Hyènes (1992) : Djibril Diop Mambéty ♥♥♥♥
ภาพยนตร์กึ่งสุขกึ่งโศก (Tragi-Comedy) เมื่อมหาเศรษฐีนีเดินทางกลับบ้านเกิด ณ Colobane, Senegal พร้อมมอบเงินก้อนใหญ่ ให้ใครก็ตามลงมือเข่นฆาตกรรมอดีตชู้รัก เคยข่มขืนตนเองตอนอายุ 17 จนตั้งครรภ์ ระหว่างศีลธรรม ความถูกต้อง หรืออำนาจของเงิน ชาวบ้านแห่งนี้จะตัดสินใจเช่นไร?, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
เกร็ด: Hyènes หรือ Hyenas สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อ รูปร่างคล้ายสุนัขหรือหมาป่า กระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปแอฟริกา (และบางส่วนของอาหรับ อินเดีย) มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยมีตัวเมียเป็นจ่าฝูง (เพราะตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ และเพื่อป้องกันการกินลูกของตนเอง) เป็นสัตว์กินไม่เลือก แม้แต่กระดูก ซากสัตว์ ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์เพทุบาย และมีเสียงร้องเหมือนกับเสียงหัวเราะ
มนุษย์ไฮยีน่า คล้ายๆกับพวกแมงดา คือบุคคลที่ชอบกอบโกย เกาะกิน แสวงหาผลประโยชน์(จากความเดือดร้อน)ของผู้อื่น ในบริบทของหนังก็คือชาวเมือง Colobane ที่พอมหาเศรษฐีนี Linguere Ramatou ผู้ร่ำรวยยิ่งกว่าธนาคารโลกเดินทางกลับมา ก็พร้อมเลียแข้งเลียขา ยินยอมพร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้เศษเงินทอง นำมาสนองความสุขสำราญ ใช้ข้ออ้างความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน โดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว ทอดทิ้งหลักศีลธรรม ตกเป็นทาสลัทธิบริโภคนิยม (Consumerism) ไม่ต่างจากการถูกล่าอาณานิคม (Neo-Colonialism)
ความประทับใจจาก Touki Bouki (1973) ทำให้ผมขวนขวายมองหาผลงานอื่นของผกก. Djibril Diop Mambéty พอค้นพบว่า Hyènes (1992) ได้รับการบูรณะเรียบร้อยแล้ว จะให้พลาดได้อย่างไร แค่ช็อตแรกๆก็อ้าปากค้าง ภาพสวยชิบหาย พยายามย้อมเหลือง-ทอง เพื่อสร้างความมันวาว เปร่งประกายให้กับสีผิวชาวแอฟริกัน แม้ลีลาการกำกับ ลูกเล่นภาพยนตร์จะไม่แพรวพราวเท่าผลงานก่อน แต่เนื้อเรื่องราวแฝงสาระข้อคิด มีความทรงคุณค่ายิ่งๆนัก
Djibril Diop Mambéty (1945-1998) นักกวี นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Senegalese เกิดที่ Colobane ชานเมืองหลวง Dakar, Senegal ในครอบครัวมุสลิม ชนเผ่า Lebou แม้ฐานะยากจนแต่มักหาโอกาสรับชมภาพยนตร์ฉายกลางแจ้ง บางครั้งไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปข้างใน แค่เพียงฟังเสียงอยู่ข้างนอกก็ยังดี (นั่นคือหนึ่งในอิทธิพลที่ทำให้เสียงในผลงานของ Mambéty มีความสำคัญอย่างมากๆ) โตขึ้นเข้าร่วมคณะการแสดง Théâtre National Daniel-Sorano แต่ไม่ทันไรกลับถูกไล่ออกเพราะทำผิดวินัยร้ายแรง
แม้ไม่เคยร่ำเรียนอะไรเกี่ยวกับภาพยนตร์ ด้วยความหลงใหลใน Italian Neorealist และ French New Wave เมื่อตอนอายุ 21 ปี ขอหยิบยืมกล้อง 16mm จาก French Cultural Centre ร่วมกับผองเพื่อนถ่ายทำหนังสั้น Badou Boy (1966) [แล้วรีเมค Badou Boy (1970)] บันทึกการเดินทางของชายหนุ่ม Badou Boy ตามท้องถนนหนทางเมือง Dakar [น่าจะได้แรงบันดาลใจจาก Borom Sarret (1963) ของ Ousmane Sembène] เข้าฉายเทศกาลหนัง Mondial des Arts Nègres (จัดที่ Dakar) ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม
หลังเสร็จสร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Touki Bouki (1973) ผกก. Mambéty ก็สูญหายตัวไปอย่างลึกลับกว่า 15+ ปี ผมไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าเอาเวลาไปทำอะไร (คงคล้ายๆ Terrence Malick ที่ก็หายตัวไปเกือบ 20 ปี น่าจะออกค้นหาตัวตนเองกระมัง) บทสัมภาษณ์ที่พบเจอให้คำอธิบายประมาณว่า
I loved pictures when I was a very young boy — but pictures didn’t mean cinema to me then. When I was young, I preferred acting to making pictures. So I decided to study drama, but one day in the theater, I realized that I love pictures. That was how I found myself in this thing called cinema. From time to time, I want to make a film, but I am not a filmmaker; I have never been a filmmaker.
Djibril Diop Mambéty
ผกก. Mambéty หวนกลับมายุ่งเกี่ยวกับภาพยนตร์อีกครั้ง จากการช่วยงานเพื่อนผกก. Idrissa Ouedraogo ถ่ายทำภาพยนตร์ Yaaba (1989) ซึ่งระหว่างนั้นเจ้าตัวยังได้ถ่ายทำสารคดีขนาดสั้น บันทึกเบื้องหลังการถ่ายทำ Parlons Grand-mère (1989)
สำหรับ Hyènes (1992) มีจุดเริ่มต้นจากความต้องการติดตามหา(จิตวิญญาณ)ตัวละคร Anta จากภาพยนตร์ Touki Bouki (1973) ที่ตอนจบตัดสินใจขึ้นเรือออกเดินทางสู่ฝรั่งเศส (ไม่ใช่ค้นหานักแสดง Mareme Niang ที่รับบท Anta นะครับ) อยากรับรู้ว่าเมื่อกาลเวลาเคลื่อนพานผ่าน โชคชะตาของเธอจะปรับเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร
I began to make Hyènes when I realized I absolutely had to find one of the characters in Touki Bouki, which I had made twenty years before. This is Anta, the girl who had the courage to leave Africa and cross the Atlantic alone. When I set out to find her again, I had the conviction that I was looking for a character from somewhere in my childhood. I had a vision that I already had encountered this character in a film. Ultimately, I found her in a play called The Visit (1956) by Friedrich Dürrenmatt. I had the freedom and confidence to marry his text with my film and make his story my own.
หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดค้นหาอยู่สักพักใหญ่ๆ ผกก. Mambéty ก็ได้ค้นพบ(จิตวิญญาณ)ตัวละคร Anta อยู่ในบทละคอนสามองก์ แนวกึ่งโศกนาฏกรรมกึ่งสุขนาฏกรรม (Tragi-Comedy) เรื่อง The Visit (1956) แต่งโดย Friedrich Dürrenmatt (1921-90) นักเขียนชาว Swiss ทำการแสดงรอบปฐมทัศน์ ณ Schauspielhaus Zürich, Switzerland เมื่อปี ค.ศ. 1956 ประสบความสำเร็จจนมีโอกาสเดินทางไป West-End และ Broadway ในปีถัดๆมา
เกร็ด: ชื่อเต็มๆของบทละคอนนี้คือ (เยอรมัน) Der Besuch der alten Dame, (ฝรั่งเศส) La visite de la vieille dame, (อังกฤษ) The Visit of the Old Lady
เกร็ด 2: ก่อนหน้านี้มีการดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ The Visit (1964) กำกับโดย Bernhard Wicki, นำแสดงโดย Ingrid Bergman และ Anthony Quinn เสียงตอบรับค่อนข้างดี แต่กลับไม่ทำเงินสักเท่าไหร่ อาจเพราะมีการปรับเปลี่ยนตอนจบ Happy Ending สไตล์ Hollywood
อธิบายแบบนี้หลายคนคงครุ่นคิดว่า Hyènes (1992) คือภาคต่อ(ทางจิตวิญญาณ)ของ Touki Bouki (1973) แต่ผกก. Mambéty ไม่ได้จำกัดตนเองอยู่ภายในกรอบนั้น รวมถึงการดัดแปลงบทละคอน The Visit ที่ก็มีเพียงพล็อตดราม่าหลวมๆ แต่รายละเอียดอื่นๆล้วนคืออิสรภาพในการสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ของผู้สร้างในการถ่ายทอดเรื่องราวออกมา
I focused on the notion of freedom, which includes the freedom not to know. That implies confidence in your ability to construct images from the bottom of your heart. When artists converge on these images, there is no longer room for ethnic peculiarities; there is only room for talent. You mustn’t expect me to cut the patrimony of the mind into pieces and fragments. A film is a kind of meeting; there is giving and receiving. Now that I have made it, Hyènes belongs as much to the viewer as to me. You must have the freedom and confidence to understand and critique what you see.
เรื่องราวของมหาเศรษฐีนี Linguere Ramatou ผู้มีความร่ำรวยยิ่งกว่าธนาคารโลก ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิด ณ Colobane, Senegal ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากบรรดาชาวเมือง รวมถึงคนรักเก่า Dramaan Drameh คาดหวังให้เธอช่วยกอบกู้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เมืองแห่งนี้ให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ Linguere Ramatou เรียกร้องขอต่อชาวเมือง Colobane คือการเข่นฆาตกรรมอดีตคนรัก Dramaan Drameh เล่าว่าเมื่อตอนอายุ 17 โดนข่มขืนจนตั้งครรภ์ แล้วถูกขับไล่ ผลักไส กลายเป็นโสเภณี แล้วยังต้องเดินทางจากบ้านเกิดไปแสวงโชคยังต่างแดน
ในตอนแรกๆชาวเมืองต่างปฏิเสธเสียงขันแข็ง ด้วยข้ออ้างหลักศีลธรรมที่ยึดถือปฏิบัติมาช้านาน จะให้เข่นฆ่าพวกพ้องมิตรสหายได้อย่างไรกัน นั่นทำให้ Linguere Ramatou ค่อยๆเอาวัตถุ ข้าวของ พัดลม ตู้เย็น ฯ สารพัดสิ่งอำนวยสะดวกสบายมาล่อซื้อใจ รวมถึงเศรษฐกิจของเมือง Colobane กลับมาเฟื่องฟู รุ่งเรือง นั่นทำให้ความครุ่นคิดของชาวเมืองค่อยๆผันแปรเปลี่ยน ก่อนในที่สุดจะตัดสินใจ …
ผกก. Mambéty โอบรับแนวคิดของ Italian Neorealism เลยเลือกใช้นักแสดงสมัครเล่นทั้งหมด ไม่เคยมีประสบการณ์ภาพยนตร์มาก่อน ล้วนคือชาวเมือง Colobane ที่มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงภาพลักษณ์ตัวละคร
- Dramaan Drameh (รับบทโดย Mansour Diouf) เจ้าของร้านขายของชำ ภายนอกเป็นคนอัธยาศัยดี มีไมตรีต่อเพื่อนพ้อง ขณะเดียวกันแอบหวาดกลัวภรรยา พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปกป้องชื่อเสียง ไม่ต้องการถูกตีตรา มีปัญหาเรื่องรักๆใคร่ๆ นั่นเพราะในอดีตเคยตกหลุมรัก แอบสานสัมพันธ์ Linguère Ramatou พลั้งพลาดทำเธอตั้งครรภ์ จ่ายสินบนให้พยานสองคน เพื่อตนเองจะได้รอดพ้นมลทิน
- ผมไม่สามารถหารายละเอียดใดๆเกี่ยวกับ Mansour Diouf แต่ความน่าสนใจคือภาพลักษณ์ที่ดูไม่เหมือนบุคคลโฉดชั่วร้าย แถมยังอัธยาศัยดี มีมิตรไมตรีต่อเพื่อนพ้อง คำกล่าวอ้างของ Linguère Ramatou หลายคนอาจรู้สึกฟังไม่ขึ้น หลักฐานไม่เพียงพอ เกิดความสงสารเห็นใจ เหมือนถูกกลั่นแกล้ง/ผลกรรมตามทัน ท่าทางห่อเหี่ยว สิ้นหวัง ค่อยๆยินยอมรับสภาพความจริง เตรียมตัวเตรียมใจ ไม่มีอะไรจะพูดก่อนตาย
- Linguère Ramatou (รับบทโดย Ami Diakhate) หญิงสูงวัยผู้พานเคยผ่านอะไรมามาก หลังโดนข่มขืน ตั้งครรภ์ ถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน กลายเป็นโสเภณี ไต่เต้าจนกลายเป็นเศรษฐีนี หลังเอาตัวรอดจากเหตุการณ์เครื่องบินตก แขน-ขาพิการ ทำให้เธอตัดสินใจหวนกลับบ้านเกิดเพื่อล้างแค้น เอาคืน ไม่มีอะไรให้หวาดกลัวเกรงความตาย
- ผมอ่านเจอว่าผกก. Mambéty พบเจอ Ami Diakhate เป็นแม่ค้าขายซุป (น่าจะก๋วยเตี๋ยว) อยู่ในตลาดเมือง Daker ด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง เหมือนคนกร้านโลก พานผ่านอะไรมามาก และท่าทางเริดเชิด เย่อหยิ่งยโสโอหัง เหมาะกับบทนางร้าย มหาเศรษฐีนี จิตใจเลวทราม พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อแก้ล้างแค้น โดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว อะไรทั้งนั้น
- ผกก. Mambéty ยังรับบทตัวละครชื่อ Gaana ทีแรกผมนึกว่าคือบอดี้การ์ดของ Linguère Ramatou แต่แท้จริงแล้วคืออดีตผู้นำหมู่บ้าน Colobane ถูกใส่ร้ายป้ายสีหรืออะไรสักอย่าง ทำให้สูญเสียตำแหน่งของตนเอง ซึ่งก็ไม่รู้มีโอกาสไปพบเจอ ต่อรองอะไรถึงยินยอมร่วมมือกับ Ramatou เพื่อทำการยึดครอบครอง Colobane ปรับเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็น …
- ผมยังครุ่นคิดไม่ตกว่าทำไมผกก. Mambéty ถึงตัดสินใจเลือกรับบทบาทนี้ เหมือนตัวเขามีความเพ้อฝัน อยากจะฟื้นฟูบ้านเกิด Colobane ให้มีความรุ่งเรือง ไม่ใช่เสื่อมโทรมอย่างที่อาจเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น
ผมอ่านเจอว่าต้นฉบับบทละคร The Visitor ตัวละครมหาเศรษฐีนี Claire Zachanassian เพราะมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เมื่อหวนกลับบ้านเกิดจึงมีพวกนักข่าว ปาปารัสซี่ ติดสอยห้อยติดตาม ถ่ายภาพทำข่าวไม่ยอมเหินห่าง แต่ภาพยนตร์ของผกก. Mambéty เลือกตัดทิ้งความวุ่นๆวายๆนั้นไป ปรับเปลี่ยนมาเป็นบอดี้การ์ด และสาวรับใช้ 3-4 คน (หรือชู้รักก็ไม่รู้นะ) หนึ่งในนั้นคือหญิงชาวญี่ปุ่น ซึ่งดูผิดแผกแปลกประหลาดมากๆ เหตุผลก็คือ …
The point is not that she is Asian. The point is that everyone in Colobane–everyone everywhere–lives within a system of power that embraces the West, Africa, and the land of the rising sun. There is a scene where this woman comes in and reads: she reads of the vanity of life, the vanity of vengeance; that is totally universal. My goal was to make a continental film, one that crosses boundaries. To make Hyènes even more continental, we borrowed elephants from the Masai of Kenya, hyenas from Uganda, and people from Senegal. And to make it global, we borrowed somebody from Japan, and carnival scenes from the annual Carnival of Humanity of the French Communist Party in Paris. All of these are intended to open the horizons, to make the film universal. The film depicts a human drama. My task was to identify the enemy of humankind: money, the International Monetary Fund, and the World Bank. I think my target is clear.
Djibril Diop Mambéty
ถ่ายภาพโดย Matthias Kälin (1953-2008) ตากล้องถ่ายทำภาพยนตร์/สารคดี สัญชาติ Swiss ผลงานเด่นๆ อาทิ Yaaba (1989), สารคดี Lumumba: Death of a Prophet (1991), Hyènes (1992) ฯ
งานภาพของหนังอาจไม่ได้แพราวพราวด้วยลูกเล่น ลีลาภาพยนตร์เหมือนกับ Touki Bouki (1973) แต่มีการย้อมสีเหลือง-ทอง เพื่อสร้างความมันวาว กลมกลืนเข้ากับพื้นหลังดินลูกรัง ทะเลทราย และยังทำให้สีผิวชาวแอฟริกันดูโดดเด่น เปร่งประกาย … กล้องที่ไม่ค่อยขยับเคลื่อนไหว หรือดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ทำให้ผู้ชมสัมผัสเหือดแห้ง อดอยากปากแห้ง ดินแดนขาดความสดชื่น ไร้ชีวิตชีวา
การมาถึงของมหาเศรษฐีนี Linguère Ramatou แม้นำพาพัดลม โทนสีฟ้า น้ำทะเล รวมถึงสีสันอื่นๆที่ทำให้ดูร่มเย็น คลายความร้อนจากแสงแดดแผดเผาชาวเมือง Colobane แต่ขณะเดียวกันกลับสร้างความลุ่มร้อน มอดไหม้ทรวงใน เพราะข้อเรียกร้องของเธอบ่อนทำลายจิตวิญญาณผู้คน กำลังจะสูญสิ้นความเป็นมนุษย์
ทีแรกผมก็แอบงงๆ เพราะหนังชื่อ Hyènes (1992) แต่ภาพช็อตแรกกลับถ่ายให้เห็นฝูงช้างแอฟริกันกำลังอพยพ ก้าวออกเดิน ก่อนตัดมาภาพฝูงชนชาว Colobane ก็กำลังก้าวเดินเช่นกัน นี่เป็นความพยายามเปรียบเทียบคู่ขนานระหว่างมนุษย์ = สัตว์ เป็นภาษาภาพยนตร์ที่จะพบเห็นได้บ่อยครั้ง!
ไฮไลท์คือชื่อหนัง Hyènes ปรากฎขึ้นระหว่างฝูงชนกลุ่มนี้กำลังก้าวเดินขึ้นมา นี่เป็นการเปรียบเทียบอย่างตรงไปตรงมาเลยว่ามนุษย์ = ไฮยีน่า
แซว: มันไม่ใช่ว่าภาพสรรพสัตว์เหล่านี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปใน Colobane, Senegal แต่ผกก. Mambéty เดินทางไปขอถ่ายทำสัตว์เหล่านี้ทั่วแอฟริกัน Kenya, Uganda ฯ
To make Hyènes even more continental, we borrowed elephants from the Masai of Kenya, hyenas from Uganda, and people from Senegal.
Djibril Diop Mambéty
เรื่องราวส่วนใหญ่ของหนังดำเนินเรื่องยังร้านอาหาร ขายของชำ สถานที่แห่งความวุ่นๆวายๆ ชิบหายวายป่วน ชวนให้ผมนึกถึงโรงเตี๊ยมของหนังจีน(กำลังภายใน) นี่แสดงให้เห็นว่าแม้วัฒนธรรม ชาติพันธุ์แตกต่างกัน แต่วิถีของมนุษย์ไม่ว่าจะซีกโลกไหน ล้วนมีบางสิ่งอย่างละม้ายคล้ายคลึงกัน
ผู้นำหมู่บ้านนักเรียกประชุมแกนนำ สำหรับวางแผนเตรียมการต้อนรับ Linguère Ramatou ยังสถานที่ที่ชื่อว่า “Hyena Hole” แค่ชื่อก็บอกใบ้อะไรหลายๆอย่าง ซึ่งก่อนนำเข้าฉากนี้ยังพบเห็นฝูงอีแร้งบินโฉบลงมา มันคือสัตว์ชอบกินเศษเนื้อที่ตายแล้ว พฤติกรรมไม่แตกต่างจากไฮยีน่าสักเท่าไหร่ (อีแร้งฝูงนี้ = แกนนำหมู่บ้าน)
สถานที่แห่งนี้ “Hyena Hole” ยังมีสภาพปรักหักพัง ซึ่งแสดงถึงความเสื่อมทรามของเมือง Colobane ไม่ใช่แค่สภาพเศรษฐกิจ สังคม ยังผู้คนเหล่านี้ที่ทำตัวลับๆล่อๆ พูดคุยวางแผนที่จะแสวงหา กอบโกยผลประโยชน์จากเศรษฐีนี Ramatou ไม่ต่างจากพวกอีแร้งนี้สักเท่าไหร่
หนึ่งในการตัดต่อคู่ขนานที่งดงามอย่างมากๆ อยู่ระหว่างพิธีต้อนรับ Linguere Ramatou มีการล้อมเชือดวัว และหญิงชุดแดงทำการโยกเต้นเริงระบำ (ทำเหมือนยั่ววัว) ด้วยท่าทางอันสุดเหวี่ยงของเธอ สะท้อนการต่อสู้ดิ้นรนของเจ้าวัวที่ไม่ต้องการถูกเชือด ก่อนท้ายสุดจะดับดิ้น สิ้นชีวิน
ซีเควนซ์นี้ถือเป็นอารัมบท นำเข้าสู่เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Dramaan Drameh จู่ๆตกเป็นบุคคลเป้าหมายของ Linguère Ramatou และช่วงท้ายไคลน์แม็กซ์ของหนัง บรรดาชาวบ้านทั้งหลายก็ห้อมล้อมเข้าหาชายคนนี้ โชคชะตาไม่ต่างจากเจ้าวัวกระทิง!
ผมเรียกว่า “Citizen Kane style” มุมก้ม-เงย ตำแหน่งสูง-ต่ำ แสดงถึงวิทยฐานะทางสังคมของตัวละคร ซึ่งในบริบทของหนังนี้ Linguère Ramatou พอกลายเป็นมหาเศรษฐีนี ก็ได้รับการยกย่องเทิดทูน ยืนอยู่เบื้องบน ทำตัวสูงส่งกว่าชาวบ้าน Colobane แทบจะไร้สิทธิ์เสียง ทำได้เพียงก้มหัวศิโรราบ แม้ครั้งนี้ศักดิ์ศรียังค้ำคอ แต่อีกไม่นานทุกคนจักถูกซื้อใจ จนไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป
หลังจากค้นพบว่าตำรวจ และผู้นำหมู่บ้าน ถูกซื้อใจไปเรียบร้อยแล้ว Dramaan Drameh เดินลงมาชั้นล่าง สถานที่ประกอบพิธีมิสซาศาสนาคริสต์ คาดหวังว่าสถานที่แห่งนี้คงไม่ได้รับผลกระทบ เงินซื้อไม่ได้ แต่กลับกลายเป็น … กล้องถ่ายผ่านโคมระย้า หรูหรา ราคาแพง พบเห็นใบหน้าของ Drameh สอดแทรกอยู่ตรงกลาง สื่อถึงการถูกห้อมล้อมทุกทิศทาง จนแทบไร้หนทางออก
ยามดึกดื่น Dramaan Drameh ต้องการจะขึ้นรถไฟ หลบหนีไปจากเมืองแห่งนี้ แต่กลับถูกปิดกั้นโดยชาวเมือง กรูเข้ามาห้อมล้อม ทำตัวไม่ต่างจากฝูงไฮยีน่าที่กำลังเฝ้ารอคอยเหยื่ออันโอชา จนกระทั่งรถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลา นั่นทำให้เขาเกิดความตระหนักรับรู้ตนเองว่า คงไม่สามารถหลบหนีพ้นโชคชะตา
ซึ่งระหว่างกำลังนั่งเหม่อมองพระอาทิตย์ขึ้น มีการแทรกภาพไฮยีน่าตัวหนึ่งกำลังคาบเหยื่อวิ่งหลบหนี … Dramaan Drameh ตกเป็นเหยื่อของ Linguère Ramatou เรียบร้อยแล้วสินะ!
ก่อนเข้าพิธีละหมาดวันศุกร์ ผู้นำหมู่บ้านและครูสอนหนังสือ เดินทางมาพูดคุยต่อรองกับ Linguère Ramatou ร้องขอให้เปิดโรงงาน เพื่อว่าเศรษฐกิจของเมืองจะได้กลับมาเฟื่องฟู แต่เธอกลับบอกปัดปฏิเสธ เพราะจุดประสงค์แท้จริงไม่ได้ต้องการแค่จะล้างแค้น Dramaan Drameh แต่ยังต้องการให้ชาวเมือง Colobane ติดหนี้ติดสิน ยากจนตลอดชีวิต!
เมื่อเธอพูดประโยคดังกล่าว มีการฉายภาพพระอาทิตย์ทรงกลด ผมไม่ค่อยแน่ใจความเชื่อของชาวแอฟริกัน เป็นไปได้ว่าอาจจะสื่อถึงลางร้าย หายนะ ภัยพิบัติที่กำลังมาเยี่ยมเยือน หรือก็คือโศกนาฎกรรมบังเกิดขึ้นกับชาวเมือง Colobane
ด้วยความที่ครูสอนหนังสือตระหนักรับรู้โชคชะตาของ Dramaan Drameh จึงเดินทางมาดื่มเหล้า มึนเมา โหวกเหวกโวยวาย รับไม่ได้กับเหตุการณ์บังเกิดขึ้น จากนั้นจิตรกรเอารูปภาพวาด (ของ Dramaan Drameh) ฟาดใส่ศีรษะ ห้อยคอต่องแต่ง แสดงถึงการสูญเสียตัวตน จิตวิญญาณ (ภาพวาดมักคือภาพสะท้อนตัวตน จิตวิญญาณของบุคคลนั้นๆ)
Dramaan Drameh เดินทางมาพูดคุยต่อรองกับ Linguère Ramatou นั่งอยู่บนดาดฟ้า เหม่อมองออกไปยังท้องทะเลกว้างไกล ภาพนี้ชวนให้ผมนึกถึง Le Mépris (1963) ของผกก. Jean-Luc Godard และคุ้นๆว่า Touki Bouki (1973) ก็มีช็อตคล้ายๆกัน งดงามราวกับสรวงสวรรค์ แต่แท้จริงนั้นคือสัญลักษณ์ความตาย กลายเป็นนิจนิรันดร์
และวินาทีที่ Dramaan Drameh ถูกห้อมล้อม เข่นฆาตกรรม Linguère Ramatou ก็ก้าวเดินลงบันได ภายในเงามืด ซึ่งก็สามารถสื่อนัยยะถึงความตาย ลงสู่ขุมนรก ไม่แตกต่างกัน!
สถานที่แห่งนี้ชื่อว่า Elephant Cementery ชาวเมืองต่างสวมใส่วิกผม เสื้อกระสอบ ทาแป้งให้หน้าขาว เลียนแบบผู้พิพากษาของพวกยุโรป/สหรัฐอเมริกา ทำการตัดสินความผิดของ Dramaan Drameh อะไรก็ไม่รู้ละ แต่ลงโทษประหารชีวิตด้วยการห้อมล้อมกันเข้ามา แลดูเหมือนการย้ำเหยียบของฝูงช้าง หรือจะมองว่าคือการกัดแทะของไฮยีน่า (เพราะไม่หลงเหลือแม้เศษซากโครงกระดูก)
The people of Colobane are dressed in rice bags. They are hungry; they are ready to eat Draman Drameh. They are all disguised because no one wants to carry the individual responsibility for murder. So what they have in common is cowardice. For each individual to have clean hands, everybody has to be dirty, to share in the same communal guilt. So the people of Colobane become animals. Their hair makes them buffaloes. The only thing they have that is human is greed.
Djibril Diop Mambéty
หลังถูกกัดกินจากความละโมบโลภมากของชาวเมือง Colobane สิ่งหลงเหลือสำหรับ Dramaan Drameh มีเพียงเศษผ้าขี้ริ้ว ที่จะถูกรถแทรคเตอร์ดันดินลูกรังเข้ามากลบทับ จนราบเรียบ ไม่หลงเหลืออะไรสักสิ่งอย่าง สัญลักษณ์ของการถูกกลืนกินโดยลัทธิบริโภคนิยม (Consumerism) และอาณานิคมใหม่ (Neo-Colonialism) และพบเห็นต้นไม้ลิบๆ รากเหง้าชาวแอฟริกันที่กำลังเลือนหาย สูญสลาย หมดสิ้นไป
ตัดต่อโดย Loredana Cristelli (เกิดปี 1957) เกิดที่อิตาลี แล้วไปร่ำเรียนการถ่ายภาพยัง Zürich ก่อนกลายมาเป็นผู้ช่วยตัดต่อภาพยนตร์ของ Alain Tanner, Jean-Luc Godard, Nicolas Gessnet, ผลงานเด่นๆ อาทิ Yaaba (1989), Hyènes (1992) ฯ
หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองตัวละคร Dramaan Drameh เจ้าของร้านขายของชำในเมือง Colobane, Senegal เมื่อได้ยินข่าวคราวการหวนกลับมาของมหาเศรษฐีนี Linguère Ramatou ได้รับมอบหมายจากผู้นำหมู่บ้านให้มาคอยต้อนรับขับสู้ หาวิธีการให้เธอช่วยฟื้นฟูดูแลเมืองแห่งนี้ให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ผลลัพท์กลับแลกมาด้วยข้อเรียกร้องที่ทำให้ทุกคนเกิดอาการอ้ำอึ้ง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
- อารัมบท
- เริ่มต้นด้วยคนงาน แวะเวียนมายังร้านขายของชำของ Dramaan Drameh
- นำเสนอความยากจนข้นแค้นของเมือง Colobane
- ผู้นำหมู่บ้านเรียกประชุมแกนนำ วางแผนเตรียมการต้อนรับ Linguère Ramatou
- การหวนกลับมาของมหาเศรษฐีนี Linguère Ramatou
- Linguère Ramatou เดินทางมาถึงพร้อมบอดี้การ์ดและสาวใช้ ได้รับการต้อนรับยังสถานีรถไฟ
- Linguère Ramatou หวนระลึกความหลังกับ Dramaan Drameh
- ระหว่างการเชือดวัว Linguère Ramatou ได้ป่าวประกาศข้อเรียกร้อง พร้อมมอบเงินจำนวนมหาศาลให้กับใครก็ตามที่ยินยอมเข่นฆ่า Dramaan Drameh
- ชีวิตอันน่าเศร้าของ Dramaan Drameh
- บรรดาชาวเมืองต่างได้รับสินบนจาก Linguère Ramatou แวะเวียนมายังร้านของ Dramaan Drameh จับจ่ายใช้สอยมือเติบโดยขอให้ขึ้นบัญชีเอาไว้
- Dramaan Drameh พยายามขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ผู้นำชุมชุน แต่ก็ค้นพบว่าทุกคนต่างถูกซื้อตัวไปหมดสิ้น
- ชาวบ้านเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ตรงกันข้ามกับ Dramaan Drameh ต้องการเดินทางไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ แต่กลับถูกยื้อยั้ง หักห้าม ตกอยู่ในความสิ้นหวัง
- ความจริงเริ่มปรากฎ สันดานธาตุแท้ของผู้คนได้รับการเปิดเผย
- ผู้นำหมู่บ้านพยายามต่อรองร้องขอ Linguère Ramatou ให้เปิดโรงงาน เศรษฐกิจชุมชนจะได้กลับฟื้นคืน แต่เธอกลับบอกปัดปฏิเสธ
- นั่นทำให้ครูสอนหนังสือตระหนักถึงหายนะที่กำลังจะคืบคลานเข้ามา ดื่มสุรามึนเมา เศร้ากับโชคชะตาของ Dramaan Drameh
- Dramaan Drameh ถูกผู้นำหมู่บ้านเรียกประชุม ตัดสินโชคชะตา
- การตัดสินโชคชะตาของ Dramaan Drameh
หนังอาจดำเนินเรื่องไปอย่างเชื่องช้า เพื่อให้ผู้ชมซึมซับบรรยากาศสถานที่ ความลุ่มร้อน แผดเผา จนมอดไหม้ทรวงใน แต่หลายๆครั้งยังมีการแทรกภาพสิงสาราสัตว์ ช้าง ม้า วัว (ไม่มีควาย) สุนัข ลิง ไฮยีนา ฯ เพื่อเปรียบเทียบในเชิงสัญลักษณ์ ไม่ก็สะท้อนถึงพฤติกรรมมนุษย์ขณะนั้นๆ
ซีเควนซ์ที่ผมชื่นชอบสุดก็คือขณะล้อมเชือดวัว (เพื่อเตรียมงานเลี้ยงฉลอง) มีการนำเสนอคู่ขนานชาวบ้านกำลังไล่ต้อน ห้อมล้อมรอบเจ้าวัว ตัดสลับกับหญิงสาวชุดแดงคนหนึ่ง กำลังโยกเต้นเริงระบำ ท่าทางดิ้นรน ตะเกียกตะกาย (เลียนแบบความตายของเจ้าวัว) จากนั้น Linguère Ramatou ป่าวประกาศข้อเรียกร้อง พร้อมมอบเงินจำนวนมหาศาลให้กับใครก็ตามที่ยินยอมเข่นฆ่า Dramaan Drameh … นัยยะเชิงสัญลักษณ์ของซีเควนซ์นี้ช่างละม้ายคล้ายสำนวนไทย ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’
เพลงประกอบโดย Wasis Diop (เกิดปี 1950) น้องชายผกก. Djibril Diop Mambéty สัญชาติ Senegalese, โตขึ้นเดินทางสู่ฝรั่งเศส ตั้งใจจะร่ำเรียนวิศวกรรม ก่อนหันเหความสนใจมาด้านดนตรี รวมกลุ่มกับ Umbañ U Kset ก่อตั้งวง West African Cosmos ไม่นานก็ออกมาฉายเดี่ยว โดดเด่นจากการผสมผสานดนตรีพื้นบ้าน (Senegalese Folk Song) เข้ากับ Jazz และ Pop Music, ก่อนแจ้งเกิดจากการทำเพลงประกอบภาพยนตร์ Hyènes (1992)
ทีแรกผมคาดหวังจะได้ยินบทเพลงพื้นบ้านแอฟริกัน แต่เริ่มต้นกลับเป็นดนตรี Pop บางบทเพลงก็เป็น Jazz ได้ยินเสียงคีย์บอร์ด เครื่องดนตรีไฟฟ้า ท่วงทำนองโหยหวน คร่ำครวญ ลากเสียงโน๊ตยาวๆ อาจต้องรับชมจนจบถึงค้นพบว่าหนังนำเสนอเรื่องราวอันน่าเศร้าสลด โศกนาฎกรรมที่สร้างความขัดแย้งภายในจิตใจ จะว่าไปให้ความรู้สึกคล้ายๆ Funeral Song ไว้อาลัยให้กับการสูญสิ้นจิตวิญญาณ ความเป็นมนุษย์
ปล. อัลบัมเพลงประกอบของ Wasis Diop ไม่ได้นำจากที่ใช้ในหนังมาใส่ทั้งหมด แต่มักทำการเรียบเรียง ปรับปรุงท่วงทำนองเสียใหม่ บางบทเพลงใส่เนื้อคำร้องเพิ่มเติม ฯ ยกตัวอย่าง Colobane ลองฟังเทียบกับ Opening Credit ในหนัง จะมีสัมผัสทางอารมณ์ที่แตกต่างกันพอสมควร
นอกจากลีลาตัดต่อที่ชอบแทรกภาพสารพัดสรรพสัตว์ บางบทเพลงประกอบยังใส่เสียง(หัวเราะ)ไฮยีน่า สิงสาราสัตว์ อย่างบทเพลง Dune นอกจากบรรเลงกีตาร์อันโหยหวน ทะเลทรายอันเวิ้งว่างเปล่า เหมือนได้ยินเสียงงูหางกระดิ่ง (จริงๆคือเสียงลูกแซก/ไข่เขย่า Maracas) ไม่เพียงเข้ากับบรรยากาศพื้นหลัง ยังสร้างสัมผัสอันตราย หายนะค่อยๆคืบคลานเข้ามา … เพลงนี้ดังขึ้นระหว่าง Dramaan Drameh นำพา Linguère Ramatou ไปหวนระลึกความหลังยังทะเลทราย บริเวณที่ทั้งสองร่วมรัก/ถูกข่มขืนกระทำชำเรา
เอาจริงๆหนังแทบไม่มีบทเพลงพื้นบ้านแอฟริกัน นอกเสียงจากคำร้องภาษา Wolof และการรัวกลองขณะเชือดวัว อาจเพราะต้องการแสดงให้ถึงการสูญเสียวิถีชีวิต วัฒนธรรม กำลังค่อยๆถูกกลืนกิน ตกเป็นทาสอาณานิคมรูปแบบใหม่ (Neo-Colonialism) ลุ่มหลงใหลการบริโภคนิยม (Consumerism) ในระบอบทุนนิยม (Capitalism)
The hyena is an African animal — you know that. It never kills. The hyena is falsehood, a caricature of man. The hyena comes out only at night; he is afraid of daylight always travels at night. The hyena is a permanent presence in humans, and that is why man will never be perfect. The hyena has no sense of shame, but it represents nudity, which is the shame of human beings.
After I unveiled this very pessimistic picture of human beings and society in their nakedness in Hyènes, I wanted to build up the image of the common people. Why should I magnify the ordinary person after this debauch of defects? The whole society of Colobane is made up of ordinary people. I do not want to remain forever pessimistic. That is why I have fished out cases where man, taken individually, can defeat money.
Djibril Diop Mambéty
แม้เรื่องราวจะมีพื้นหลัง Colobane, Senegal แต่เราสามารถเหมารวมถึงชาวแอฟริกัน ภายหลังการปลดแอก ประกาศอิสรภาพ (ในช่วงปี ค.ศ. 1959-60) ถึงอย่างนั้นแทบทุกอดีตประเทศอาณานิคม กลับยังต้องพึ่งพาอาศัย รับความช่วยเหลือจากอดีตจักรวรรดินิยม ซึ่งโดยไม่รู้ตัวซึมซับรับอิทธิพลทางความคิด ทัศนคติสมัยใหม่ ถูกแทรกแซงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมท้องถิ่นค่อยๆสูญสิ้น กลืนกินวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม … มีคำเรียกอาณานิคมรูปแบบใหม่ (Neo-Colonialism)
เงิน กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม สิ่งที่ใช้แบ่งแยกผู้คน สถานะรวย-จน ชนชั้นสูง-ต่ำ รวมถึงความมีอภิสิทธิ์ชน ดูถูกเหยียดหยาม กดขี่ข่มเหงบุคคลต่ำต้อยด้อยค่ากว่าตน ยินยอมพร้อมทำทุกสิ่งอย่างโดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว หลักคำสอนศาสนา หรือแม้แต่กฎหมายบ้านเมือง เพื่อให้ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ กินหรูอยู่สบาย ตอบสนองตัณหาความใคร่ส่วนบุคคล
Hyènes (1992) เป็นอีกภาพยนตร์สัญชาติแอฟริกัน พยายามนำเสนอโทษทัณฑ์ของเงิน ลัทธิบริโภคนิยม (Consumerism) เหมารวมถึงระบอบทุนนิยม (Capitalism) เพราะการมีเงินทำให้ชีวิตสุขสบาย สามารถจับจ่ายใช้สอย ซื้อสิ่งข้าวของมาอำนวยความสะดวก ตอบสนองความพึงพอใจ จนท้ายที่สุดยินยอมละทอดทิ้งหลักศีลธรรม ความถูกต้องเหมาะสม สรรหาข้ออ้างเพื่อส่วนรวม แท้จริงแล้วกลับเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลทั้งนั้น!
The film depicts a human drama. My task was to identify the enemy of humankind: money, the International Monetary Fund, and the World Bank. I think my target is clear.
ความร่ำรวยของ Linguère Ramatou ถือว่าได้มาอย่างโชคช่วย พร้อมๆกับการสูญเสียเกือบจะทุกสิ่งอย่าง (ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ) แต่แทนที่เธอจะบังเกิดความสาสำนึก นำมาเป็นบทเรียนชีวิต กลับเลือกโต้ตอบเอาคืน “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” เป้าหมายแม้คือการเข่นฆาตกรรม Dramaan Drameh แท้จริงแล้วยังพยายามจะล้างแค้นชาวเมือง Colobane ด้วยการทำลายเศรษฐกิจ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เมื่อไม่มีงาน ไม่มีเงิน แล้วจะเอาที่ไหนใช้คืนหนี้สิน
ส่วนความตายของ Dramaan Drameh มันอาจฟังดูดี สมเหตุสมผล เสียสละบุคคลเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม แต่นั่นใช่หนทางถูกต้องหรือไม่? สามารถแก้ปัญหาระยะยาวได้หรือเปล่า? หรือเพียงความละโมบโลภมาก จนหน้ามืดตามัว มองไม่เห็นอนาคตที่มืดมิด สิ้นหวัง มันจึงเป็นความตลกร้าย คนที่สามารถทำความเข้าใจย่อมหัวเราะไม่ออกเลยสักนิด!
ภาพยนตร์ในทวีปแอฟริกัน น่าจะเป็นสิ่งหรูหรา ราคาแพง ยุคสมัยนั้นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย นั่นอาจคือเหตุผลหนึ่งที่ผกก. Mambéty ไม่ได้มีความกระตือรือล้นกับมันมากนัก จนกระทั่งช่วงทศวรรษ 90s ที่ค่ากล้อง ค่าฟีล์มราคาถูกลง เลยทำให้เขาเล็งเห็นโอกาสที่จะทดลองทำสิ่งใหม่ๆ สะท้อนวิถีชีวิต สภาพสังคม แอฟริกันที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างค่านิยมชวนเชื่อรูปแบบใหม่
Africa is rich in cinema, in images. Hollywood could not have made this film, no matter how much money they spent. The future belongs to images. Students, like the children I referred to earlier, are waiting to discover that making a film is a matter of love, not money.
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes แม้เสียงตอบรับจะดีเยี่ยม แต่กลับไม่สามารถคว้ารางวัลใดๆติดมือกลับมา ถึงอย่างนั้นก็ยังมีโอกาสเดินทางไปฉายตามเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆทั่วโลก
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ 2K โดย Thelma Film AG ร่วมกับ Cinémathèque suisse และห้องแล็ป Eclair Cinema เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2017 เข้าฉาย 2018 Cannes Classic และสามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray ของค่าย Kino Lorber
เกร็ด: ผู้กำกับ Rungano Nyoni เคยกล่าวว่า Hyènes (1992) คือแรงบันดาลใจในการสรรค์สร้างภาพยนตร์ I Am Not a Witch (2017)
อาจเพราะความสำเร็จของ Touki Bouki (1973) ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่มองข้าม Hyènes (1992) ไม่ได้มีลูกเล่นภาพยนตร์น่าตื่นตาตื่นใจเทียบเท่า แต่ถ้าเอาเฉพาะเนื้อหาสาระ ผมคิดเห็นว่า Hyènes (1992) แฝงข้อคิด มีความทรงคุณค่ากว่ามากๆ
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ระหว่างจิตสามัญสำนึก หลักศีลธรรม vs. อำนาจของเงิน, ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะสร้างความตระหนักให้กับผู้ชม บทเรียนเกี่ยวกับอำนาจของเงิน สะท้อนอิทธิพลของลัทธิทุนนิยม+บริโภคนิยม คนสมัยใหม่เชื่อว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกสิ่งอย่าง มันช่างเป็นเรื่องน่าเศร้า ขำไม่ออกเลยสักนิด!
จัดเรต 13+ กับพฤติกรรมไฮยีน่า อดีตชั่วช้า การแก้แค้น และตัดสินด้วยศาลเตี้ย