเอง พบเห็นต่อเนื่องไปถึงลูกหลาน ทำให้ค้นพบ/ตระหนักได้ว่าทัศนคติ กฎกรอบเกณฑ์ดังกล่าวเป็นสิ่งไม่ถูกต้องสากล อะไรๆจึงสมควรแก่เวลาต้องปรับเปลี่ยนแปลง
แต่ทั้งนั้นในระดับมหภาค การเผชิญหน้ายินยอมรับความจริง ไม่ใช่สิ่งสามารถเปิดเผยออกโดยง่าย เพราะเมื่อ Karl ต้องการสารภาพทุกอย่างออกไป กลับถูกปฏิเสธต่อต้าน แถมโดนข่มขู่ Blackmail เพราะสถาบันสังคมจำเป็นต้องมี ‘ภาพ’ ที่มั่นคง รอยด่างเพียงเล็กน้อยก็อาจสั่นคลอนรากฐานทั้งระบบ
แต่ท้ายที่สุดนั้นสำหรับ Karl เพราะเคยได้ให้คำสัตย์ไว้กับบิดา และการปรับเปลี่ยนแปลงภายใน ทำให้เกิดความขัดแย้งต่ออุดมการณ์แห่งชีวิต เขาจึงมิอาจอดรนทนฝืนอยู่ต่อได้ ต้องการรับผิดชอบการกระทำ แต่สังคมก็มิอาจยินยอมรับข้อเท็จจริง สุดท้ายเลยต้องกระทำอัตวินิบาต ตกตึกตายไปพร้อมปราสาทในสภาพปรักหักพัง
บิดาบุญธรรมของผู้กำกับ Carl Thedor Dreyer แม้จะไม่ชอบขี้หน้า แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตเขาเหลือหลาย พบเห็นบ่อยครั้งในผลงานภาพยนตร์ นิยมควบคุม ครอบงำ สร้างค่านิยมผิดๆ จริตเผด็จการ หลงผิดมาตั้งนาน คำสั่งสอนเหล่านี้เราควรฝึกฝนแบบ ‘ฟังหูไว้หู’ และเมื่อโตขึ้นก็ครุ่นคิดด้วยสติปัญญา ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องคล้องตามทุกสิ่งอย่าง
เมื่อตอนหนังเสร็จออกฉาย ผู้กำกับ Dreyer ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมรอบปฐมทัศน์กับโปรดิวเซอร์ สร้างศัตรูให้กับตนเองด้วยเหตุผล
“My work is too dear to me, and too seriously meant for me to be bothered by listening to two different and unimportant opinions”.
ส่วนตัวค่อนข้างชื่นชอบหนังพอสมควร ประทับใจในเนื้อเรื่องราวที่มีลักษณะเวียนวนเกิดขึ้นซ้ำๆ อันทำให้ตัวละครเกิดความเข้าใจในวิถีบางอย่างที่ขัดต่อความเชื่อ/หลักการของตนเอง น่าเสียดายที่ไดเรคชั่นผู้กำกับ Carl Theodor Dreyer ทำเรื่องง่ายให้ดูซับซ้อนเกินไปเสียหน่อย ถือว่าเป็นการลองผิดลองถูกไปก็แล้วกัน
จัดเรต 13+ กับการกีดกัน ความเห็นแก่ตัวของชนชั้นสูง