Why We Fight (1942-45) : Frank Capra, Anatole Litvak ♥♥♥♡
หลังสหรัฐอเมริกาถูกโจมตี Pearl Harbor เสนาธิการทหารบก George C. Marshall ติดต่อขอให้ผู้กำกับ Frank Capra สรรค์สร้างภาพยนตร์ชวนเชื่อ (Propaganda Film) เพื่อโต้ตอบกลับ Triumph of the Will (1935) กลายมาเป็นหนังซีรีย์จำนวน 7 ภาคละ 40-83 นาที
มีซ้ายก็ต้องมีขวา โลกใบนี้มีสองด้านเสมอๆ เลยไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ฝ่ายสัมพันธมิตร จะครุ่นคิดสรรค์สร้างภาพยนตร์ชวนเชื่อ เพื่อทำการโต้ตอบกลับ Triumph of the Will (1935) ของนาซีเยอรมัน!
แต่จะทำอย่างไรในการสรรค์สร้างภาพยนตร์ให้เอ่อล้นด้วยพลัง ทรงอิทธิพล และตราตรึงยิ่งกว่า? แน่นอนว่ามันเป็นไปได้เสียที่ไหน! ถึงอย่างนั้นวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ Frank Capra กลับมีความโคตรๆน่าสนใจ ใช้วิธีการนำฟุตเทจ Triumph of the Will (1935) มาหั่นเป็นชิ้นๆ ขยี้ความจริง พูดชี้นำผู้ชม(ชาวอเมริกัน)ว่าอะไรถูกอะไรผิด และเสริมเติมภาพกราฟิกให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจ
Use the enemy’s own films to expose their enslaving ends. Let our boys hear the Nazis and the Japs shout their own claims of master-race crud—and our fighting men will know why they are in uniform.
ตอนแรก Prelude to War (1942) คว้ารางวัล Oscar: Best Documentary Feature Film
ตอนที่ห้า The Battle of Russia (1944) เข้าชิง Oscar: Best Documentary Feature Film
ผมรู้สึกว่ามันมีความจำเป็นมากๆที่เราควรรับชม Triumph of the Will (1935) เคียงคู่กับ Why We Fight (1942-45) เพื่อให้พบเห็นมุมมองโลกทั้งสองด้าน ต่างฝ่ายต่างก็ยึดถือมั่นในอุดมคติสุดโต่ง ปฏิเสธโอนอ่อนผ่อนปรน ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่าไม่มีฝั่งฝ่ายไหนถูกต้อง ก็อาจพบเห็นหนทางสายกลางแห่งความสงบสุขแท้จริง
Frank Russell Capra ชื่อเดิม Francesco Rosario Capra (1897 – 1991) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติ Italian-American เกิดที่ Bisacquino, Sicily ตอนอายุ 5 ขวบ ครอบครัวอพยพสู่สหรัฐอเมริกา ปักหลักอยู่ยัง Los Angeles ฝั่งตะวันออก (ปัจจุบันคือ Chinatown) ทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ก่อนไปโรงเรียน, โตขึ้นเข้าศึกษา California Institute of Technology สาขา Chemical Engineering, แล้วอาสาสมัครเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปลดประจำการออกมากลายเป็นพลเมืองอเมริกัน เร่ร่อนออกหางานทำได้ใบบุญจากโปรดิวเซอร์ Harry Cohn กลายเป็นนักเขียน ตัดต่อ ผู้ช่วย กำกับภาพยนตร์สามเรื่องแรกร่วมกับ Harry Langdon ก่อนฉายเดี่ยวเรื่อง For the Love of Mike (1927) มีชื่อเสียงโด่งดังจาก Lady for a Day (1933) ตามด้วย It Happened One Night (1934), Mr. Deeds Goes to Town (1936), Lost Horizon (1937), You Can’t Take It With You (1938), Mr. Smith Goes to Washington (1939), Meet John Doe (1941), It’s a Wonderful Life (1946) ฯ
เมื่อทหารญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพ Pearl Harbor วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1971 และสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้กำกับ Capra ที่เคยรับใช้ชาติเมื่อตอนสงครามโลกครั้งแรก อาสาสมัครหวนเข้ากลับรับราชการทหาร Signal Corps ภายใต้เสนาธิการทหารบก George C. Marchall
ตั้งแต่เริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ละหน่วยงาน ภาครัฐ กองทัพ ฯ ต่างพยายามสร้างภาพยนตร์ชวนเชื่อ (Propaganda) เพื่อให้ชาวอเมริกันเกิดจิตสำนึก ความตระหนักถึงภยันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา แต่ยังไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนที่ทรงพลังมากพอจะต่อกรกับ Triumph of the Will (1935) จนกระทั่งการมาถึงของผู้กำกับ Capra
You were the answer to the General’s prayer. … You see, Frank, this idea about films to explain “Why” the boys are in uniform is General Marshall’s own baby, and he wants the nursery right next to his Chief of Staff’s office.
Now, Capra, I want to nail down with you a plan to make a series of documented, factual-information films—the first in our history—that will explain to our boys in the Army why we are fighting, and the principles for which we are fighting. … You have an opportunity to contribute enormously to your country and the cause of freedom. Are you aware of that, sir?
George C. Marchall
หลังการพบเจอครั้งนั้น Capra ถึงค่อยมีโอกาสรับชม Triumph of the Will (1935) (เพราะหนังชวนเชื่อเรื่องนี้ถูกแบนห้ามฉายในสหรัฐอเมริกา) แล้วเกิดความตระหนักว่านี่คือภาพยนตร์ที่น่าหวาดสะพรึง “terrifying motion picture”
[Triumph of the Will]’s the ominous prelude of Hitler’s holocaust of hate. Satan couldn’t have devised a more blood-chilling super-spectacle. Even this film fired no gun, dropped no bombs. But as a psychological weapon aimed at destroying the will to resist, it was just as lethal.
Frank Capra
Capra นั่งครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ๆ จะหาวิธีการอันใดในการโต้ตอบกลับ Triumph of the Will (1935) เพราะองค์กรในสังกัดขณะนี้ไม่ใช่สตูดิโอภาพยนตร์ ไม่มีอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ หรือทีมงานคอยให้ความช่วยเหลือใดๆ ก่อนได้ข้อสรุปแนวคิดพื้นฐาน ที่เชื่อว่ามีความทรงพลังอย่างยิ่ง
I thought of the Bible. There was one sentence in it that always gave me goose pimples: “Ye shall know the truth, and the truth shall make you free.”
Use the enemy’s own films to expose their enslaving ends. Let our boys hear the Nazis and the Japs shout their own claims of master-race crud—and our fighting men will know why they are in uniform.
โปรดักชั่นเริ่มต้นระหว่าง ค.ศ. 1942-45 วางแผนไว้ทั้งหมด 7 ภาค ความยาว 40-76 นาที โดยนำเอา Stock Footage, Newsreel รวมถึงภาพยนตร์ชวนเชื่อนาซี มาร้องเรียง ปะติดปะต่อ อธิบายด้วยภาพกราฟิกออกแบบโดยสตูดิโอ Walt Disney พร้อมเสียงบรรยายของ Walter Huston, Elliott Lewis, Harry von Zell, Lloyd Nolan และเพลงประกอบบรรเลงโดย Army Air Force Orchestra
ปล. คำอธิบายภาษาอังกฤษ คือสรุปความ (synopsis) โดยผู้กำกับ Frank Capra
Prelude to War (1942) ความยาว 52 นาที, อารัมบทสงครามโลกครั้งที่สอง อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการแบ่งโลกออกเป็นสองใบ ฝ่ายสัมพันธมิตร vs. อักษะ (นาซีเยอรมัน, ฟาสซิสต์อิตาลี และจักรวรรดิญี่ปุ่น)
[Prelude to War] presenting a general picture of two worlds; the slave and the free, and the rise of totalitarian militarism from Japan’s conquest of Manchuria to Mussolini’s conquest of Ethiopia.
Hitler rises. Imposes Nazi dictatorship on Germany. Goose-steps into Rhineland and Austria. Threatens war unless given Czechoslovakia. Appeasers oblige. Hitler invades Poland. Curtain rises on the tragedy of the century—World War II.
Divide and Conquer (1943) ความยาว 62 นาที, นำเสนอการบุกรุกราน Denmark, Norway, Switzerland และความพ่ายแพ้ของ France
Hitler occupies Denmark and Norway, outflanks Maginot Line, drives British Army into North Sea, forces surrender of France.
The Battle of Britain (1943) ความยาว 52 นาที, นำเสนอการต่อสู้ทางอากาศกับประเทศอังกฤษ ที่ทำให้นาซีเยอรมันได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
Showing the gallant and victorious defense of Britain by Royal Air Force, at a time when shattered, but unbeaten, British were the only people fighting Nazis.
The Battle of Russia (1943) ความยาว 83 นาที, มีแบ่งออกเป็น Part I และ II, เริ่มต้นนำเสนอประวัติศาสตร์การสงครามระหว่างรัสเซียกับเยอรมัน และสามารถโต้ตอบนาซีจนได้รับความเสียหายอย่างย่อยยับ
History of Russia; people, size, resources, wars. Death struggle against Nazi armies at gates of Moscow and Leningrad. At Stalingrad, Nazis are put through meat grinder.
The Battle of China (1944) ความยาว 65 นาที, นำเสนอการบุกรุกรานประเทศจีนของจักรวรรดิญี่ปุ่น แม้ได้รับชัยชนะในคราแรก แต่ก็ถูกโต้ตอบกลับอย่างสาสม
Japan’s warlords commit total effort to conquest of China. Once conquered, Japan would use China’s manpower for the conquest of all Asia.
War Comes to America (1945) ความยาว 65.20 นาที, เริ่มจากนำเสนอประวัติศาสตร์สร้างชาติสหรัฐอเมริกา มาจนถึงการถูกโจมตี Pearl Harbour คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาวอเมริกันต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งนี้
Dealt with who, what, where, why, and how we came to be the USA—the oldest major democratic republic still living under its original constitution. But the heart of the film dealt with the depth and variety of emotions with which Americans reacted to the traumatic events in Europe and Asia. How our convictions slowly changed from total non-involvement to total commitment as we realized that loss of freedom anywhere increased the danger to our own freedom. This last film of the series was, and still is, one of the most graphic visual histories of the United States ever made.
เกร็ด: Frank Capra ถือเป็นผู้กำกับหลักของหนังซีรีย์ชุดนี้ ยกเว้นเพียงตอนที่ห้า The Battle of Russia (1943) กำกับโดย Anatole Litvak
ความเห็นส่วนตัวนั้น Prelude to War (1942) เป็นภาคที่มีความน่าสนใจที่สุด (แต่ไม่ได้หมายความว่าดีที่สุดนะครับ) เพราะนำเสนอภาพรวม อธิบายเหตุผลการเกิดสงคราม โดยมีแบ่งแยกให้เห็นแนวคิดทางการเมืองระหว่างโลกสองใบ ฝ่ายอักษะ vs. สัมพันธมิตร แล้วทำการสรุปย่ออุดมการณ์สามชาติสมาชิกอักษะ นาซีเยอรมัน, ฟาสซิสต์อิตาลี และจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่มีความสอดคล้อง จุดมุ่งหมายละม้ายคล้ายคลึงกัน! … แต่มันก็สร้างความฉงนสงสัยว่าข้อสรุปเหล่านั้น เป็นจริงตามกล่าวอ้าง หรือเพียงคำชวนเชื่อล้างสมอง เพราะเสียงบรรยายพยายามเหลือเกินจะชี้นำ นาซีเลวอย่างโน้น ฟาสซิสต์แย่อย่างนี้ จักรวรรดิญี่ปุ่นชั่วร้ายอย่างนั้น มันเป็นการดูถูกเหยียดหยามที่ไร้ชั้นเชิงสิ้นดี!
ตอนที่สอง-สาม The Nazis Strike (1943) และ Divide and Conquer (1943) ผมมองว่าเป็นส่วนต่อขยายจาก Prelude to War (1942) นำเสนอการสงครามของนาซีเยอรมัน เริ่มจากกลับกลอกคำมั่นสัญญา แล้วทำการบุกโจมตี ยึดครอบครองนานาประเทศที่มีอาณาเขตอยู่รอบข้าง นำเสนอพร้อมกับภาพกราฟิกให้ผู้ชมเห็นภาพได้อย่างชัดเจน … Divide and Conquer (1943) น่าจะเป็นภาคดีที่สุดของซีรีย์ชุดนี้ ตัดต่อได้กระชับ เพลงประกอบลุ้นระทึก ภาพกราฟิกน่าติดตาม และเป็นภาคเดียวที่ผมนั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ (เพราะทั้งสองภาคนี้ เน้นนำเสนอข้อมูลสงครามล้วนๆ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังรับชมฟีล์มข่าว/Newsreel บันทึกเหตุการณ์เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์)
ผมคาดคิดว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าว เกิดขึ้นเพราะผกก. Capra มอบหมายให้ Anatole Litvak ซึ่งเป็นชาวรัสเซีย ดูแลงานสร้างในส่วน The Battle of Russia (1943) แล้วเสนอแนะวิธีดำเนินเรื่องโดยสมมติว่าผู้ชมไม่เคยรับรู้จักสหภาพโซเวียตมาก่อน ก็เลยเริ่มต้นด้วยการอธิบายพื้นหลัง ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต สภาพสังคม วัฒนธรรม และโดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างชนชาวรัสเซีย vs. เยอรมันนี ที่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลจนถึงปัจจุบัน
ย้อนกลับมา The Battle of Britain (1943) เอาจริงๆก็เป็นตอนที่น่าสนใจ แต่ผมรับรู้สึกว่าผู้กำกับ Capra พึ่งพาฟุตเทจจากภาพยนตร์ของประเทศอังกฤษมากเกินไป จนแทบกลายจะเป็นหนังแอ๊คชั่น ทั้งการสู้รบบนฟากฟ้า ระเบิดตกลงมา รวมถึงมุกตลกขบขันที่สอดแทรกอยู่เป็นระยะๆ … เอาว่าเป็นตอนดูสนุกที่สุดก็ว่าได้
สำหรับภาคห้า The Battle of Russia (1943) และหก The Battle of China (1944) ผมดูไปก็ขำไป เสียงผู้บรรยายพยายามสรรเสริญเยินยอปอปั้นผู้นำ Joseph Stalin และนายพลเจียงไคเช็ก เพราะยุคสมัยนั้นรัสเซียและจีนต่างเลือกข้างฝ่ายสัมพันธมิตร ก็เลยต้องสร้างภาพชวนเชื่อ ทำให้ทั้งสองประเทศดูยิ่งใหญ่ (รัสเซีย) น่าเห็นอกเห็นใจ (จีน) แม้ลึกๆในสันดานอเมริกันชน จะรังเกียจเหยียดหยามชาวรัสเซียและคนเอเชียผิวเหลือง
และโดยเฉพาะ War Comes to America (1945) ผมพยายามกดข้ามๆ ขี้เกียจทนดูชิบหาย เต็มไปด้วยคำสรรเสริญเยินยอปอปั้น อุดมการณ์ของฉันดีอย่างโน้น ยิ่งใหญ่เกรียงไกร เหนือกว่าใคร (การนำเสนอเช่นนี้มันต่างอะไรจากอุดมการณ์ฝ่ายอักษะ) ฉันจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาเหยียดย่ำยี ทำลายสิทธิเสรีภาพ ระบอบประชาธิปไตย ต้องทำให้นาซีเยอรมัน ฟาสซิสต์อิตาลี (ไม่เห็นแม้งจะทำอะไร) และจักรวรรดิญี่ปุ่น พ่ายแพ้อย่างราบคาบเป็นหน้ากอง
The victory of the democracies can only be complete with the utter defeat of the war machines of Germany and Japan.
George C. Marshall
ดั้งเดิมนั้นหนังซีรีย์ Why We Fight (1942-45) มีกลุ่มเป้าหมายฉายเพียงทหารเกณฑ์ภายในกองทัพ แต่หลังจากปธน. Franklin Roosevelt มีโอกาสรับชมภาคแรก Prelude to War (1942) จึงออกคำสั่งให้นำออกฉายสาธารณะ คาดการณ์ว่าจนสิ้นสุดสงครามโลก มีชาวอเมริกันได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้กว่า 54 ล้านคน!
การมาถึงของสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้มีสารคดี/ภาพยนตร์ชวนเชื่อผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด! เมื่อปี ค.ศ. 1941 สถาบัน Academy Award ได้มอบรางวัลพิเศษ (Special Awards) ให้กับ Kukan (1941) และ Target for Tonight (1941) รวมถึงก่อตั้งสาขา Best Documentary Short Film ผู้ชนะคือ Churchill’s Island (1941) หนังชวนเชื่อจากแคนาดา
ปีถัดมา ค.ศ. 1942 จึงทำการเหมารวม (ทั้งสารคดีขนาดสั้น-ขาว) กลายมาเป็นสาขา Best Documentary Feature Film โดยมีสารคดีเข้าชิงจำนวน 25 เรื่อง! และมอบรางวัลให้ภาพยนตร์ 4 เรื่อง ประกอบด้วย
The Battle of Midway (1942) กำกับโดย John Ford, หนังชวนเชื่อของกองทัพเรือ สหรัฐอเมริกา
Kokoda Front Line! (1942) กำกับโดย Ken G. Hall, หนังชวนเชื่อจากออสเตรเลีย
Moscow Strikes Back (1942) กำกับโดย Artkino, หนังชวนเชื่อจากสหภาพโซเวียต
Prelude to War (1942) กำกับโดย Frank Capra, หนังชวนเชื่อจากกระทรวงการสงครามสหรัฐ สหรัฐอเมริกา
แซว: น่าจะเพราะมีสารคดีเข้าชิงถึง 25 เรื่อง! ทำให้อีกปีถัดมา ค.ศ. 1943 สาขานี้จึงถูกจับแยกเป็น Feature Film และ Short Film สรุปคือ…
ค.ศ. 1941, มีการมอบรางวัลพิเศษ (Special Awards) และรางวัล Best Documentary Short Film
ค.ศ. 1942, ผนวกรวมสารคดีขนาดสั้น-ยาว Best Documentary Feature Length
ค.ศ. 1943 จนถึงปัจจุบัน, แบ่งออกเป็น Best Documentary Short Film และ Best Documentary Short Film
ปีถัดมาภาพยนตร์ภาคห้า The Battle of Russia (1943) กำกับโดย Anatole Litvak ก็มีโอกาสเข้าชิง Oscar: Best Documentary Feature Film แต่พ่ายให้กับ Desert Victory (1943) หนังชวนเชื่อจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเทศอังกฤษ
ปัจจุบัน US Army Pictorial Services อนุญาตให้ Why We Fight (1942-45) กลายเป็นสาธารณสมบัติ (Public Domain) สามารถหารับชมออนไลน์ คุณภาพ HD ได้บนเว็บไซต์ Youtube ครบทั้ง 7 ตอน
Why We Fight (1942-45) อาจไม่ใช่ภาพยนตร์/สารคดีที่มีความบันเทิงเริงรมณ์นัก แต่ผมกลับรู้สึกเพลิดเพลินในลีลาการนำเสนอ เทคนิคตัดต่อ เพลงประกอบลุ้นระทึก ภาพกราฟิกน่าตื่นตาตื่นใจ แม้มันอาจเทียบความยิ่งใหญ่ไม่ได้กับ Triumph of the Will (1935) ยังต้องถือว่าทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไม่แพ้กัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกเพลิดเพลินมากๆ คือสังเกตหาว่ามีการนำฟุตเทจมาจากแห่งหนไหน? ภาพยนตร์เรื่องอะไร? รับรู้จักมากน้อยเท่าไหร่? อาจยังไม่มากมายเทียบเท่า Histoire du cinéma (1988) หรือ The Image Book (2018) ของผู้กำกับ Jean-Luc Godard แต่สามารถมองในลักษณะ ‘essay film’ ไม่ต่างกัน!
แนะนำอย่างยิ่งกับผู้มีความสนใจในสงครามโลกครั้งที่สอง มุมมองฝ่ายสัมพันธมิตร โลกทัศนคติของสหรัฐอเมริกา Why We Fight (1942-45) ถือเป็นภาพยนตร์ทรงคุณค่าด้านวิชาการ คาบเรียนประวัติศาสตร์อย่างมากๆ … สมควรรับชมเคียงข้าง Triumph of the Will (1935) เพื่อให้สามารถเข้าถึงมุมมองทั้งสองฝั่งฝ่าย
สร้างใหม่จาก A Guy Named Joe (1943) หนึ่งในแรงบันดาลใจ Steven Spielberg ให้อยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ นำเสนอเรื่องราวความเชื่อว่าเมื่อคนรักตายจากไป อีกฝ่ายจะกลายเป็นวิญญาณ ยังคงล่องลอยอยู่เคียงข้าง ‘ตลอดไป’
Steven Allan Spielberg (เกิดปี 1946) เจ้าของฉายา ‘พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์’ เกิดที่ Cincinnati, Ohio ในครอบครัว Orthodox Jewish ปู่ทวดอพยพจากประเทศ Ukrane ชอบเล่าอดีตถึงญาติพี่น้องที่ต้องสูญเสียชีวิตในค่ายกักกันนาซี, ตั้งแต่เด็กค้นพบความสนใจในสื่อภาพยนตร์ Captains Courageous (1937), Pinocchio (1940), Godzilla, King of the Monsters (1956), Lawrence of Arabia (1962), รวมถึงหลายๆผลงานของผู้กำกับ Akira Kurosawa, กำกับเขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรก Firelight (1963) โดยได้ทุนจากครอบครัว $500 เหรียญ
หลังเรียนจบมัธยมปลายมุ่งสู่ Los Angeles เข้าศึกษาต่อ California State University, Long Beach ระหว่างนั้นเป็นเด็กฝึกงานยัง Universal Studios มีโอกาสถ่ายทำหนังสั้น Amblin’ (1968) คว้ารางวัลมากมายจนไปเข้าตารองประธานสตูดิโอขณะนั้น Sidney Sheinberg จับเซ็นสัญญา 7 ปี ดรอปเรียนมหาวิทยาลัย เริ่มทำงานเป็นผู้กำกับซีรีย์โทรทัศน์ Night Gallery (1969) ตอน Eyes นำแสดงโดย Joan Crawford แม้เสียงตอบรับจะไม่ค่อยดีนัก แต่ได้รับคำชื่นชมจาก Crawford เชื่อเลยว่าไอ้เด็กคนนี้อนาคตไกลแน่ๆ
เมื่อครั้นสรรค์สร้าง Jaws (1974) ผกก. Spielberg มีโอกาสสนทนา Richard Dreyfuss เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง A Guy Named Joe (1943) ค้นพบว่าต่างฝ่ายต่างมีความชื่นชอบโปรดปราน รสนิยมเดียวกัน!
ต่างฝ่ายต่างพยายามมองหาโอกาสร่วมกันสร้างใหม่ A Guy Named Joe (1943) จนกระทั่ง Spielberg หลังเสร็จจาก Indiana Jones and the Last Crusade (1989) ต้องการหยุดพักหนัง Blockbuster สักระยะ เพื่อเติมเต็มอีกหนึ่งความเพ้อฝันวัยเด็กสักที!
เกร็ด: A Guy Named Joe (1943) ภาพยนตร์แนว Romantic Fantasy Drama กำกับโดย Victor Fleming, นำแสดงโดย Spencer Tracy ประกบ Irene Dunne สามารถเข้าชิง Oscar: Best Original Story แต่พ่ายให้กับ Going My Way (1943)
บทหนังพัฒนาโดย Jerry Belson ทำการเปลี่ยนแปลงพื้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มาเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในปัจจุบัน Pete Sandich คือนักบินดับเพลิง (จากเดิมเป็นนักขับเครื่องบินทิ้งระเบิด) ระหว่างเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ สามารถให้ความช่วยเหลือเพื่อนสนิท แต่ตนเองกลับจนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต! (ดั้งเดิมคือเครื่องบินถูกศัตรูโจมตี Pete เสียสละตนเองเพื่อให้ลูกเรือคนอื่นรอดชีวิต)
เรื่องราวของ Pete Sandich (รับบทโดย Richard Dreyfuss) คือนักบินดับเพลิง ผู้ชื่นชอบชีวิตโลดโผน จนสร้างความไม่พึงพอใจต่อแฟนสาว Dorinda Durston (รับบทโดย Holly Hunter) พยายามโน้มน้าวให้เขาเลิกเล่นกับความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ แล้วเครื่องบินของเพื่อนสนิท Al Yackey (รับบทโดย John Goodman) มีปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง Pete เข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับทำให้เขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
ตัดต่อโดย Michael Kahn ขาประจำของ Spielberg ร่วมงานกันมาตั้งแต่ Close Encounters of the Third Kind (1977), หนังดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองของ Pete Sandich สามารถแบ่งออกเป็นครึ่งแรก-ครึ่งหลัง เมื่อครั้นยังมีชีวิต-กลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์
ครึ่งแรก, เมื่อครั้นยังมีชีวิต
ภารกิจดับเพลิง กับเหตุการณ์เฉียดเป็นเฉียดตาย
งานเลี้ยงวันเกิด Dorinda Durston
Dorinda พยายามเกลี้ยกล่อม Pete ให้ละเลิกพฤติกรรมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
Pete ให้ความช่วยเหลือเพื่อนสนิท เป็นเหตุให้ตนเองประสบโศกนาฎกรรม
ครึ่งหลัง, กลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ (ชวนให้นึกถึง Wings of Desire (1987) อยู่ไม่น้อย)
Pete ฟื้นคืนชีพกลายเป็นวิญญาณ พบเจอกับ Hap อธิบายหน้าที่ใหม่
ภารกิจดับเพลิงครั้งใหม่ Dorinda แอบอาสาขึ้นบิน Pete คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างๆ
หลังเหตุการณ์นั้นทำให้ Pete สามารถปล่อยละวาง อำนวยอวยพรขอให้โชคดี
การนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองวิญญาณล่องลอย –ชวนให้ผมนึกถึง Wings of Desire (1987)– อาจสร้างความโคตรรำคาญให้ใครหลายคน นั่นเพราะคำพูดของ Pete ล้วนถูก Ted ทำหูทวนลม แทบไม่สามารถปรับเปลี่ยนสิ่งใด แล้วจะให้กลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ทำไมกัน? ผมมองว่าการหูทวนลมของ Ted ล้อกับพฤติกรรมก่อนหน้าของ Pete เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ไม่เคยรับฟังอะไรใคร -กรรมสนองกรรม- จุดประสงค์ก็เพื่อให้ตัวละครตระหนักถึงสันดานธาตุแท้ตัวเอง เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง มอบความเชื่อมั่นแก่ผู้อื่น เพื่อท้ายสุดเขาจักได้ไปสู่สุขคติ/สรวงสวรรค์
เพลงประกอบโดย John Williams ขาประจำผู้กำกับ Spielberg ร่วมงานกันมาตั้งแต่ The Sugarland Express (1944), สำหรับ Always (1989) เต็มไปด้วยท่วงทำนองที่มีความอ่อนไหว (Sentimental) ให้ผู้ชมรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ล่องลอยบนปุยเมฆ มอบสัมผัสของจิตวิญญาณ ที่มีทั้งความสุข-ทุกข์ ดีใจ-เศร้าโศก ยังคงโหยหาช่วงเวลาแห่งชีวิต ก่อนเรียนรู้ที่จะปล่อยวางทุกความหมกมุ่นยึดติด และไปสู่สุขคติ
สำหรับ Smoke Gets in Your Eyes ต้นฉบับแต่งโดย Jerome Kern, คำร้องโดย Otto A. Harbach, สำหรับละครเพลง Roberta (1933) และเคยประกอบภาพยนตร์ A Guy Named Joe (1943) ด้วยเช่นกัน! ฉบับที่ใช้ในหนังขับร้องโดย J. D. Souther
Pete Sandich เป็นบุคคลชื่นชอบความตื่นเต้นท้าทาย จนบางครั้งทำตัวโลดโผนเกินเลยเถิดไปไกล แถมไม่เคยสนใจใครอื่นรอบข้าง แม้แต่แฟนสาว Dorinda Durston ยังพยายามหักห้ามปรามก็ไม่เคยครุ่นคิดรับฟัง แถมยังกีดกันไม่ให้เธอกระทำสิ่งย้อนรอยแบบเดียวกับตนเองอีกต่างหาก
เท่าที่ผมอ่านจากชีวประวัติผู้กำกับ Spielberg เล่าว่ามีโอกาสรับชม A Guy Named Joe (1943) ร่วมกับบิดา ซึ่งเคยเป็นทหารผ่านศึกช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สูญเสียเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องมากมาย นั่นกระมังที่สร้างความประทับฝังใจไม่รู้เลือน ครุ่นคิดสรรค์สร้าง Always (1989) เพื่อส่งต่อเรื่องราวดีๆ ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิต จิตวิญญาณของคนที่เรารัก จักยังคงอยู่เคียงข้างกันตลอดไป
นอกจากการแสดงของ Holly Hunter, บทบาทสุดท้ายของ Audrey Hepburn และเพลงประกอบเพราะๆของ John Williams อะไรอย่างอื่นผมแทบไม่เห็นความน่าสนใจ รู้สึกผิดหวัง เสียเวลา เอาจริงๆไม่อยากเขียนบทความนี้ด้วยซ้ำ แต่ครุ่นคิดอยากให้คนที่ชื่นชอบโปรดปราน Always (1989) ได้พบเห็นมุมมองด้านอื่นของหนังบ้าง
แทนที่จะเสียเวลารับชม A Guy Named Joe (1943) หรือ Always (1989) ผมแนะนำให้ไปหา It’s a Wonderful Life (1946) หรือ Wings of Desire (1987) หรือ Ghost (1990) จะสร้างความตระหนักถึง ‘คุณค่าของชีวิต’ ได้ตราตรึงกว่าเป็นไหนๆ
The Sugarland Express (1974) : Steven Spielberg ♥♥♥
สองสามีภรรยาหลบหนีออกจากเรือนจำ ปล้นรถตำรวจ ลักพาตัวสายตรวจ มุ่งหน้าสู่ Sugar Land เพื่อทวงคืนสิทธิ์การเลี้ยงดูบุตรชาย แต่ความเพ้อฝันของพวกเขาไม่ได้เคลือบด้วยน้ำตาล มันคือหนทางด่วนมุ่งสู่หายนะต่างหาก!
The Sugarland Express (1974) ถือเป็นผลงานเรื่องแรกของผู้กำกับ Steven Spielberg ที่สร้างขึ้นเพื่อเข้าฉายในโรงภาพยนตร์โดยตรง! (ก่อนหน้านี้ Duel (1971) สร้างขึ้นเพื่อสื่อโทรทัศน์ แล้วถึงได้รับโอกาสออกฉายในโรงภาพยนตร์) เอาจริงๆถ้าไม่คิดอะไรมากคือหนังที่เน้นขายความบันเทิง ชวนขำกลิ้ง “Ace in the Hole (1951) บนทางด่วน” เพลิดเพลินงานภาพสวยๆของ Vilmos Zsigmond และการร่วมงานครั้งแรกกับ John Williams แค่นั้นแหละ!
ปัญหาของ The Sugarland Express (1974) ผมมองว่าคือบทหนัง (แต่ดันไปคว้ารางวัล Best Screenplay จากเทศกาลหนังเมือง Cannes ซะงั้น!) เหมือนต้องการเสียดสีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับสังคมอเมริกัน แต่ผู้ชมกลับไม่สามารถจับต้องประเด็นนั้น พยายามจะสื่อถึงอะไรกันแน่? ตำรวจแห่ติดตามกันมานับร้อยคันเพื่ออะไร? หลายๆเหตุการณ์ราวกับเพียงความบันเทิงของผู้สร้าง แค่นั้นเองหรือ?
และผมยังรู้สึกว่า Spielberg แทบไม่มีความเป็นตัวของตนเองในการสรรค์สร้างผลงานเรื่องนี้ พยายามอ้างอิงแนวคิด/คัทลอกเทคนิคจากภาพยนตร์หลายๆเรื่อง อาทิ Ace in the Hole (1951), Bonnie and Clyde (1967), Vanishing Point (1971), The Getaway (1972), รวมถึงอิทธิพลจาก Hitchcockian, Altmanesque ฯลฯ เอาจริงๆมันไม่ผิดอะไรนะครับ แต่พอนำมาผสมผสานคลุกเคล้า ผลลัพท์กลับยังไม่ค่อยน่าประทับใจสักเท่าไหร่
Spielberg is admittedly a skillful (if vulgar) technician, and he understands how to engineer car chases and crashes; but he doesn’t have an original idea or the slightest feeling for people. A good way to test a young director is to look at his handling of actors; Spielberg fails that test miserably. Under his direction even the nonprofessionals act like Hollywood hams, and Goldie Hawn pulls all the stops out in some hysterical screaming scenes that are embarrassingly amateurish.
นักวิจารณ์ Stephen Farber จาก The New York Times
Steven Allan Spielberg (เกิดปี 1946) เจ้าของฉายา ‘พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์’ เกิดที่ Cincinnati, Ohio ในครอบครัว Orthodox Jewish ปู่ทวดอพยพจากประเทศ Ukrane ชอบเล่าอดีตถึงญาติพี่น้องที่ต้องสูญเสียชีวิตในค่ายกักกันนาซี, ตั้งแต่เด็กค้นพบความสนใจในสื่อภาพยนตร์ Captains Courageous (1937), Pinocchio (1940), Godzilla, King of the Monsters (1956), Lawrence of Arabia (1962), รวมถึงหลายๆผลงานของผู้กำกับ Akira Kurosawa, กำกับเขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรก Firelight (1963) โดยได้ทุนจากครอบครัว $500 เหรียญ
หลังเรียนจบมัธยมปลายมุ่งสู่ Los Angeles เข้าศึกษาต่อ California State University, Long Beach ระหว่างนั้นเป็นเด็กฝึกงานยัง Universal Studios มีโอกาสถ่ายทำหนังสั้น Amblin’ (1968) คว้ารางวัลมากมายจนไปเข้าตารองประธานสตูดิโอขณะนั้น Sidney Sheinberg จับเซ็นสัญญา 7 ปี ดรอปเรียนมหาวิทยาลัย เริ่มทำงานเป็นผู้กำกับซีรีย์โทรทัศน์ Night Gallery (1969) ตอน Eyes นำแสดงโดย Joan Crawford แม้เสียงตอบรับจะไม่ค่อยดีนัก แต่ได้รับคำชื่นชมจาก Crawford เชื่อเลยว่าไอ้เด็กคนนี้อนาคตไกลแน่ๆ
หลังจากกำกับซีรีย์/ภาพยนตร์โทรทัศน์ให้ Universal Television มาหลายเรื่อง Spielberg ก็พยายามโน้มน้าวโปรดิวเซอร์ Richard Zanuck และ David Brown ขอโอกาสในการสรรค์สร้างภาพยนตร์
นำเสนอโปรเจคดัดแปลงจากเหตุการณ์จริง! เรื่องราวของสองสามีภรรยา Robert ‘Bobby’ Dent (1946-69) และ Ila Fae Holiday/Dent (1947-89) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1969 ทำการปล้นรถตำรวจ ลักพาตัวสายตรวจ J. Kenneth Crone เดินทางมุ่งสู่ Wheelock, Texas เพื่อเยี่ยมเยียนบุตรชายที่อาศัยอยู่กับมารดา (ของ Ila Fae Holiday)
ร่วมพัฒนาบทกับ Hal Barwood และ Matthew Robbins ซึ่งทำการปรับเปลี่ยนหลายๆสิ่งอย่างจากเหตุการณ์จริงให้เหมาะสมกับสื่อภาพยนตร์ โดยเฉพาะจุดประสงค์การปล้นรถตำรวจ ลักพาตัวสายตรวจ และสถานที่ปลายทางจาก Wheelock มาเป็น Sugar Land, Texas
อารัมบทแหกคุกหลบหนี แต่จริงๆแล้ว Bobby ไม่ได้หลบหนีออกจากคุก เขาได้รับการปล่อยตัวตั้งแต่เดือนปลายเมษายน สองสัปดาห์ก่อนก่อเหตุดังกล่าว
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์จริงเกิดจาก Bobby และ Fae ถูกตำรวจจราจรเรียกตรวจ แต่เขาเกิดอาการตื่นตระหนกเลยขับรถหลบหนี
จากนั้นทั้งสองทิ้งรถในพงไม้ วิ่งหลบหนีมายังบ้านไร่ โทรแจ้งตำรวจแสร้งว่าโดนปล้น ถูกทำร้ายร่างกาย จากนั้นดักทำร้ายสายตรวจ J. Kenneth Crone แล้วบังคับให้ช่วยขับรถพาหลบหนี
ถ่ายภาพโดย Vilmos Zsigmond (1930-2016) สัญชาติ Hungarian, เมื่ออายุ 17 ได้รับของขวัญจากคุณลุงคือหนังสือ The Art of Light รวบรวมภาพถ่ายขาว-ดำของ Eugene Dulovits เลยตัดสินใจทำงานโรงงาน เก็บเงินซื้อกล้อง ทดลองผิดลองถูก จนได้รับการสนับสนุนให้เข้าเรียน Színház- és Filmművészeti Egyetem (SZFE) สนิทสนิมกับ László Kovács ร่วมกันแอบถ่ายเหตุการณ์ 1956 Hungarian Revolution แล้วอพยพหลบหนีสู่สหรัฐอเมริกา ขายฟุตเทจดังกล่าวให้สถานีโทรทัศน์ CBS แล้วปักหลักอาศัยอยู่ Los Angeles เริ่มจากถ่ายทำหนัง Horror เกรดบี, กระทั่งมีโอกาสเป็นตากล้อง The Hired Hand (1971) ฝีมือเข้าตาผกก. Robert Altman ชักชวนมาร่วมงาน McCabe & Mrs. Miller (1971) จากนั้นกลายเป็นขาประจำกลาย American New Wave, เคยร่วมงานผู้กำกับ Steven Spielberg สองครั้ง The Sugarland Express (1974) และ Close Encounters of the Third Kind (1977)
หนังใช้เวลาโปรดักชั่นประมาณ 3 เดือน ระหว่างธันวาคม 1972 ถึงมีนาคม 1973, ถ่ายทำแบบไล่เลียงลำดับ (Chronological Order) เริ่มจากเรือนจำ Jester State Prison Farm (ในหนังอ้างว่าอยู่ Houston แต่จริงๆแล้วคือ Fort Bend County) พานผ่าน San Antonio, Live Oak, Floresville, Pleasanton, Converse, Del Rio ส่วนเป้าหมายปลายทางบ้านครอบครัวบุญธรรมที่ Sugar Land (แต่สถานที่ถ่ายทำคือ Floresville, Texas)
สำหรับหนังที่ฉายในโรงภาพยนตร์ไดรฟ์อิน (Drive In Movie Theater) ประกอบด้วย
Sssssss (1973) หนังแนวสยองขวัญ (Horror) เกี่ยวกับอสรพิษ สร้างโดยโปรดิวเซอร์ Richard Zanuck และ David Brown (ผู้อนุมัติโปรเจค The Sugarland Express (1974))
หลังถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส Clovis พยายามดื้นรนเฮือกสุดท้าย เหมือนต้องการพา Lou Jean ข้ามชายแดนสู่ Mexico แต่เส้นทางกลับค่อยๆไล่ระดับลงจากเนินเขา มาสิ้นสุดยังแม่น้ำ Rio Grande ซึ่งสามารถใช้เป็นสัญลักษณ์ของความตาย และฟากฝั่งตรงกันข้ามคือหน้าผาสูงชัญ หมายถึงไม่ทางที่พวกเขาจะสามารถหลบหนีจากอาชญากรรมที่เคยกระทำ
Spielberg has paid too much attention to all those police cars (and all the crashes they get into), and not enough to the personalities of his characters. We get to know these three people just enough to want to know them better.
นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 2.5/4
เพลงประกอบโดย John Towner Williams (เกิดปี 1935) นักแต่งเพลงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Flushing, New York City บิดาเป็นนักดนตรีแจ๊ส เคยเล่นให้กับวง Raymond Scott Quintet, เมื่อครอบครัวอพยพสู่ Los Angeles สามารถสอบเข้า University of California, Los Angeles (UCLA) ร่ำเรียนการแต่งเพลงกับ Mario Castelnuovo-Tedesco, จากนั้นอาสาสมัครทหารอากาศ แผนกดนตรี เล่นเปียโน กำกับวง U.S. Air Force Band, เมื่อปี 1955 หวนกลับมา New York City เพื่อร่ำเรียน Juilliard School ทีแรกตั้งจะเป็นนักเปียโนคอนเสิร์ต (Concert Pianist) แต่พอมีโอกาสรับชมการแสดงของ John Browing และ Van Cliburn เลยตัดสันใจเปลี่ยนมาเอาจริงเอาจังด้านการแต่งเพลง
หลังสำเร็จการศึกษาจาก Juilliard หวนกลับ Los Angeles ได้ทำงานเป็นนัก Orchestrator ให้นักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง Franz Waxman, Bernard Herrmann, Alfred Newman, แล้วมีโอกาสเล่นเปียโนผลงาน South Pacific (1958), Some Like It Hot (1959), The Apartment (1960), Charade (1963) ฯลฯ ส่วนเครดิตเพลงประกอบเริ่มจาก Daddy-O (1958), Valley of the Dolls (1967), Goodbye, Mr. Chips (1969), Fiddler on the Roof (1971), The Poseidon Adventure (1972) ฯลฯ
ผู้กำกับ Spielberg มีความประทับใจ Williams จากผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ The Reivers (1969) และ The Cowboys (1972) เลยติดต่อขอร่วมงาน The Sugarland Express (1974) โดยไม่รู้ตัวกลายเป็นเพื่อนสนิท ขาประจำ ร่วมงานกันแทบทุกครั้งตลอดระยะเวลากว่า 50+ ปี
ผิดกับ Duel (1971) ที่เปิดกว้างให้ผู้ชมสามารถขบครุ่นคิดตีความ, The Sugarland Express (1974) แม้ก็นำเสนอเรื่องราวของการถูกไล่ล่า (เปลี่ยนจากรถบรรทุก มาเป็นฝูงตำรวจ) แต่จำเพาะเจาะจงถึงวิถีอเมริกันชน ในยุคสมัยแห่งความหวาดระแวง (สงครามเย็น), ก่อการร้าย (ทศวรรษแห่งการลอบสังหาร John F. Kennedy, Malcolm X, Martin Luther King Jr. ฯลฯ) และคอรัปชั่นภายใน (ปธน. Richard Nixon)
ผมยังไม่เคยรับชม The Fablemans (2022) แต่ได้ยินว่าจะทำให้ผู้ชมตระหนักความสัมพันธ์ระหว่างผกก. Spielberg กับมารดา ที่มีความละม้ายคล้ายตัวละคร Lou Jean Poplin ใน The Sugarland Express (1974) เป็นยังไงก็ลองหาดูเอาเองนะครับ
ด้วยทุนสร้าง $3 ล้านเหรียญ สามารถทำเงินในสหรัฐอเมริกา $7.5 ล้านเหรียญ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ที่ถือเป็นกำไรคือการคว้ารางวัล Best Screenplay จากเทศกาลหนังเมือง Cannes อย่างโคตรๆเซอร์ไพรส์ ประธานกรรมการปีนั้นคือ René Clair มอบรางวัล Palme d’Or ให้กับ The Conversation (1974)
ผลงานเรื่องแรกได้รับโอกาสฉายในโรงภาพยนตร์ของผู้กำกับ Steven Spielberg นำเสนอการท้าดวลระหว่างรถเก๋ง vs. รถบรรทุก ที่มีความเสี่ยงอันตราย ท้าความตาย เต็มไปด้วยความตื่นเต้นลุ้นระทึก และแฝงนัยยะลุ่มลึกอย่างคาดไม่ถึง
ดั้งเดิมนั้น Duel (1971) สร้างขึ้นสำหรับฉายรายการโทรทัศน์ Movie of the Week ออกอากาศทางช่อง ABC แต่ด้วยเสียงตอบรับที่ดีล้นหลาม เลยได้รับทุนเพิ่มเติมจาก Universal Television ขยับขยายกลายมาเป็นฉบับภาพยนตร์ความยาว 90 นาที อาจไม่ได้ทำเงินสักเท่าไหร่ แต่สามารถสร้างกระแส Cult Classic
นั่นเพราะเรื่องราวของ Duel (1971) สามารถตีความได้มากกว่าแค่การดวลกันระหว่างรถเก๋ง vs. รถบรรทุก, มนุษย์ (man) vs. จักรกล (machine), ยังเหมารวมถึงอัตลักษณ์ทางเพศ สถานะทางครอบครัว ชนชั้นทางสังคม แถมเรื่องราวเกิดขึ้นวันเดียวกับเหตุการณ์ลอบสังหารปธน. John F. Kennedy และยังมีนักวิจารณ์นำการต่อสู้ครั้งนี้ไปเปรียบเทียบปรัมปรา David and Goliath (Jack ผู้ฆ่ายักษ์) … สิ่งเหล่านี้แม้แต่ผกก. Spielberg ก็ยังบอกว่าครุ่นคิดไม่ถึงจริงๆ
It taught me to think a little more in the abstract […] It really instructed me not to just look at something and say, ‘Okay, everybody is bound to see this picture the way I see this picture. We’re going to see the same colors, the same sky and horizon. We’re going to interpret this exactly alike.’ I learned very early on that nobody ever sees the same picture the same way. It’s impossible.
Steven Spielberg
เอาจริงๆผมรู้สึกว่า Duel (1971) อาจเป็นผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของผกก. Spielberg เสียด้วยซ้ำ! เต็มไปด้วยกลิ่นอาย Clouzot และ Hitchcockian ส่วนผสมระหว่าง The Wages of Fear (1953), Psycho (1960) และ Bullitt (1968) โดยเฉพาะลีลาตัดต่อที่สามารถสร้างความหวาดระแวง วิตกจริต (Suspense) และการใช้เสียง (Sound Effect) ราวกับรถทั้งสองคันสามารถพูดคุยสื่อสาร (ส่งเสียงบรื้นๆ มากกว่าบทพูดตัวละครเสียอีกนะ!)
Steven Allan Spielberg (เกิดปี 1946) เจ้าของฉายา ‘พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์’ เกิดที่ Cincinnati, Ohio ในครอบครัว Orthodox Jewish ปู่ทวดอพยพจากประเทศ Ukrane ชอบเล่าอดีตถึงญาติพี่น้องที่ต้องสูญเสียชีวิตในค่ายกักกันนาซี, ตั้งแต่เด็กค้นพบความสนใจในสื่อภาพยนตร์ Captains Courageous (1937), Pinocchio (1940), Godzilla, King of the Monsters (1956), Lawrence of Arabia (1962), รวมถึงหลายๆผลงานของผู้กำกับ Akira Kurosawa, กำกับเขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรก Firelight (1963) โดยได้ทุนจากครอบครัว $500 เหรียญ
หลังเรียนจบมัธยมปลายมุ่งสู่ Los Angeles เข้าศึกษาต่อ California State University, Long Beach ระหว่างนั้นเป็นเด็กฝึกงานยัง Universal Studios มีโอกาสถ่ายทำหนังสั้น Amblin’ (1968) คว้ารางวัลมากมายจนไปเข้าตารองประธานสตูดิโอขณะนั้น Sidney Sheinberg จับเซ็นสัญญา 7 ปี ดรอปเรียนจากมหาวิทยาลัย เริ่มทำงานเป็นผู้กำกับซีรีย์โทรทัศน์ Night Gallery (1969) ตอน Eyes นำแสดงโดย Joan Crawford แม้เสียงตอบรับจะไม่ค่อยดีนัก แต่ได้รับคำชื่นชมจาก Crawford เชื่อเลยว่าไอ้เด็กคนนี้อนาคตไกลแน่ๆ
สำหรับ Duel (1971) ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Richard Matheson ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ตรง หลังเลิกเล่นกอล์ฟกับเพื่อนสนิท ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน ถูกรถบรรทุกพยายามจี้ท้ายด้านหลัง พอปล่อยให้แซงกลับแสร้งขับช้าๆ ทำท่าทางยียวนกวนบาทา และที่จดจำไม่ลืมเพราะวันนั้น 22 พฤศจิกายน 1963 เดียวกับปธน. John F. Kennedy ถูกลอบสังหารเสียชีวิต!
เกร็ด: Richard Matheson (1926-2013) นักเขียนชาวอเมริกัน เจ้าของผลงานดังๆอย่าง I Am Legend (1954), The Shrinking Man (1956), What Dreams May Come (1978) ฯลฯ
ระหว่างรับชมผมไม่รู้สึกถึงความผิดปกติทางเพศใดๆของตัวละคร แต่เพราะมีการชนท้ายรถเก๋ง นั่นสามารถตีความถึงเพศสัมพันธ์ประตูหลัง ช่วงแรกๆ David Mann พยายามจะเร่งความเร็วหลบหนี (เพราะจะบอกว่าฉันไม่ใช่เกย์) แต่ไคลน์แม็กซ์ปล่อยให้อีกฝ่ายประสานงานอย่างเต็มที่ … ก็แล้วแต่ผู้ชมจะครุ่นคิดจินตนาการ ผู้กำกับ Spielberg ก็อ้ำๆอึ้งๆ ไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆออกมา
ถ่ายภาพโดย Jack A. Marta (1903-91) ตากล้องสัญชาติอเมริกัน ในสังกัด Universal Television ผลงานตั้งแต่ยุคหนังเงียบ What Price Glory (1926), โด่งดังกับหนัง Western เกรดบีนับร้อยๆเรื่องช่วงทศวรรษ 30s-60s อาทิ Dark Command (1940), Hellfire (1949), The Last Bandit (1949), Cat Ballou (1965), ก่อนเปลี่ยนมาถ่ายซีรีย์/ภาพยนตร์ฉายโทรทัศน์ดังๆอย่าง Batman (1966), Duel (1971), Hawaii Five-O (1978-80) ฯลฯ
ความแตกต่างด้านขนาดระหว่างรถเก๋ง vs. รถบรรทุก มีนักวิจารณ์อ้างอิงถึงคัมภีร์ไบเบิล (1 Samuel 17) เรื่องราวของ David and Goliath มนุษย์ตัวเล็กๆที่สามารถล้มยักษ์ Goliath เป็นคำเรียกที่กล่าวถึงสถานการณ์เบี้ยล่าง (underdog) ตัวเล็กกว่า อ่อนแอกว่า แต่กลับได้รับชนะเหนืออีกฝั่งฝ่ายที่ขนาดใหญ่กว่า เข้มแข็งแกร่งกว่า
การนำเสนอลักษณะนี้ก็เพื่อให้ ‘รถบรรทุก’ คือตัวแทนของผู้ร้าย (The truck as the villain) ใครก็ไม่รู้แต่มีพฤติกรรมแย่ๆ สร้างความหวาดกลัว หวาดระแวง เมื่อได้รับการกลั่นแกล้ง ‘bully’ จึงต้องการแก้แค้นทวงคืน
the effect of not seeing the driver makes the real villain of the film the truck itself, rather than the driver.
Steven Spielberg
แต่ใช่ว่ารถบรรทุกไม่มีคนขับนะครับ คือสตั๊นแมนชื่อ Carey Loftin อายุ 50 ปี ก่อนเริ่มถ่ายทำสอบถามแรงบันดาลใจตัวละครกับ Spielberg ได้รับคำตอบ “You’re a dirty, rotten, no-good son of a bitch.” เมื่อรับฟังเช่นนั้น Loftin ตอบกลับว่า “Kid, you hired the right man.”
ตัดต่อโดย Frank E. Morriss (1927-2013) สัญชาติอเมริกัน เข้าสู่วงการช่วงทศวรรษ 60s จากเป็นนักตัดต่อซีรีย์/ภาพยนตร์โทรทัศน์ ผลงานเด่นๆ อาทิ Duel (1971), Charley Varrick (1973), Blue Thunder (1983), Romancing the Stone (1984), Short Circuit (1986) ฯลฯ
หนังดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมอง/สายตาตัวละคร David Mann ระหว่างกำลังขับรถไปทำงาน พานผ่านทะเลทราย Mojave Desert แล้วถูกไล่ล่าท้าดวลโดยรถบรรทุก พยายามจี้ท้าย ชนกระโปรงหลัง จนเกิดอาการหวาดระแวง วิตกจริต ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายต้องการเข่นฆาตกรรม
เพลงประกอบโดย William Leon Goldenberg (1936-2020) นักแต่งเพลงสัญชาติอเมริกัน เริ่มเล่นเปียโน ไวโอลินตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ตั้งใจอยากเข้าโรงเรียน Juilliard แต่พอบิดาถูกไล่ออกจากงาน เลยเปลี่ยนความสนใจสอบเข้า Columbia College ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่สักพัก แล้วลาออกมาทำตามความฝัน เริ่มจากเขียนเพลงให้การแสดงตลก Broadway ของ Mike Nichols และ Elaine May, จากนั้นเข้าร่วม Universal Television ผลงานส่วนใหญ่คือซีรีย์/ละครโทรทัศน์, เคยร่วมงานผู้กำกับ Steven Spielberg ตั้งแต่กำกับตอน Night Gallery, Columbo, The Name of the Game และ Duel (1971)
แซว: จะว่าไปภาพยนตร์แทบทุกเรื่องของผู้กำกับ Spielberg ล้วนเกี่ยวกับการ ‘ถูกไล่ล่า’ จากอะไรบางอย่าง อาทิ ฝูงตำรวจ The Sugarland Express (1974), ปลาฉลาม Jaws (1975), ไดโนเสาร์ Jurassic Park (1993), ทหารนาซี Schindler’s List (1993), เอเลี่ยนต่างดาว War of the Worlds (2005), Catch Me If You Can (2002) ฯลฯ
เมื่อออกฉายรายการโทรทัศน์ Movie of the Week ทางช่อง ABC วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1971 มีส่วนแบ่งผู้ชมสูงถึง 33% คิดเป็นเรตติ้ง 20.9 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม มีโอกาสลุ้นรางวัล Golden Globe และ Emmy Award ประกอบด้วย
Golden Globe Award
Best Television Film พ่ายให้ The Snow Goose (1971)
Emmy Award
Outstanding Achievement in Cinematography for Entertainment Programming – For a Special or Feature Length Program Made for Television พ่ายให้กับ Brian’s Song (1971)
Outstanding Achievement in Film Sound Editing ** คว้ารางวัล
ความสำเร็จดังกล่าว Universal Television เลยตัดสินใจให้งบประมาณเพิ่ม เพื่อทำเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว รวมทุนสร้างทั้งหมด $450,000 เหรียญ ไม่มีรายงานรายรับ เพียงกระแส Cult Classic ได้รับความนิยมหลังวางขาย VHS (Video Home System) เสียมากกว่า!
ใครมีงบเยอะแนะนำให้ลองหาซื้อ Steven Spielberg Director’s Collection Blu-ray ทั้งหมด 8 เรื่องที่ผกก. Spielberg เคยร่วมงานกับ Universal Studios หรือถ้าต้องการคุณภาพเน้นๆ ล่าสุดผมเพิ่งเห็นแผ่น 4K Ultra HD กำลังจะวางขายปี ค.ศ. 2023
Titanic is powerful as a metaphor, as a microcosm, for the end of the world in a sense … The juxtaposition of rich and poor, the gender roles played out unto death, the stoicism and nobility of a bygone age, the magnificence of the great ship matched in scale only by the folly of the men who drove her hell-bent through the darkness. And above all the lesson: that life is uncertain, the future unknowable … the unthinkable possible.
James Cameron
James Francis Cameron (เกิดปี 1954) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Canadian เกิดที่ Kapuskasing, Ontario บิดาทำงานวิศวกรไฟฟ้า ส่วนมารดาเป็นนางพยาบาล, ช่วงวัยเด็กชอบครุ่นคิดประดิษฐ์โน่นนี่นั่น หลังเรียนจบมัธยมสอบเข้า Fullerton College ร่ำเรียนสาขาฟิสิกส์ แล้วเปลี่ยนมาภาษาอังกฤษ ก่อนตัดสินใจลาออกเพื่อหาทำงาน เริ่มจากรับจ้างทั่วไป เคยเป็นภารโรง ขับรถบรรทุก เวลาว่างๆเข้าห้องสมุดศึกษาเกี่ยวกับ Special Effect กระทั่งมีโอกาสรับชม Star Wars (1977) ถึงเกิดความมุ่งมั่นเข้าสู่วงการภาพยนตร์
จากนั้นทำการทดลองผิดลองถูก กำกับหนังสั้นเรื่องแรก Xenogenesis (1978) แล้วมีโอกาสทำงานผู้ช่วยกองถ่าย Rock ‘n’ Roll High School (1979) ต่อมากลายเป็นนักออกแบบโมเดลจำลอง (miniature) ในสังกัด Roger Corman Studios ดูแลในส่วน Art Director/Special Effect ให้กับ Battle Beyond the Stars (1980), Escape from New York (1981), Galaxy of Terror (1981), จนกระทั่งได้กำกับ Special Effect ภาพยนตร์เรื่อง Piranha II: The Spawning (1982) แล้วจู่ๆผู้กำกับคนเดิม Mike Drake ขอถอนตัวออกไป ส้มหล่นใส่ Cameron ถูกผลักดันขึ้นมากำกับภาพยนตร์เรื่องแรกอย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่
ฝันร้ายจากความล้มเหลวของ Piranha II: The Spawning (1982) ครุ่นคิดว่ามีนักฆ่าจากอนาคตย้อนเวลามากำจัดตนเอง นั่นกลายเป็นแรงบันดาลใจสรรค์สร้าง The Terminator (1984), ตามด้วยกำกับภาคต่อ Aliens (1986), เปลี่ยนมายังโลกใต้น้ำ The Abyss (1989), ภาคต่อคนเหล็ก Terminator 2: Judgment Day (1991) และสายลับจับบ้านเล็ก True Lies (1994)
ตั้งแต่ที่ซากเรือ RMS Titanic ได้รับการค้นพบโดย Robert Ballard เมื่อปี ค.ศ. 1985 และสารคดีสำรวจซากเรือถ่ายทำโดย National Geographic ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1987 ทำให้ Cameron เกิดความมุ่งมั่นมองหาโอกาสเดินทางไปสำรวจโลกใต้น้ำ ครุ่นคิดแผนการล่อหลอกสตูดิโอ Fox ยื่นข้อเสนอโปรเจคภาพยนตร์เรื่อง Titanic โดยใช้คำโปรยว่า “Romeo and Juliet on the Titanic”
I made Titanic because I wanted to dive to the shipwreck, not because I particularly wanted to make the movie. The Titanic was the Mount Everest of shipwrecks, and as a diver I wanted to do it right. When I learned some other guys had dived to the Titanic to make an IMAX movie, I said, “I’ll make a Hollywood movie to pay for an expedition and do the same thing.” I loved that first taste, and I wanted more.
James Cameron
They were like, ‘Oooooohkaaaaaay — a three-hour romantic epic? Sure, that’s just what we want. Is there a little bit of Terminator in that? Any Harrier jets, shoot-outs, or car chases?’ I said, ‘No, no, no. It’s not like that.’
ปฏิกิริยาของ Peter Chernin ผู้บริหารสตูดิโอ Fox เมื่อรับฟังโปรเจค Titanic จากผู้กำกับ James Cameron
หลังเสร็จจากการสำรวจซากเรืออับปาง Cameron จึงทุ่มเวลากว่าหกเดือนในการค้นคว้าหารายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับ RMS Titanic โดยแรงบันดาลใจหลักๆ ลักขโมยมาจากภาพยนตร์ A Night to Remember (1958) แต่ไม่ต้องการให้หนังออกมาเป็นแนวหายนะ (Disater film) พยายามสร้างเรื่องราวรักโรแมนติก ให้ซ้อนทับเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์
All my films are love stories, but in Titanic I finally got the balance right. It’s not a disaster film. It’s a love story with a fastidious overlay of real history.
The story of the Californian was in there; we even shot a scene of them switching off their Marconi radio set. But I took it out. It was a clean cut, because it focuses you back onto that world. If Titanic is powerful as a metaphor, as a microcosm, for the end of the world in a sense, then that world must be self-contained.
ในปี ค.ศ. 1996 นักล่าสมบัติ Brock Lovett ขึ้นเรือวิจัย Akademik Mstislav Keldysh ออกสำรวจค้นหาซากเรือ RMS Titanic อับปางลงกลางมหาสมุทร Atlantic เมื่อปี ค.ศ. 1912 สามารถเก็บกู้ตู้นิรภัย ซึ่งมีภาพวาดหญิงสาวสวมใส่สร้อยคอ Heart of the Ocean สืบค้นพบว่าเธอคนนั้นคือ Rose Dawson Calvert (รับบทโดย Gloria Stuart) ปัจจุบันนั้นอายุ 100 ปี ยังมีชีวิตอยู่! จึงเชื้อเชิญขึ้นเรือเพื่อเล่าประสบการณ์โศกนาฎกรรมดังกล่าว
ย้อนกลับไปปี ค.ศ. 1912 ณ ท่าเรือที่ Southampton เมื่อครั้น Rose DeWitt Bukater ยังเป็นหญิงสาวอายุ 17 ปี (รับบทโดย Kate Winslet) ถูกจับคู่หมั้นหมายกับ Caledon Hockley (รับบทโดย Billy Zane) ทายาทเจ้าของกิจการค้าเหล็ก กำลังเตรียมตัวโดยสารเรือชั้นหนึ่ง RMS Titanic เพื่อเดินทางไปแต่งงานยังสหรัฐอเมริกา, อีกฟากฝั่งหนึ่ง Jack Dawson (รับบทโดย Leonardo DiCaprio) ศิลปินกระยาจก สามารถเอาชนะพนันตั๋วโดยสารชั้นสาม RMS Titanic วิ่งขึ้นเรือได้ทันท่วงที
Rose มีความเบื่อหน่ายต่อสถานะทางชนชั้นของตนเอง ไม่พึงพอใจที่ถูกมารดาบีบบังคับให้แต่งงานกับ Caledon ค่ำคืนหนึ่งเลยครุ่นคิดจะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงจากเรือ แต่ได้รับการโน้มน้าว ช่วยเหลือจาก Jack โดยไม่รู้ตัวทำให้พวกเขาตกหลุมรักแรกพบ สานสัมพันธ์ แอบคบชู้ ร่วมรักหลับนอน จนกระทั่ง RMS Titanic พุ่งชนภูเขาน้ำแข็ง ต่างพยายามหาหนทางเอาตัวรอด เพื่อจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน
Leonardo Wilhelm DiCaprio (เกิดปี 1974) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Los Angeles, California เมื่อตอนอายุ 5 ขวบ ได้รับคัดเลือกแสดงรายการเด็ก Romper Room แต่ถูกไล่ออกเพราะไปสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่น หลังจากนั้นมีผลงานโฆษณา ซิทคอม ซีรีย์ The New Lassie (1989-92), ภาพยนตร์เรื่องแรก Parenthood (1989), สมทบ Poison Ivy (1992), This Boy’s Life (1993), แจ้งเกิดโด่งดัง What’s Eating Gilbert Grape (1993), The Basketball Diaries (1995), Romeo + Juliet (1996), พลุแตกกับ Titanic (1997), แล้วกลายเป็นขาประจำของ Martin Scorsese ตั้งแต่ Gangs of New York (2002), The Aviator (2004), The Departed (2006), The Wolf of Wall Street (2013), และคว้ารางวัล Oscar: Best Actor จากเรื่อง The Revenant (2005)
รับบท Jack Dawson ชายหนุ่มกำพร้า ฐานะยากจน เกิดที่ Chippewa Falls, Wisconsin เดินทางมาร่ำเรียนศิลปะยังกรุง Paris ท้าเล่นโป๊กเกอร์จนชนะตั๋วโดยสารชั้นสาม RMS Titanic เพื่อเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา รีบออกวิ่งกับเพื่อนสนิทขึ้นเรือได้ทันท่วงที (เป็นคนสุดท้ายทั้งตอนขึ้นเรือ และทอดทิ้งเรือ) เรียกว่าเลือกใช้ชีวิตอย่างเสรีภาพ ชื่นชอบหลงใหลการวาดภาพร่าง ตกหลุมรักแรกพบ Rose DeWitt Bukater แม้รับรู้ตนเองไม่อาจเอื้อมดอกฟ้า แต่โชคชะตาก็นำพาให้พวกเขาพบเจอ สานสัมพันธ์ มอบคำมั่น ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางความรักของเราสอง
เกร็ด: Jack Dawson คือชื่อตัวละครสมมติที่ไม่ได้อ้างอิงจากอะไร แต่ภายหลังกลับพบว่ามีผู้เสียชีวิตในห้องเครื่องชื่อ J. Dawson มาจาก Joseph Dawson นั่นเป็นสิ่งคาดไม่ถึงทีเดียว! และมีผู้คนมากมายเข้าใจผิดครุ่นคิดว่าหลุมฝังศพ J. Dawson คือของตัวละครนี้ ช่วงหนังออกฉายจึงมีดอกไม้วางมากมาย
It wasn’t until after the movie came out that we found out that there was a J. Dawson gravestone.
โปรดิวเซอร์ Jon Landau
ด้วยความต้องการ “James Stewart type” ตัวเลือกแรกของผู้กำกับ Cameron คือ River Phoenix แต่เพิ่งมารู้ข่าวว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตตั้งแต่ปี 1993, ต่อด้วยนักแสดงอย่าง Matthew McConaughey, Chris O’Donnell, Billy Crudup, Stephen Dorff, Jared Leto, Jeremy Sisto, Paul Rudd, Christian Bale, Johnny Depp หรือแม้แต่ Tom Cruise เรียกค่าตัวมหาศาล
He read it once, then started goofing around, and I could never get him to focus on it again. But for one split second, a shaft of light came down from the heavens and lit up the forest.
James Cameron กล่าวถึงการทดสอบหน้ากล้องของ Leonardo DiCaprio
เอาจริงๆผมว่า DiCaprio ดีพอจะเข้าชิง Oscar: Best Actor แต่เหตุผลที่โดน SNUB เพราะถูกมองว่าเป็นพระเอกหนังโรแมนติก มีดีแค่หน้าตา โดดเด่นกว่าฝีไม้ลายมือด้านการแสดง
Kate Elizabeth Winslet (เกิดปี 1975) นักแสดงหญิงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Reading, Berkshire ปู่ของเธอเป็นนักแสดงและเจ้าของโรงละครเวที ด้วยความสนใจด้านนี้เลยตัดสินใจกลายเป็นนักแสดงตั้งแต่เด็ก อายุ 11 เข้าเรียน Redroofs Theatre School รับบทนำการแสดงโรงเรียนทุกปี จนมีโอกาสแสดงซีรีย์โทรทัศน์ Dark Season (1991), ภาพยนตร์เรื่องแรกแจ้งเกิด Heavenly Creatures (1994) ของผู้กำกับ Peter Jackson, ตามด้วย Sense and Sensibility (1995), กลายเป็นดาวค้างฟ้ากับ Titanic (1997), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Iris (2001), Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004), Finding Neverland (2004), Little Children (2006), Revolutionary Road (2008), และคว้ารางวัล Oscar: Best Actress จากเรื่อง The Reader (2008)
รับบท Rose DeWitt Bukater คุณหนูไฮโซจาก Philadelphia เดินทางมาท่องเที่ยวอังกฤษ แล้วถูกมารดาหมั้นหมายกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อรักษาสถานะทางการเงินของครอบครัว ตั้งแต่เด็กได้รับการเลี้ยงดูดั่งไข่ในหิน มีชีวิตราวกับนกในกรง เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายต่อแวดวงไฮโซถึงขนาดเคยครุ่นคิดสั้น แต่นั่นทำให้มีโอกาสรับรู้จักไอ้หนุ่มชั้นสาม Jack Dawson เกิดความชื่นชอบหลงใหลในอิสรภาพของอีกฝ่าย ค่อยๆปรับตัวเปลี่ยนแปลง ยินยอมเป็นนางแบบเปลือยกาย ร่วมรักหลับนอน และมอบคำมั่นสัญญาว่าจะหนีตามไปอยู่ด้วยกัน
ด้วยความต้องการ “Audrey Hepburn type” มีนักแสดงหลายคนถูกเรียกตัวมาทดสอบหน้ากล้อง Madonna, Gwyneth Paltrow, Winona Ryder, Claire Danes, Gabrielle Anwar, Reese Witherspoon, Jennifer Aniston, ขณะที่ Kate Winslet เมื่อได้อ่านบทมีความกระตือรือล้นเป็นอย่างมากๆ พยายามทำหลายสิ่งอย่างเพื่อสร้างความสนใจให้ผู้กำกับ Cameron อาทิ ส่งดอกกุหลาบและการ์ดข้อความเขียนว่า “From Your Rose” อีกครั้งหนึ่งโทรศัพท์หาเรียกร้องบอกว่า
I am Rose! I don’t know why you’re even seeing anyone else!
ตรงกันข้ามกับ DiCaprio ผมไม่รู้สึกเลยว่า Winslet สมควรเข้าชิง Oscar: Best Actress เพราะการแสดงของเธอแทบไม่แตกต่างจาก Sense and Sensibility (1995) แถมระดับความน่ารำคาญเพิ่มขึ้นมากๆกว่าเก่า แต่อาจเพราะตัวละครมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดเจน จากเคยเป็นนกในกรงสามารถโบกโบยบินได้รับเสรีภาพ … ตามอุดมคติอเมริกันชน
Gloria Frances Stuart ชื่อเกิด Gloria Stewart (1910-2010) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Santa Monica, California ค้นพบความชื่นชอบด้านการแสดงตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย สามารถสอบเข้า University of California สาขาปรัชญาและการละคอน จบออกมามีผลงานละครเวที แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Street of Women (1931), จากนั้นได้รับเลือกเป็น WAMPAS Baby Star (นักแสดงที่มีแนวโน้ม “Most Likely to Succeed”) โด่งดังจากผลงาน The Old Dark House (1932), The Invisible Man (1933), Here Comes the Navy (1934), Gold Diggers of 1935 (1935), Poor Little Rich Girl (1936) ฯลฯ หลังจากแต่งงาน(ครั้งที่สอง)ก็ตัดสินใจออกจาวงการภาพยนตร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945
ผู้กำกับ Cameron บอกทีมงานว่าต้องการหญิงสูงวัยเฉียดร้อย ที่เคยมีประสบการณ์แสดงพานผ่านยุค Golden Age ช่วงทศวรรษ 30s-40s ในตอนแรกครุ่นคิดถึง Fay Wray (นางเอก King Kong (1933)) ไม่เคยรับรู้จัก/พบเห็นการแสดงของ Gloria Stuart จนกระทั่งรับชมการอ่านบทของเธอ พบเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจ และสายใยที่สามารถเชื่อมโยงกับ Kate Winslet ราวกับบุคคลเดียวกัน!
[Stuart] was just so into it, and so lucid, and had such a great spirit. And I saw the connection between her spirit and [Winslet’s] spirit. I saw this joie de vivre in both of them, that I thought the audience would be able to make that cognitive leap that it’s the same person.
James Cameron
ทุกครั้งที่หนังย้อนกลับมาปัจจุบัน สายตาของ Stuart จะเต็มไปด้วยความครุ่นคิดถึง โหยหาอาลัย เหมือนเธอได้ทำการเปรียบเทียบกับตนเองเมื่อครั้นยังสวยสาว เคยเป็นนักแสดงแห่งยุคสมัย Golden Age ทศวรรษ 30s-40s แม้ความทรงจำจะเลือนลาง แต่ความรู้สึกอิ่มสุขที่อยู่ภายในไม่มีวันจางหายไป
I was not the least bit nervous. I knew I would read Old Rose with the sympathy and tenderness that Cameron had intended.
Gloria Stuart
แม้เพียงบทบาทสมทบเล็กๆ แต่การแสดงของ Stuart สร้างความซาบซึ้งกินใจให้กับผู้ชม ถึงขนาดได้เข้าชิง Oscar: Best Supporting Actress ขณะอายุ 87 ปี 221 วัน … กลายเป็นนักแสดงอายุมากสุดที่ได้เข้าชิง Oscar จนกระทั่งการมาถึงของ Christopher Plummer เรื่อง All the Money in the World (2017) ขณะอายุ 88 ปี 41 วัน
และใครจะไปคาดคิดว่า Stuart เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อปี ค.ศ. 2010 จะอายุครบร้อยปีแบบเดียวกับตัวละคร Rose Dawson Calvert
ผกก. Cameron เลื่องลือชาถึงความเป็นเผด็จการในกองถ่าย ชื่นชอบความสมบูรณ์แบบ ‘perfectionist’ เมื่อมีใครทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็พร้อมจะขึ้นเสียง ใส่อารมณ์ ด่ากราดด้วยถ้อยคำรุนแรง จนได้รับฉายา “the scariest man in Hollywood” ในกองถ่ายจะมีคำเรียก “Mij” (สะกดกลับหลัง Jim) เพื่อสื่อถึง Alter-Ego ที่เต็มไปด้วยความโฉดชั่วร้าย
Filmmaking is war. A great battle between business and aesthetics.
James Cameron
แซว: เห็นว่า Kate Winslet มีอาการหวาดกลัวต่อความเผด็จการของ James Cameron อยู่ไม่น้อย! เคยให้สัมภาษณ์บอกว่าไม่คิดอยากจะร่วมงานกันอีก แต่ถ้าได้เงินเยอะก็ไม่แน่ นั่นคงเป็นสิ่งเกิดขึ้นกับ Avatar: The Way of Water (2022) และเห็นว่าอีโก้ของ Cameron ก็ลดลงกว่าเดิมมากๆ หลังจากเคยไปเยี่ยมกองถ่ายของ Ron Howard แล้วเกิดอาการใบ้แดก (dumbfounded) พบเห็นอีกฝ่ายใช้คำพูดกับทีมงานอย่างโคตรสุภาพ อ่อนโยน เอ่ยชมทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
He demands excellence. If you don’t give it to him, you’re going to get chewed out. And that’s a good thing.
Sam Worthington
Jim knows exactly what he wants. Needless to say, when somebody felt a different way on the set of Titanic, there was a confrontation. Jim had it out with them right there in front of everybody. He lets you know exactly how he feels. But he’s of the lineage of John Ford. He knows what he wants his film to be.
ถ่ายภาพโดย Russell Paul Carpenter (เกิดปี 1950) ตากล้องสัญชาติอเมริกัน ตั้งแต่เด็กมีงานอดิเรกถ่ายหนัง Super 8 โตขึ้นสอบเข้า San Diego State University สาขากำกับโทรทัศน์ แต่ภายหลังเป็นมาภาษาอังกฤษ ระหว่างนั้นทำงานพาร์ทไทม์ยังสถานีแห่งหนึ่ง จบออกมามีผลงานภาพยนตร์ อาทิ Hard Target (1993), True Lies (1994), Titanic (1997), Charlie’s Angels (2000), Ant-Man (2015), Avatar: The Way of Water (2022) ฯลฯ
เมื่อตอน A Night to Remember (1958) ยังพอมีเรือเก่าอายุ 40-50 ปีที่หลงเหลือจากทศวรรษ 1910s จึงสามารถติดต่อขอหยิบยืม ซ่อมแซม ทาสีใหม่ ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณในส่วนนี้สักเท่าไหร่ แต่สำหรับ Titanic (1997) ทุกสิ่งอย่างต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ก่อสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยได้รับแบบแปลน/แม่พิมพ์เรือจาก Harland and Wolff (บริษัทอู่ต่อเรือที่ประกอบ RMS Titanic) อีกทั้งงานตกแต่งภายในก็ได้รับการสนับสนุนเฟอร์นิเจอร์ รูปภาพวาด ข้าวของเครื่องใช้ จากบริษัทเดินเรือ White Star Line (เจ้าของเรือ RMS Titanic)
เพราะต้องก่อสร้างเรือขนาดเท่าของจริง จึงไม่สามารถใช้พื้นที่อันคับแคบภายในสตูดิโอ Fox ที่ Hollywood จำต้องมองหาซื้อที่ดินติดชายหาด Rosarito, Baja California ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Mexico (ติดกับรัฐ California) ขนาด 40 เอเคอร์ มูลค่า $20 ล้านเหรียญ (บางแหล่งข่าวรายงาน 51 เอเคอร์ มูลค่า $57 ล้านเหรียญ) แล้วก่อตั้งสตูดิโอลูก Fox Baja Studios จากนั้นสร้างแท้งน้ำขนาดใหญ่ 17 ล้านแกลลอน (ที่สามารถสูบน้ำจากทะเลเข้า-ออก) และแท้งขนาดเล็กอีก 4 แห่งสำหรับฉากภายใน
เกร็ด: Fox Baja Studios นอกจาก Titanic (1997) ยังเคยใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ดังๆ อาทิ Tomorrow Never Dies (1997), Deep Blue Sea (1999), Pearl Harbor (2001), Master and Commander: The Far Side of the World (2003), All Is Lost (2013) ฯลฯ
แซว: เพราะความโคตรๆวุ่นวายของช็อตนี้ ทำให้ทีม VFX เลือกใช้ใบหน้าของโปรดิวเซอร์ Jon Landau (ใครสามารถก็ลองไปสังเกตดูเองนะครับ)
The memorable thing about propeller guy was that I decided to put the producer’s face on him. So a scan of Jon was used as the basis of propeller guy. All in good fun, but a bit on the dark side of humour since he he falls to a brutal end.
แซว2: งานประกาศรางวัล Oscar พิธีกรปีนั้น Billy Crystal ยังมีการร้องเพลงแซว Propeller Guy ลองรับชมในคลิปเปิดงาน Opening Ceremony ดูนะครับ
I’m the King of the World! นี่เป็นประโยคที่สามัญชนคนทั่วไปคงไม่มีใครพูดกัน แต่เห็นว่า DiCaprio ดั้นขึ้นมาสดๆตอนนั้น ซึ่งมันสะท้อน Ego อันสูงลิบลิ่ว (ช็อตนี้ถ่ายมุมเงยด้วยนะ! เพื่อบ่งบอกว่าฉันยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้อื่นใด) ของผกก. Cameron ได้อย่างทรงพลัง บ้าระห่ำ แถมไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวรอดจากหายนะ จนสามารถกลายเป็น King of the World! ประกาศกึกก้องระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ขึ้นรับรางวัล Oscar: Best Director
คำพูดประโยคนี้ติดอันดับ(สุดท้าย) 100 ในชาร์ท AFI’s 100 Years…100 Movie Quotes
และติดอันดับ 4 ชาร์ท The 100 Greatest Movie Lines ของนิตยสาร Premiere
LINK: คลิปขึ้นรับรางวัล Oscar: Best Director ของ James Cameron แล้วปิดท้ายด้วยประโยคที่เจ้าตัวเคยสารภาพหลายปีให้หลังว่า รู้สึกอับอายขายขี้หน้าตัวเองชิบหาย https://www.youtube.com/watch?v=xJp7Wd6Af2A
ปล. ผมค่อนข้างมีความเชื่อมั่นว่า “I’m Gonna Be King Of The Pirates!” คำพูดติดปากของ Monkey D. Luffy จากมังงะ One Piece น่าจะได้แรงบันดาลใจจากฉากนี้แหละ!
เปรียบดั่งดอกฟ้ากับหมาวัด ครั้งแรกที่ Jack พบเห็น Rose เธอเดินออกมายืนอยู่บนดาดฟ้าชั้นบน ส่วนเขานั่งอยู่จับจ้องมองอยู่ชั้นล่าง นี่เป็นการแสดงให้ถึงความแตกต่างของสถานะ ชนชั้นทางสังคม (สูง-ต่ำ) และสังเกตว่าจะไม่มีช็อตที่เขาและเธออยู่ร่วมเฟรมเดียวกัน (เพื่อเป็นการแบ่งแยกระหว่างพวกเขา ไม่ควรมีปฏิสัมพันธ์ใดๆร่วมกัน)
ค่ำคืนนั้นระหว่าง Jack กำลังเหม่อมองท้องฟ้า ราวกับว่าเธอคนนั้นคือดวงดาวทอประกายแสง ที่เขาทำได้เพียงแค่เหม่อมอง พร่ำเพ้อจินตนาการ มิอาจเอื้อมมือไขว่คว้า ครอบครองเป็นเจ้าของ … แต่แล้วจู่ๆ Rose ก็วิ่งผ่านหน้าเขาไป นั่นคือโอกาสแห่งโชคชะตาที่ต้องรีบไขว่คว้าเอาไว้
Heart of the Ocean ในบริบทนี้ที่คู่หมั้น Caledon Hockley สวมใส่ให้กับ Rose แม้มันมีมูลค่ามหาศาล แต่ไม่ต่างจากปลอกคอหมา เพื่อแสดงถึงความเป็นเจ้าค่ำเจ้าของ เธอคือภรรยาของฉัน ขณะเดียวกันก็เหมือนบ่วงรัดคอ ไม่ให้หลบหนี ดิ้นหลุดพ้น ต้องยินยอมศิโรราบ ทำตามคำสั่งทุกสิ่งอย่าง
สำหรับจี้ Heart of the Ocean ได้รับการจัดทำโดยบริษัทเครื่องประดับสัญชาติอังกฤษ Asprey & Garrard โดยใช้เซอร์คอเนีย (Cubic Zirconia, CZ) คนไทยมักเรียกว่า เพชรสวิส เพชรเบลเยี่ยม หรือเพชรรัสเซีย, ส่วนสร้อยคอทำออกมาให้สอดคล้องยุคสมัย Edwardian, มีทั้งหมดสามรูปแบบ Original Prop, J. Peterman necklace และ Asprey necklace แต่ใช้ในหนังแค่สองแบบแรก
ความสำเร็จอย่างล้นหลามของหนัง Asprey & Garrard ได้รับมอบหมายให้ออกแบบ Heart of the Ocean ที่เป็นของจริงแท้ๆ โดยใช้ต้นแบบจาก Original Prop เปลี่ยนมาเป็นสร้อยคอ Platinum, Ceylon Sapphire เจียรูปหัวใจขนาด 171 กะรัต, ล้อมรอบด้วยเพชรอีก 103 เมตร, เคยพบเห็นออกสู่สาธารณะเพียงครั้งเดียวเมื่อตอน Céline Dion สวมใส่ระหว่างทำการแสดงงานประกาศรางวัล Academy Award จากนั้นได้รับการประมูล $1.4 ล้านเหรียญ มอบส่วนต่างให้องค์กรการกุศล Diana, Princess of Wales Memorial Fund และ Southern California’s Aid For AIDS
แซว: ใครเคยรับชม Gone With the Wind (1939) น่าจะรู้สึกมักคุ้นกับบันไดโค้งๆ ระหว่างการยักคิ้วหลิ่วตาระหว่าง Clark Gable และ Vivien Leigh ให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายฉากนี้มากๆ
ซีนสุดท้ายของงานปาร์ตี้นี้ Jack & Rose จับมือแล้วกระโดดหมุนวงกลม สามารถสื่อนัยยะถึง ‘โลกหมุนรอบตัวเรา’ ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดกระทำอะไรตามใคร เสรีภาพคือความเป็นเราเอง
แซว2: ทั้งการตะโกน “I’m King of the World” และท่ากางแขนกางปีก ได้รับความนิยมจากผู้โดยสารเรืออย่างมากๆ จนถูกแบนบนเรือสำราญแทบจะทุกลำ! เพราะมันมีความเสี่ยงสูงที่จะพลาดพลั้งตกน้ำ
ตามบทเปะๆต้องพูดว่า “Lie on that couch”. แต่เพราะนี่เป็นฉากแรกของการถ่ายทำ (ฉากอื่นๆยังสร้างไม่เสร็จ ถ่ายอะไรได้ก็เลยถ่ายไปก่อน) เพิ่งพบเจอกันก็ต้องถ่ายฉากเปลือยเสียแล้ว Winslet เลยละลายน้ำแข็ง (สำนวน Breaking the ice) ด้วยการเปลือยกายล่อนจ้อนต่อหน้าต่อตา DiCaprio เกิดอาการอ้ำๆอึ้งๆ ทำตัวไม่ถูก พูดจาตะกุกตะกัก ผิดพลาดเป็น “Over on the bed … uh, the couch”. ถูกอกถูกใจผู้กำกับจอมเนี๊ยบอย่าง Cameron ยินยอมให้เทคเดียวผ่าน ไม่ต้องปรับแก้ไขอะไร!
ผมเพิ่งมาตระหนักได้ช็อตนี้ เมื่อพบเห็นกล้องซูมเข้าไปในด้วยตาของ Rose ว่ามีสีน้ำเงินเดียวกับจี้ Heart of the Ocean ซึ่งสอดคล้องกับสำนวน “ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ” และเมื่อตอนต้นเรื่องหญิงชรา Rose เคยพูดวลีเด็ด
A woman’s heart is a deep ocean of secret.
การสวมใส่จี้ Heart of the Ocean ระหว่างเปลือยกายเป็นนางแบบ จึงคือสัญลักษณ์ของการเปิดเผยธาตุแท้ตัวตน ปลดเปลื้องชีวิตที่เคยถูกควบคุมครอบงำให้ได้รับอิสรภาพ หลงเหลือเพียงร่างกายอันเปลือยเปล่า และหัวใจ/จิตวิญญาณของหญิงสาว ไม่มีความหวาดกลัวเกรงสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
รถคันนี้คือ Renault Type CB Coupe de Ville รุ่นปี ค.ศ. 1912 ความเร็ว 25 แรงม้า มูลค่า 5,000 เหรียญ พบเห็นตั้งแต่ตอนยกขึ้นเรือ และขณะนี้กลายเป็นรังรักของ Jack & Rose แถมทิ้งรอยฝ่ามือประทับไว้ในความทรงจำ (เหมือนเวลาสุนัขยกขาปัสสาวะ ทำเครื่องหมายเพื่อบ่งบอกอาณาเขต เบ่งอำนาจ ฉันคือเจ้าของสถานที่แห่งนี้)
เกร็ด: รถคันนี้เป็นของ William E. Carter (1875–1940) มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ซึ่งพาครอบครัวไปเที่ยวยุโรปและซื้อรถคันนี้กลับมา เขาเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิต และมีการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย White Star Line ตามมูลค่าจริง
Rose รับรู้สถานะ RMS Titanic (ว่ากำลังจะอับปางลง) จากคำบอกกล่าวของวิศวกรออกแบบเรือ Thomas Andrews ยืนยันด้วยคำพูด “It’s a mathematical certainty”. (คัทลอกมาจาก A Night to Remember (1958)) ยังบริเวณบันได Grand Staircase สถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง นั่นหมายถึงการกำลังจะล่มสลายของแวดวงไฮโซ กลุ่มชนชั้นสูง … นี่รวมไปถึงเมื่อน้ำไหลบ่าเข้ามาเวลา 2.15 AM (เรือจมสนิทเวลา 2.20 AM) บันไดถูกกระแสน้ำพัดพา ก็หมายถึงจุดสิ้นสุดของโลกยุคเก่า ที่แบ่งแยกมนุษย์ด้วยสถานะทางสังคม!
แซว: Grand Staircase เป็นบันได Prop ที่ไม่ได้ออกแบบให้มีความแข็งแกร่งทนทาน (จริงๆออกแบบมาให้สามารถพังทลาย ล่องลอยไปกับสายน้ำ) จึงมีโอกาสถ่ายทำฉากน้ำท่วมนี้ได้แค่เทคเดียวเท่านั้น
เพราะเป็นเพียงพลเมืองชนชั้นสาม Jack จึงมักถูกเข้าใจผิด โดนใส่ร้ายป้ายสี(จากบุคคลชนชั้นสูงกว่า)ถึงสองครั้งครา
ครั้งแรกตอนต้นเรื่อง ลูกเรือเข้าใจผิดคิดว่า Jack กำลังจะข่มขืนใจ Rose
ครั้งหลังถูกคู่หมั้นของ Rose ใส่ร้ายป้ายสีว่าทำการลักขโมยจี้ Heart of the Ocean
หนึ่งใน Deleted Scene ที่ผมอยากกล่าวถึงเป็นพิเศษ (โคลนนิ่งมาจาก A Night to Remember (1958)) เอาจริงๆเป็นฉากที่ไม่น่าตัดออก เพราะมีการกล่าวถึงรหัส SOS ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือนี้ แต่มันอาจเป็นคำพูดหยอกล้อที่ฟังดูไม่เหมาะสมกับสถานการณ์สักเท่าไหร่
Send SOS; it’s the new call, and it may be your last chance to send it.
เกร็ด: หลายคนอาจครุ่นคิดว่า SOS มาจาก Save Our Ship หรือ Save Our Soul แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ย่อมาจากอะไร เพียงเพราะเมื่อแปลงเป็นรหัสมอร์ส ( ▄ ▄ ▄ ▄▄▄ ▄▄▄ ▄▄▄ ▄ ▄ ▄ ) มันกดง่ายที่สุด แค่นั้นเองนะครับ! (ในสถานการณ์ฉุกเฉิน บางครั้งสติสตางค์ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว SOS มันเลยเคาะๆๆยาวๆๆง่ายที่สุด)
เมื่อตอนที่ Rose ยินยอมลงเรือชูชีพ เหมือนว่าคู่หมั้น Caledon จะสามารถคืนดีกับ Jack แต่แท้จริงแล้วชายคนนี้แอบยัดเงินให้ลูกเรืออีกลำ เพื่อว่าตนเองจะมีโอกาสลงเรือชูชีพลำอื่น … นี่มันหน้าไหว้หลังหลอกชัดๆ
แต่พอ Rose ปฏิเสธเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว ทำให้อีก Caledon น็อตหลุด ชักปืนขึ้นมาไล่ยิง Jack & Rose ต้องวิ่งหลบหนีลงยังห้องพักผู้โดยสารชั้นสาม หรือก็คือล่างสุดของบันได Grand Staircase พบเห็นกระแสน้ำกำลังเอ่อล้นขึ้นมา (นี่ก็สื่อถึงการกำลังล่มสลายของแวดวงไฮโซ กลุ่มชนชั้นสูง เช่นเดียวกัน!)
เมื่อตอน A Night to Remember (1958) มีความเข้าใจผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับภาพวาดในห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง เพราะอ้างอิงจากหนังสือของ Walter Lord กล่าวถึงภาพวาด Approach to the New World มุ่งสู่ท่าเรือ New York แต่แท้จริงแล้วภาพดังกล่าวจัดแสดงบนเรือ RMS Olympic (ที่เป็น ‘sister ship’ ของ RMS Titanic)
ผู้กำกับ Cameron เลยจัดให้ที่ถูกต้องก็คือ Plymouth Harbour ผลงานของจิตรกรชาวอังกฤษ Norman Wilkinson (1878–1971) คนเดียวกับที่วาด Approach to the New World แต่การจะมองหาคงต้องจับจ้องกันสักหน่อย เพราะหนังไม่การเปิดเผยให้เห็นแบบชัดๆ แต่สามารถสังเกตจากสถานที่สุดท้ายที่ Thomas Andrews วิศวกรผู้ออกแบบเรือ RMS Titanic เลือกอาศัยอยู่พร้อมขณะเรือกำลังอับปาง
As we have lived together, so we shall die together.
Isidor & Ida Straus สองคู่รักผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้า Macy’s Department ในสหรัฐอเมริกา (Isidor ยังเคยเป็น ส.ส. ของ New York City) ทั้งคู่ต่างเป็นผู้สูงวัยที่ได้รับอภิสิทธิ์ให้ลงเรือชูชีพเป็นกลุ่มแรกๆ แต่ Isidor ยืนกรานขอให้ผู้หญิงและเด็กได้รับสิทธิ์นั้นก่อน ซึ่ง Ida ก็ขอเลือกอยู่เคียงข้างสามี บรรดาผู้รอดชีวิตพบเห็นพวกเขานั่งกุมมือกันบนม้านั่งบนดาดฟ้าเรือก่อนจมหายไป ไม่ได้นอนกอดกันบนเตียงเหมือนที่หนังนำเสนอช็อตนี้
ในบทหนังไม่ได้มีฉากนี้ แต่ตัวประกอบสมทบชาว Irish เสนอไอเดียให้กับ Cameron เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน Celtic เรื่อง Niamh and Oisin เรื่องราวของชายสามัญชน Oisin ตกหลุมรักนางฟ้าสาว Niamh (เปรียบเทียบตรงๆกับ Jack & Rose) พวกเขาครองรักกันยาวนานกว่า 300 ปี ยังดินแดนในอุดมคติ Tír na nÓg (แปลว่า Land of Youth) ที่ทุกคนจะมีความเยาว์วัย สวยใส และเป็นนิรันดร์ ซึ่งหนทางจะไปสู่สถานที่แห่งนั้น ต้องใช้เส้นทางผ่านมหาสมุทร … นี่ถือว่าล้อกับปัจฉิมบทได้เลยนะ!
จริงๆแล้วไม่มีใครรับรู้ว่า Captain Edward John Smith (1850-1912) เสียชีวิตอย่างไร? แต่ฉากนี้อ้างอิงจาก A Night to Remember (1958) นำเสนอการตายอย่างหาญกล้า ยังห้องควบคุม จมพร้อมกับเรือ RMS Titanic ก่อนพบเห็นเป็นซากศพล่องลอยคอ … Cap. Smith ตั้งใจจะเกษียณอายุทำงานหลังการเดินทางครั้งนี้ แต่โชคร้ายมีเหตุอันเป็นไปเสียก่อน
เกร็ด2: มีนักแสดงชื่อดังหลายคนบอกปัดปฏิเสธบทบาทนี้ อาทิ Robert DeNiro, Michael Caine ฯลฯ ก่อนส้มหล่นใส่ Bernard Hill ในบทบาทที่น่าจดจำไม่น้อยทีเดียว
ฉากเกี่ยวกับวงดนตรี แม้โคลนนิ่งแนวคิดมาจากภาพยนตร์ A Night to Remember (1958) แต่นักไวโอลินคนนี้อ้างอิงจากหัวหน้าวงดนตรี (Bandmaster) ที่มีตัวตนอยู่จริงๆ เสียชีวิตไปกับเรือ ชื่อว่า Wallace Hartley และคำกล่าวสุดท้ายต้องชมเลยว่าโคตรๆตราตรึง
Gentlemen, it has been a privilege playing with you tonight.
ส่วนบทเพลงสุดท้ายที่พวกเขาบรรเลงชื่อว่า Nearer, My God, to Thee ผมเรียกเพลงชาติประจำเรือ RMS Titanic ได้ยินมาตั้งแต่หนังพูดเรื่องแรกที่กล่าวถึงโศกนาฎกรรมนี้ Atlantic (1929)
นี่ถือเป็นอีกช็อตที่โคลนนิ่งจาก A Night to Remember (1958) ชายทั้งสองคนนี้ต่างตีหน้าเซ่อ ทำเนียนลงเรือชูชีพ แสดงความขี้ขลาดตาขาว หวาดกลัวตัวสั่น มิอาจหันหลังกลับไปมองเรือ RMS Titanic ที่กำลังอับปางลงด้านหลัง เป็นตัวละครสะท้อนว่าไม่ใช่ชายทุกคนจะมีความเข้มแข็ง กล้าหาญ สามารถเผชิญหน้าความตาย
แม้ควันพ่นออกจากปากจะใช้ลูกเล่นอะไรสักสิ่งอย่าง (อมเข้าไปในปากแล้วจะมีควันโพยพุ่งออกมา) แต่การถ่ายทำยามดึกดื่น อากาศหนาวๆ น้ำทะเลเย็นๆ ก็ทำให้ Winslat ป่วยเป็นปอดบวม มีอาการ Hypothermia (ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ) โชคดีไม่เป็นอะไรมาก … นี่ต่างจากตอนเธอถ่ายทำ Avatar: The Way of Water (2022) สระน้ำในสตูดิโอมีการควบคุมอุณหภูมิ ระยะเวลาทำงาน ความปลอดภัยในการทำงานแตกต่างกันอย่างมากๆ
ปล. มีความพยายามทดลองหาว่าจะทำอย่างไรถึงสามารถช่วยชีวิต Jack วิธีการก็คือให้พวกเขาถอดเสื้อชูชีพแล้วนำไปวางใต้แผ่นไม้ จะทำให้ทั้งสองสามารถขึ้นไปอยู่ด้านบนโดยไม่จมลง! … แต่ช่วงเวลาเฉียดเป็นเฉียดตายขนาดนั้น ใครกันจะไปครุ่นคิดได้ละครับ!
Heart of the Ocean มีวิวัฒนาการในเชิงสัญลักษณ์ที่น่าทึ่ง (ชวนให้นึกถึงต่างหูของ The Earrings of Madame De… (1953)) จากเคยเป็นสัญลักษณ์ปลอกคอหมา เธอคือภรรยาของฉัน! กลายมาเป็นสิ่งมีค่าของหัวใจ แทนช่วงเวลาแห่งความทรงจำ อดีตมิอาจลืมเลือน จนกระทั่งคุณยาย Rose หวนกลับมาพบเห็นภาพวาด และซากเรือ RMS Titanic ถึงทำให้เธอสามารถปล่อยละวาง ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่าง โยนให้มันจมหายกับสายน้ำ ไม่หลงเหลืออะไรติดค้างคาใจ
เมื่อตอน Jack ยังมีชีวิตอยู่ เคยคุยโวโอ้อวด แนะนำการกระทำโน่นนี่นั่น ดื่มเบียร์ราคาถูก ขึ้นรถไฟเหาะ ควบขี่ม้าไม่ใส่อาน ฯลฯ (ต่างเป็นการแสดงออกที่สื่อถึงเสรีภาพของชีวิต เหมือนการติดปีกโบยบิน/ขึ้นเครื่องบินสู่ท้องฟากฟ้า) แต่แม้เขาตายจากไป Rose ก็ยังทำทุกสิ่งอย่าง ใช้ชีวิตแทนเขา พบเห็นจากบรรดาภาพถ่ายที่พกติดตัวมาบนเรือวิจัยลำนี้
We’ll drink cheap beer. Ride on the roller coaster till we throw up. We’ll ride horses on the beach, in the surf. But you have to do it like a real cowboy. No sidesaddle stuff. … Chew tobacco like a man. And spit like a man.
สารพัดคำโปรยอิสรภาพชีวิตของ Jack
ผู้กำกับ Cameron ให้อิสระผู้ชมในการตีความปัจฉิมบทนี้ว่า คือความเพ้อฝันของคุณยาย Rose หรือเสียชีวิตขณะนอนหลับ แล้ววิญญาณล่องลอยหวนกลับหาผู้เสียชีวิตบนเรือ RMS Titanic ณ เวลา 2.19 AM ตรงบันได Grand Staircase (ในบริบทนี้น่าจะสื่อถึงบันไดสู่โลกหลังความตายได้กระมัง)
และการเอื้อมมือสัมผัสระหว่าง Jack & Rose ทำออกมาให้ดูละม้ายคล้ายภาพวาด Michelangelo: The Creation of Adam (1508-12) นี่ไม่ใช่แค่วิญญาณคนตายกับคนเป็น (หรือกำลังจะตาย) ยังรวมถึงสถานะทางสังคม การจับมือของชนชั้นสูง-ต่ำ (ยืนสลับตำแหน่งล่าง-บน เพื่อล้อกับตอนต้นเรื่องที่ Rose เป็นผู้ก้าวสู่โลกของ Jack) เพื่อสื่อถึงจุดสิ้นสุดยุคสมัยอดีต-ปัจจุบัน หรือจะมองว่าโลกหลังความตาย(หรือโลกในปัจจุบัน)ไม่มีการแบ่งแยกอะไรใดๆทั้งนั้น!
สำหรับทีมตัดต่อนำโดย James Cameron ร่วมงานกับสองขาประจำ Conrad Buff (The Empire Strikes Back, Raiders of the Lost Ark, E.T. the Extra-Terrestrial, T2, True Lies) และ Richard A. Harris (Downhill Racer, T2, The Bodyguard, True Lies)
หนังเริ่มต้นจากช่วงเวลาปัจจุบัน ค.ศ. 1996 นักล่าสมบัติ Brock Lovett ดำน้ำสำรวจซากเรือ RMS Titanic เพื่อค้นหาจี้ Heart of the Ocean แต่กลับพบเจอเพียงภาพเปลือยของ Rose Dawson Calvert จึงอัญเชิญหญิงชราเดินทางมาเล่าเรื่องราว หวนรำลึกความทรงจำ ย้อนอดีตเหตุการณ์โศกนาฎกรรมเคยบังเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1912
ลีลาการตัดต่อของหนังก็เต็มไปด้วยความโฉบเฉี่ยว ฉวัดเฉวียน เพื่อสร้างความตื่นเต้น เร่งเร้าอารมณ์ เก็บรายละเอียดจากหลากมุมมอง หลายทิศทางมุมกล้อง แต่เรื่องราวหลักๆจะโฟกัสที่ Jack & Rose แตกต่างจาก A Night to Remember (1958) ที่ไม่รู้จะเชียร์ใครให้รอดชีวิต
You want to cut my movie? You’re going to have to fire me! You want to fire me? You’re going to have to kill me!
James Cameron บอกกับผู้บริหารสตูดิโอ Fox
เพลงประกอบโดย James Roy Horner (1953-2015) นักแต่งเพลงสัญชาติอเมริกัน, เริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่อายุห้าขวบ แล้วเดินทางไปร่ำเรียนดนตรียัง Royal College of Music, London แล้วกลับมาศึกษาต่อ University of Southern California และปริญญาโท University of California, Los Angeles (UCLA) จากนั้นเริ่มทำเพลงประกอบหนังเกรดบี The Lady in Red (1979), มีชื่อเสียงจาก Star Trek II: The Wrath of Khan (1982), ผลงานเด่นๆ อาทิ Commando (1985), Cocoon (1985), Glory (1989), Apollo 13 (1995), Braveheart (1995), A Beautiful Mind (2001), House of Sand and Fog (2003) ฯลฯ
Horner เมื่อรับชมฉบับตัดต่อ Rough Cut เดินทางกลับบ้านนั่งเขียน Main Theme ของหนังในระยะเวลาเพียง 20 นาที จากนั้นถึงเริ่มสร้าง Variation ปรับเปลี่ยนท่วงทำนอง เครื่องดนตรีประกอบ เต็มไปด้วยกลิ่นอาย Irish Folk Song (เพราะเรือ RMS Titanic สร้างขึ้นที่ Belfast, Northern Ireland) เพื่อให้สอดคล้องตัวละคร สถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆบังเกิดขึ้น
สำหรับ Main Title เริ่มด้วยเสียงปี่ Uilleann pipes (เครื่องดนตรีพื้นบ้าน Irish ที่มักได้ยินในพิธีศพ จะมองว่าเป็นสัญลักษณ์โศกนาฎกรรมของเรือ RMS Titanic ก็ได้กระมัง) ตามด้วยเสียงร้องโหยหวน แทนความเศร้าโศกจากหายนะที่ยังคงหลอกหลอนมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับเสียงร้องโหยหวนที่มีกลิ่นอาย New Age (เลียนแบบสไตล์เพลงของ Enya) เห็นว่า Horner ว่าจ้างศิลปินกว่า 25-30 คน ให้มาทดลองบันทึกเสียง แต่ก็ไม่เป็นที่พึงพอใจจนกระทั่งพบเจอกับ Sissel Kyrkjebø (เกิดปี 1969) นักร้องโซปราโนชาว Norwegian โด่งดังจากผลงานเพลง Eg Veit I Himmerik Ei Borg แปลว่า I Know in Heaven There Is a Castle ประกอบอัลบัม Innerst i sjelen (1994) แปลว่า Deep Within My Soul
ผมสองจิตสองใจว่าจะเลือกบทเพลง Leaving Port หรือ Take Her To Sea, Mr. Murdoch เพราะต่างเต็มไปด้วยท่วงทำนองอันฮึกเหิม เอ่อล้นด้วยพละกำลัง นำเสนอจุดเริ่มต้นการออกเดินทางของ RMS Titanic เรือแห่งความหวัง กำลังมุ่งสู่โลกใบใหม่ และเสียงตะโกนของ Jack Dawson หรือก็คือผู้กำกับ James Cameron ป่าวประกาศว่า “I’m King of the World!”
Rose หรือก็คือ My Heart Will Go On ฉบับเสียงร้องโหยหวนของ Sissel Kyrkjebø (เอาจริงๆผมชื่นชอบเพลงนี้กว่าฉบับขับร้องโดย Céline Dion เสียอีกนะ!) เป็นบทเพลงประจำตัวละคร Rose DeWitt Bukater ที่ถ่ายทอดความรู้สึกจากภายใน ความต้องการของหัวใจ หญิงสาวไม่ชอบการถูกบีบบังคับ เป็นนกในกรงขังของผู้ใด โหยหาอิสรภาพเสรี อยากโบกโบยบินอยู่บนท้องฟ้าไกล
ผมแอบแปลกใจไม่น้อยที่เพลงประกอบ Titanic (1997) ไม่ติดอันดับ AFI’s 100 Years of Film Scores อาจเพราะชาร์ทนี้เลือกมาแค่ 25 เรื่อง และคนส่วนใหญ่จดจำได้แต่บทเพลง My Heart Will Go On (ติดอันดับ 14 ชาร์ท AFI’s 100 Years…100 Songs) โดดเด่นกว่า Soundtrack เสียอีกนะ!
ผู้กำกับ Cameron ไม่มีความต้องการบทเพลงขับร้อง เพราะครุ่นคิดว่าจะเป็นการทำลายบรรยากาศของหนัง แต่เป็น Horner มอบหมายให้ Will Jennings เขียนเนื้อคำร้อง และพยายามต่อรอง Céline Dion ที่ตอนแรกไม่ชอบการนำเสนอของ Hornor แต่ภายหลังได้รับการเกลี้ยกล่อมจากสามี René Angélil จึงยินยอมเข้าห้องอัด บันทึกเสียงเพียงเทคเดียวเท่านั้น! (แต่ความสำเร็จของหนังทำให้เธอเข้าห้องอัดเพลงนี้อีกนับครั้งไม่ถ้วน)
ความสำเร็จอันล้นหลามของบทเพลงนี้ คือตราประทับเคียงคู่กับภาพยนตร์ “imprinted on the movie’s legacy” อีกทั้งยังกลายเป็น “Signature Song” ประจำตัว Dion ติดอันดับหนึ่ง Billboard Hot 100 นานสองสัปดาห์ ยอดขายเฉพาะซิงเกิ้ลรวมทั่วโลกประมาณ 18 ล้านก็อปปี้ (เป็นรองเพียง I Will Always Love You ของ Whitney Houston ซิงเกิ้ลขายดีที่สุดตลอดกาลโดยนักร้องหญิง) รวมถึงกวาดรางวัลจากทุกสถาบันที่ได้เข้าชิง
Academy Award: Best Original Song
Golden Globe Award: Best Original Song
Grammy Award คว้ามาอีก 4 รางวัล
Record of the Year
Song of the Year
Best Female Pop Vocal Performance
Best Song Written Specifically for a Motion Picture or Television
เกร็ด: ในประวัติศาสตร์ Oscar มีเพียง 5 เรื่องที่ภาพยนตร์รางวัล Best Picture สามารถคว้า Best Original Song ประกอบด้วย Going My Way (1944), Gigi (1958), Titanic (1997), The Lord of the Rings: The Return of the King (2003), Slumdog Millionaire (2008)
เนื้อร้องของบทเพลง My Heart Will Go On ราวกับการเพ้อรำพันของ Rose เพื่อบอกกับวิญญาณของ Jack ภายหลังการสูญเสีย เหตุการณ์โศกนาฎกรรมครั้งนั้น ดั่งเคยให้คำมั่นสัญญา ว่าจะยังคงมีชีวิต ทำทุกสิ่งอย่างเคยครุ่นคิดวาดฝันไว้ เฝ้ารอคอยจนกว่าจะถึงวันหมดสิ้นลมหายใจ ฉันและเธอจักได้อยู่เคียงข้าง ครองคู่รักกันอีกครั้ง
MTV ยกย่องการแสดงของ Dion ในงานประกาศรางวัล Academy Award ถือว่าสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ สมควรค่าแก่การรับชม จึงนำคลิปดังกล่าวมาทิ้งท้าย
This performance of “My Heart Will Go On” deserves a rewatch. That smoke machine rolling out a wispy ocean fog, the orchestra in all white, and Dion wearing a dress that could definitely still pass as stylish and the Heart of the Ocean. Not to mention, she sounds flawless as she effortlessly belts out the Best Original Song-winner that would become one of the best-selling singles of all time and the world’s best-selling single in 1998. This is true perfection.
มองอย่างผิวเผิน Titanic (1997) นำเสนอเรื่องราวความรักต่างวรรณะ ระหว่างไอ้หนุ่มชั้นสาม Jack กับคุณหนูไฮโซ Rose ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมยุคสมัยนั้นยังไม่ให้การยินยอมรับ พวกเขาจึงโดนกีดกัน ขวางกั้น แต่ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย โลกทั้งใบล่มสลาย เรือชนภูเขาน้ำแข็งอับปางลง ก็คงไม่สิ่งใดทำลายความรู้สึกอันมั่นคงที่ฉันมีต่อเธอ
RMS Titatic ยังเป็นตัวแทนของชนชาวอังกฤษ ประเทศที่ยังคงยึดถือมั่นในขนบประเพณี วิถีทางสังคมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างเคร่งครัด แต่กลับอับปางลงกลางมหาสมุทร Atlantic ไปไม่ถึงเป้าหมายปลายทาง New York City, สหรัฐอเมริกาคือดินแดนแห่งเสรีภาพ
สำหรับผู้กำกับ Cameron การนำเสนอเรื่องราวความรักระหว่าง Jack & Rose ก็เพื่อเป็นตัวแทนความหลงใหลคลั่งไคล้ต่อการสำรวจซากเรือ RMS Titanic (เปรียบเทียบ Rose=Cameron, Jack=RMS Titanic ที่อับปางลง) อย่างที่อธิบายไปตั้งแต่ต้นว่านั่นคือสิ่งเติมเต็มความเพ้อใฝ่ฝัน สำคัญกว่าความสำเร็จ สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นเสียอีก!
ตั้งแต่ที่ทำบล็อคนี้มา บอกเลยว่าไม่เคยพบเจอผู้กำกับบ้าระห่ำอย่าง James Cameron ล่อหลอกสตูดิโอจ่ายเงินที่ควรไปนำสร้างหนัง มาเติมเต็มความเพ้อฝัน สำรวจโลกใต้น้ำ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” โดยตนเองไม่ต้องออกเงินสักแดงเดียว! และคงจะแต่มีบุคคลลักษณะนี้ ที่กล้าให้ตัวละครตะโกนโหวกเหวกบนดาดฟ้าหัวเรือ “I’m King of the World”.
หนังฉายรอบปฐมทัศน์ยัง Tokyo International Film Festival ได้เสียงตอบรับอย่างจืดชืด (ใช้คำว่า tepid) จนกระทั่งเมื่อเข้าฉายช่วงสิ้นปีที่สหรัฐอเมริกา นักวิจารณ์ถึงเริ่มให้คำชื่นชม และมีการเปรียบเทียบ Leo & Kate กับ Clark Gable & Vivien Leigh จากภาพยนตร์ Gone With the Wind (1939)
It is flawlessly crafted, intelligently constructed, strongly acted, and spellbinding … Movies like this are not merely difficult to make at all, but almost impossible to make well.
นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 4/4
Meticulous in detail, yet vast in scope and intent, Titanic is the kind of epic motion picture event that has become a rarity. You don’t just watch Titanic, you experience it.
นักวิจารณ์ James Berardinelli จาก Reelviews
Cameron’s magnificent Titanic is the first spectacle in decades that honestly invites comparison to Gone With the Wind.
นักวิจารณ์ Janet Maslin จาก The New York Times
ขณะที่คำวิจารณ์ในแง่ลบก็มีอยู่ไม่น้อยทีเดียว ส่วนใหญ่กล่าวถึงบทภาพยนตร์มีความเฉิ่มเชย น้ำเน่า บางสำนักถึงขนาดจัดให้ “the worst movie of all time”
The number of times in this unbelievably badly written script that the two [lead characters] refer to each other by name was an indication of just how dramatically the script lacked anything more interesting for the actors to say.
นักวิจารณ์ Barbara Shulgasser จาก The San Francisco Examiner ให้คะแนน 1/4
the most dreadful piece of work I’ve ever seen in my entire life.
ผู้กำกับ Robert Altman
I agree completely with what Jean-Luc said in this week’s Elle: it’s garbage. Cameron isn’t evil, he’s not an asshole like Spielberg. He wants to be the new De Mille. Unfortunately, he can’t direct his way out of a paper bag. On top of which the actress is awful, unwatchable, the most slovenly girl to appear on the screen in a long, long time. That’s why it’s been such a success with young girls, especially inhibited, slightly plump American girls who see the film over and over as if they were on a pilgrimage: they recognize themselves in her, and dream of falling into the arms of the gorgeous Leonardo.
ภาพซ้าย George Lucas ทำโปสเตอร์แสดงความยินดีกับ James Cameron ภายหลังจาก Titanic (1997) ทำเงินแซงหน้า Star Wars (1977), ส่วนภาพขวาคือตอน Avengers: Endgame (2019) โค่นสถิติของ Titanic (1997)
ช่วงปลายปีก็กวาดรางวัลเป็นว่าเล่น สามารถเข้าชิง Oscar จำนวน 14 สาขา [ถูกมองข้ามนักแสดงนำชาย (Leonardo DiCaprio) และบทภาพยนตร์] ได้รับการคาดหมายไว้ 7-8 รางวัล แต่สามารถคว้ามาถึง 11 รางวัล สูงสุดเทียบเท่า Ben-Hur (1959) และ The Lord of the Rings: The Return of the King (2003)
Best Picture
Best Director
Best Actress (Kate Winslet) พ่ายให้กับ Helen Hunt จาก As Good as It Gets (1997)
Best Supporting Actress (Gloria Stuart) พ่ายให้กับ Kim Basinger จาก L.A. Confidential (1997)
Middle-aged men are not ‘supposed’ to cry during movies. The ending of Titanic as having generated such tears. If they have felt weepy during [this film], have often tried to be surreptitious about it.
นักวิเคราะห์ Finlo Rohrer จาก BBC
แซว: เพราะความสำเร็จอย่างล้นหลามของ Titanic (1997) ทำให้ James Cameron ได้ส่วนแบ่งกำไรมากพอที่จะออกสำรวจ ประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับถ่ายทำโลกใต้น้ำ สรรค์สร้างสารคดีฉาย IMAX อาทิ Ghosts of the Abyss (2003), Aliens of the Deep (2005) ฯลฯ
คนละค่ำคืนกับหนังตลกลึกลับ A Night to Remember (1942) กำกับโดย Richard Wallace, นำแสดงโดย Loretta Young และ Brian Aherne, A Night to Remember (1958) คือดึกดื่นแห่งหายนะของ RMS Titanic ที่ใครต่อใครอาจรับรู้จักแค่ Titanic (1997) ภาพยนตร์เคยทำเงินสูงสุดในโลกของ James Cameron แต่ยังมีผลงานอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับเรือลำนี้ที่สร้างขึ้นก่อนหน้า
ขณะที่ Titanic (1997) เล่าเรื่องราวความรักต่างชนชั้นที่อาจคือสาเหตุทำให้เรือล่ม! A Night to Remember (1958) นำเสนอในลักษณะ Docudrama อธิบายเหตุการณ์หายนะเกิดขึ้นจากความเย่อหยิ่ง หลงตัวเอง ไม่มีทางที่ RMS Titanic จะจมลง! ด้วยความคาดหวังให้เป็นบทเรียนสอนใจอะไรบางอย่าง
“Every Britisher is proud of the unsinkable Titanic”.
จริงๆคือผมขี้เกียจเขียนถึง Titanic (1997) เพราะคิดว่าบทความต้องยาวมากแน่ๆ ก็เลยมองหาภาพยนตร์เรื่องอื่นที่เกี่ยวกับ RMS Titanic แล้วได้พบเจอฉบับบูรณะ A Night to Remember (1958) ในคอลเลคชั่นของ Criterion แสดงว่ามันต้องมีดี ดูจบบอกเลยว่าโคตรคลาสสิก ด้วยเทคนิคล้ำยุคสมัยนั้น แถมยังพบเห็นอะไรหลายๆสิ่งอย่างที่ James Cameron รีไซเคิลมาใช้กับผลงานตนเอง
RMS Titanic ชื่อเต็ม เรือไปรษณีย์หลวงไททานิก (Royal Mail Ship Titanic) เคยเป็นสิ่งของเคลื่อนได้ขนาดใหญ่ที่สุด ดำเนินการโดย White Star Line สร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1909-1911 ที่อู่ต่อเรือ Harland and Wolff, Belfast มูลค่า £1.5 million (เทียบเท่า £150 ล้านปอนด์ในปี 2019) ออกแบบโดยวิศวกรชาวอังกฤษ Thomas Andrews สามารถบรรทุกผู้โดยสาร 2,224 คน
Atlantic (1929) หนังพูดกำกับโดย E. A. Dupont แต่มีการเปลี่ยนจากชื่อเรือ RMS Titanic มาเป็น Atlantic และเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีการใช้บทเพลง Nearer, My God, to Thee ขับร้องโดยผู้โดยสารระหว่างกำลังจมลง
Titanic (1953) หนังดราม่าสัญชาติอเมริกัน กำกับโดย Jean Negulesco, นำแสดงโดย Clifton Webb, Barbara Stanwyck, คว้ารางวัล Oscar: Best Original Screenplay และเข้าชิงสาขา Best Art Direction
A Night to Remember (1958) ดัดแปลงจากนวนิยาย A Night to Remember (1955) แต่งโดย Walter Lord นำเสนอในลักษณะ DocuDrama ด้วยทุนสร้างภาพยนตร์สูงสุดของประเทศอังกฤษยุคสมัยนั้น
The Unsinkable Molly Brown (1968) หนังเพลงเกี่ยวกับชีวิตของ Molly Brown (นำแสดงโดย Debbie Reynolds) ระหว่างโดยสารเรือ RMS Titanic
Raise the Titanic (1980) ภาพยนตร์แนวผจญภัย ดัดแปลงจากนวนิยายขายดี Raise the Titanic! (1976) แต่งโดย Clive Cussler ด้วยทุนสร้าง $40 ล้านเหรียญ ขาดทุนย่อยยับเยิน!
แม้ภาพยนตร์เกี่ยวกับ RMS Titanic จะพบเห็นมากมายตั้งแต่ปีที่อับปางลง แต่กลับไม่มีนวนิยายเรื่องไหนเคยกล่าวอ้างถึงเหตุการณ์ดังกล่าว จนกระทั่ง A Night to Remember (1955) แต่งโดย Walter Lord (1917-2002) นักเขียนชาวอเมริกัน เรียบเรียงบทสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตจำนวน 63 คน ตีพิมพ์ครั้งแรก 60,000 เล่ม ขายหมดเกลี้ยงในระยะเวลาเพียง 2 เดือน!
ปล. แม้ว่า Walter Lord จะเกิดไม่ทันโศกนาฎกรรมดังกล่าว แต่ช่วงวัยเด็กเคยมีโอกาสโดยสารเรือ RMS Olympic ซึ่งถือเป็น ‘sister ship’ ของ RMS Titanic เดินทางไป-กลับ New York สู่ทวีปยุโรป นั่นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาค้นคว้าหาข้อมูล เรียบเรียงเขียนหนังสือเล่มนี้
ความสำเร็จอย่างล้นหลามของภาพยนตร์ดราม่า Titanic (1953) ทำให้กระแสเกี่ยวกับเรือ RMS Titanic ได้รับความสนใจขึ้นอีกครั้ง นั่นรวมถึงหนังสือ A Night to Remember (1955) ขายดีระดับ Best-Selling ทำให้มีการแก่งแย่งซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงโดยทันที!
ครั้งแรกได้รับการสร้างเป็น TV Play โดยสถานีโทรทัศน์ NBC รวมอยู่ในซีรีย์ Kraft Television Theatre ซีซัน 9 ตอนที่ 25 ออกอากาศวันที่ 28 มีนาคม 1956, กำกับโดย George Roy Hill, ดัดแปลงบทโดย John Whedon (บิดาของผู้กำกับ Joss Whedon) ด้วยคำโปรโมทสุดอลังการ “the biggest, most lavish, most expensive thing of its kind” 31 ฉาก, 107 นักแสดง, ถังน้ำ 3,000 แกลอน, มีผู้ชมกว่า 28 ล้านคน, เข้าชิง Emmy Award ห้าสาขา และคว้ารางวัล Best Live Camera Work
สำหรับฉบับภาพยนตร์ มีจุดเริ่มต้นจากโปรดิวเซอร์ William MacQuitty เมื่อครั้นวัยเด็กเคยพบเห็น RMS Titanic ออกจากอู่สร้างที่ Belfast พอมีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ (ได้รับจากภรรยา) จึงรีบติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงโดยทันที (ตัดหน้าสตูดิโอใหญ่ๆก่อนที่ TV Play จะออกฉาย) และมอบหมายหน้าที่กำกับให้ Roy Ward Baker (1916-2010) ซึ่งก็มีความสนใจไม่ต่างกัน
Roy Ward Baker ชื่อเดิม Roy Horace Baker (1916-2010) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ London บิดาเป็นพ่อค้าปลา โตขึ้นจับพลัดจับพลูได้งานเด็กเสิร์ฟชาที่ Gainsborough Studios ไต่เต้าจนจนกลายเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ, ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง อาสาสมัครทหารเข้าร่วม Army Kinematograph Unit, กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก The October Man (1947), โด่งดังกับ A Night to Remember (1958), หลังจากนั้นขยันสร้างหนัง Horror เกรดบี อาทิ The Vampire Lovers (1970), Scars of Dracula (1970), Asylum (1972), The Vault of Horror (1973) ฯลฯ
สำหรับบทภาพยนตร์ดัดแปลงโดย Eric Ambler (1909-98) นักเขียนนวนิยาย/ดัดแปลงบทภาพยนตร์ ก่อนหน้านี้มีผลงาน อาทิ The October Man (1947), The Cruel Sea (1953), Yangtse Incident: The Story of H.M.S. Amethyst (1957) ฯลฯ
ถ่ายภาพโดย Geoffrey Unsworth (1914-78) ตากล้องระดับตำนาน สัญชาติอังกฤษ เริ่มต้นทำงานยัง Gaumont British ต่อด้วยเป็นผู้ช่วยตากล้องในหลายๆผลงานของ Powell and Pressburger จนกระทั่งได้รับเครดิตถ่ายภาพเมื่อย้ายมา Rank Organisation ผลงานเด่นๆ อาทิ A Night to Remember (1958), Becket (1964), 2001: A Space Odyssey (1968), Cabaret (1972), Murder on the Orient Express (1974), A Bridge Too Far (1977), Superman (1978), Tess (1979) ฯลฯ
งานภาพของหนังอาจไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียด Mise-en-scène แต่เต็มไปด้วยลูกเล่น Special Effect และผสมผสานระหว่างการเข้าฉากของนักแสดงยังฉากขนาดเท่าของจริง (เห็นว่ามีประมาณ 30 ฉากที่สร้างขึ้น) และโมเดลจำลอง (miniature) ถ่ายทำในแท้งค์น้ำที่สตูดิโอ Pinewood, London คลุกเคล้าเข้ากันได้อย่างแนบเนียน
ทศวรรษ 50s เป็นช่วงเวลาของหนังมหากาพย์สุดยิ่งใหญ่ ‘Historical Epics’ อาทิ Quo Vadis (1951), Helen of Troy (1956), The Ten Commandments (1956), Ben-Hur (1959) ฯลฯ ซึ่งล้วนถ่ายทำด้วยฟีล์มสี Eastmancolor หรือ Technicolor แต่แปลกที่ A Night to Remember (1958) กลับเลือกถ่ายทำด้วยฟีล์มขาว-ดำ … ผมคาดว่าเพราะหนังนำเสนอหายนะ เหตุการณ์โศกนาฎกรรม (เหมือนเป็นการไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิต) แถมเรื่องราวส่วนใหญ่ถ่ายทำตอนกลางคืน จึงไม่มีความจำเป็นในการถ่ายทำด้วยฟีล์มสีให้สิ้นเปลือง
เกร็ด: ใครอยากรับชมเบื้องหลังการงานสร้าง ให้ลองหาสารคดี The Making of “A Night to Remember” (1993) มีอยู่ใน Special Feature ของค่าย Criterion Collection
สำหรับฉากล่องลอยคอกลางมหาสมุทร Atlantic ใช้สถานที่อ่างเก็บน้ำ/ชายหาดเทียม Ruislip Lido อยู่ย่าน West London ถ่ายทำเวลาตีสอง ช่วงเดือนพฤศจิกายน อากาศกำลังหนาวเหน็บ ทีแรกไม่มีใครอยากกระโดดลงน้ำ แต่หลังจากนักแสดงนำ Kenneth More อาสาทำเป็นแบบอย่าง แค่เพียงสัมผัสความหนาวเย็นเข้ากระดูก ก็ตระหนักว่าคิดผิดอย่างรุนแรง!
I leaped. Never have I experienced such cold in all my life. It was like jumping into a deep freeze just like the people did on the actual Titanic. The shock of the cold water forced the breath out of my lungs. My heart seemed to stop beating. I felt crushed, unable to think. I had rigor mortis, without the mortis. And then I surfaced, spat out the dirty water and, gasping for breath, found my voice. ‘Stop!’ I shouted. ‘Don’t listen to me! It’s bloody awful! Stay where you are!’ But it was too late, as the extras followed suit.
Kenneth More
ภาพวาดที่อยู่ในห้องนั่งเล่นชั้น First Class มีชื่อว่า Approach to the New World มุ่งสู่ท่าเรือ New York ผลงานของ Norman Wilkinson (1878–1971) ซึ่งมีการอ้างอิงถึงในหนังสือของ Walter Lord แต่จริงๆแล้วเป็นภาพที่เขาเคยพบเห็นบนเรือ RMS Olympic ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ยัง Southampton City Museums
the effect of Californian taking proper action would have been no more than to place on her the task actually carried out by Carpathia, that is the rescue of those who escaped … [no] reasonably probable action by Captain Lord could have led to a different outcome of the tragedy.
ตัดต่อโดย Sidney Hayers (1921-2000) ผู้กำกับ/นักตัดต่อสัญชาติอังกฤษ จากเคยทำงานแผนกเสียง เลื่อนมาเป็นนักตัดต่อ จากนั้นกลายเป็นผู้กำกับกองสอง A Night to Remember (1958), A Bridge Too Far (1977) และมีผลงานกำกับ อาทิ Rebound (1959) ฯลฯ
เพลงประกอบโดย William Alwyn (1905-1985) คีตกวีสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Northampton วัยเด็กหลงใหลใน Flute และ Piccolo เข้าศึกษาต่อยัง Royal Academy of Music ณ กรุง London จากนั้นเป็น Flautist ให้กับ London Symphony Orchestra ขณะเดียวกันก็เป็นอาจารย์สอนทฤษฎีดนตรี แล้วมีโอกาสทำเพลงออร์เคสตรา Concerto, Piano Suite, Chamber Music, ละครเวที และประกอบภาพยนตร์ อาทิ The True Glory (1945), The October Man (1947), Odd Man Out (1947), The Crimson Pirate (1952), A Night to Remember (1958), The Running Man (1963)
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกของภาพยนตร์เกี่ยวกับ RMS Titanic ที่มีการใช้บทเพลง Nearer My God to Thee (แทบจะกลายเป็นชาติประจำเรือ Titanic) ได้ยินระหว่างเรือกำลังจมลงสู่ก้นเบื้อง Atlantic … ครั้งแรกคือ Atlantic (1929) ผู้โดยสารที่ตกค้างบนเรือ ร่วมกันขับร้องประสานเสียง
แต่ A Night to Remember (1958) คือครั้งแรกที่มีการนำวงดนตรีมาทำการแสดง รวมถึง ‘diegetic music’ บทเพลงอื่นๆ อาทิ Off to Philadelphia, Barbary Bell, The Blue Danube, Funeral March ฯลฯ
เกร็ด: James Cameron ชื่นชอบวงดนตรีนี้มากๆ ถึงขนาดรีไซเคิลแนวคิด (รวมถึงบทเพลง Nearer My God to Thee) รวมถึงเพิ่มเติมประโยคเด็ดใน Titanic (1997)
What troubled people especially was not just the tragedy—or even its needlessness—but the element of fate in it all. If the Titanic had heeded any of the six ice messages on Sunday … if ice conditions had been normal … if the night had been rough or moonlit … if she had seen the berg fifteen seconds sooner—or fifteen seconds later … if she had hit the ice any other way … if her watertight bulkheads had been one deck higher … if she had carried enough boats … if the Californian [just 10 miles away] had only come. Had any one of these ‘ifs’ turned out right, every life might have been saved. But they all went against her—a classic Greek tragedy.
Walter Lord
A Night to Remember (1958) แค่ชื่อก็พยายามเรียกร้องขอให้ผู้ชม/ผู้อ่าน จดจำเหตุการณ์นี้ไว้ ไม่มีใครอยากให้โศกนาฎกรรมบังเกิดขึ้น แต่เมื่อมีเหตุสุดวิสัย ภัยพิบัติ เราต้องรู้จักมีสติ ควบคุมตนเอง ไม่ตกอยู่ในความประมาท และทำตามกฎระเบียบ/มาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
อีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถเรียนรู้จาก A Night to Remember (1958) คือปฏิกิริยาแสดงออกเมื่อต้องเผชิญหน้าหายนะ ตระหนักว่าความตายใกล้เข้าเยือน บางคนยินยอมรับโชคชะตา บางคนเสียสละเพื่อเกียรติ/ศักดิ์ศรี บางคนพยายามต่อสู้ดิ้นรน ทำทุกสิ่งอย่างโดยไม่สนห่าเหวอะไรทั้งนั้น … ไม่ใช่ทุกคนสามารถเผชิญหน้าความหวาดกลัว แล้วจะหลงเหลือความเป็นมนุษย์
แต่หนังได้เสียงตอบรับดีมากๆจากนักวิจารณ์ สามารถคว้ารางวัล Golden Globe Award: Best English-Language Foreign Film (สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ) นอกจากนี้ยังได้รับคำชื่นชมจากนักประวัติศาสตร์ นำเสนอเรื่องราวได้ใกล้เคียงเหตุการณ์จริง
และ A Night to Remember (1958) ยังถือเป็นภาพยนตร์ที่จุดประกายยุคสมัย “The Golden Age of the Disaster Film” เริ่มจาก Airport (1970), ติดตามด้วย The Poseidon Adventure (1972), Earthquake (1974), The Towering Inferno (1974) ฯลฯ
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ คุณภาพ HD ตั้งแต่ปี 2012 โดย Criterion Collection ในแผ่น DVD/Blu-Ray ยังมีแถมสารคดีเกี่ยวกับ RMS Titanic อีกสามเรื่อง The Making of “A Night to Remember” (1993), En natt att minnas (1962) และ The Iceberg That Sank the “Titanic” (2006) สามารถหารับชมออนไลน์ได้ทาง Criterion Channel
เพราะความสำเร็จอย่างเว่อวังอลังการของ Titanic (1997) ทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับ A Night to Remember (1958) แต่ผลลัพท์ต้องบอกเลยว่าผิดคาด! แม้ด้วยข้อจำกัดยุคสมัยนั้น กลับสามารถสร้างแรงดึงดูด ยังดูมีความยิ่งใหญ่ ตื่นตระการตา แม้ไม่มีใครให้เชียร์ว่ารอดหรือไม่รอด แต่นำเสนอภาพรวมของหายนะ โศกนาฎกรรม ได้อย่างโคตรๆน่าจดจำ
เอาจริงๆการเปรียบเทียบระหว่าง A Night to Remember (1958) และ Titanic (1997) ไม่ใช่สิ่งถูกต้องสักเท่าไหร่ เพราะแม้ต่างเกี่ยวกับข้องกับการอัปปางของ RMS Titanic แต่นัยยะสาระของทั้งสองเรื่องมีความแตกต่างกันมากๆ ขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้จะชื่นชอบความสมจริงในลักษณะ DocuDrama หรือการ ‘romanticize’ ใส่ความโรแมนติกให้กับเหตุการณ์โศกนาฎกรรม
จัดเรต 13+ กับโศกนาฎกรรม
คำโปรย | A Night to Remember ค่ำคืนแห่งโศกนาฎกรรมที่สมควรได้รับการจดจำ คุณภาพ | น่าจดจำ ส่วนตัว | ชื่นชอบ
ภรรยาล้มป่วยหนักไม่มีเงินค่ารักษา สามีจึงตัดสินใจปั่นจักรยาน 7 วัน 7 คืน อยากจะทำเหมือน Ace in the Hole (1951) แต่ก็ได้แค่เวียนวนไปวนมา วังวนแห่งหายนะของผู้อพยพชาว Afghan
หลายคนน่าจะรับรู้จัก The Cyclist (1989) และ Mohsen Makhmalbaf จากการกล่าวอ้างถึงในโคตรภาพยนตร์กึ่งสารคดี Close-Up (1990) ของ Abbas Kiarostami ที่ชายคนหนึ่งแอบอ้างตัวเองเป็นผกก. Makhmalbaf และยังพูดบอกว่า “the cyclist is a part of me”.
I was in jail four and a half years. When I came out, I continued the same struggle against injustice, but instead of using weapons, I began to use art and cinema.
Mohsen Makhmalbaf
ช่วงระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ Makhmalbaf ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือกว่า 2,000+ เล่ม หลังได้รับการปล่อยตัวก็เริ่มเกิดความสนใจในสื่อภาพยนตร์ กลายมาเป็นช่างภาพ ตากล้อง เขียนเรื่องสั้น พัฒนาบทหนัง Towjeeh (1981), Marg Deegari (1982), กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Tobeh Nosuh (1985) ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก Iranian New Wave โด่งดังจากผลงาน The Cyclist (1989), Once Upon a Time, Cinema (1992), Hello Cinema (1995), A Moment of Innocence (1996), Gabbeh (1996), Kandahar (2001) ฯลฯ
When I was ten years old there were rumors that in a basketball field located in Khorasan Sq., in Tehran, a Pakistani cyclist has got onto a bicycle and wants to cycle for 10 constant days for helping the flood victims of Pakistan.
Later I heard that the same man has repeated this story in other cities. I can even say that sometimes the cyclist is not a special person in some places; it is a class, a society, and a nation.
บทร่างแรกของหนัง ผกก. Makhmalbaf แทบไม่ได้ปรับเปลี่ยนรายละเอียดใดๆจากความทรงจำวัยเด็ก แตกต่างเพียงตอนจบเมื่อนักปั่นจักรยานหยุดปั่น เขาไม่สามารถก้าวเดินเป็นเส้นตรง วนไปวนมาอยู่รอบฝูงชน แล้วทิ้งตัวล้มลงขาดใจตาย … แต่บทร่างดังกล่าวก็ถูกทัดทานจากโปรดิวเซอร์ “Why don’t you think more globally?”
I really liked to make the story as I wrote it first. I mean when the cyclist apparently succeeded and stopped cycling he could not walk on a straight line anymore. He went towards the mass crowd in the opposite street in circles from this Bazaar and in a place, a little further, when he had finished his work, he died.
Moharram Zaynalzadeh (เกิดปี 1951), محرم زینالزاده นักแสดงสัญชาติ Iranian เกิดที่ Khoi, West Azerbaijan (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน) เข้าเรียนการแสดงยัง Tehran Art Institute จบออกมาเป็นนักแสดงละครเวที มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก Zangha (1985), เคยร่วมงานผู้กำกับ Mohsen Makhmalbaf ตั้งแต่ The Peddler (1987), The Cyclist (1989), A Moment of Innocence (1996) ฯลฯ
ผมหารายละเอียดได้แค่ว่าหนังถ่ายทำในกรุง Tehran แต่ไม่แน่ใจว่ายัง Khorasan Square สถานที่ที่ผู้กำกับ Makhmalbaf เคยพบเห็นการปั่นจักรยานเมื่อครั้งสมัยวัยเด็กหรือเปล่า (ผมลองค้นหาใน Google Maps แต่กลับไม่ค่อยมีภาพถ่าย Street View เหมือนว่าอิหร่านจะไม่ให้ความร่วมมือกับ Google สักเท่าไหร่)
เกร็ด: นักแสดงที่เล่นเป็นเด็กหญิงก็คือ Samira Makhmalbaf บุตรสาวของผู้กำกับ Mohsen Makhmalbaf พอโตขึ้นก็กลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ มีผลงานระดับตำนานอย่าง The Apple (1998), Blackboards (2000), At Five in the Afternoon (2003) ฯ
เพลงประกอบโดย Majid Entezami, مجید انتظامی (เกิดปี 1948) คีตกวีชาว Iranian บุตรชายของนักแสดงชื่อดัง Ezzatollah Entezami ค้นพบความชื่นชอบด้านดนตรีตั้งแต่วัยเด็ก ร่ำเรียน Oboe ยัง Tehran Conservatory จากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อ State University of West Berlin เคยร่วมทำการแสดงกับ Berlin University Symphony Orchestra พอกลับมาอิหร่านก็ได้รับจดหมายเชิญเข้าร่วม Tehran Symphony Orchestra กลายเป็นครูสอนดนตรี จากนั้นมีผลงานประพันธ์ซิมโฟนี่ เพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ The Cyclist (1988), Once Upon a Time, Cinema (1991), A Moment of Innocence (1995) ฯลฯ
มันช่างเป็นวังเวียนวนที่น่าอัศจรรย์โดยแท้ ใครจะไปคาดคิดว่าผู้กำกับ Makhmalbaf สุดท้ายแล้วจะกลายมาเป็นผู้อพยพลี้ภัย แบบเดียวกับเรื่องราวที่เคยสรรค์สร้างใน The Cyclist (1989)
ข้อมูลจาก IMDB บอกว่า The Cyclist เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนัง Fajr Film Festival เมื่อปี 1989 (นี่น่าจะถือว่าเป็นปีที่หนังเข้าฉายจริงๆ) สามารถคว้ามาถึงสามรางวัล Best Director, Best Screenplay และ Best Music
สำหรับคนชื่นชอบภาพยนตร์ลักษณะคล้ายๆ The Cyclist (1989) แนะนำให้ลองค้นหา Ace in the Hole (1951), Guide (1965), The Sugarland Express (1974), Peepli Live (2010) ฯลฯ
จนกระทั่งได้ยินข่าวว่าสถาบัน Institute for the Intellectual Development of Children and Young Adults (IIDCYA) กำลังมองหาโปรเจคเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน จึงนำบทหนังไปยื่นเสนองบประมาณ ในตอนแรกคณะกรรมการส่วนใหญ่มองว่าพล็อตธรรมดาเกินไป ไม่มีความน่าสนใจ แต่หลังจากพยายามปรับแก้ไขอยู่หลายๆครั้ง Behrouz Gharibpour (เกิดปี 1950), بهروز غریبپور นักเขียน/ผู้กำกับละครเวทีและหุ่นเชิด (Persian Puppet Theatre) เลยให้คำแนะนำสิ่งที่ควรแก้ไขปรับปรุง
Mr. Amir Naderi proposed the initial scenario of ‘The Runner’ which was rejected on TV, twice to the committee, which was also rejected by the committee. And everyone said it was weak. But it was clear that Mr. Naderi thought of pictures in his mind. I was also a serious opponent of this script. But the last time he presented the script, I told the other committee that the problem with this script is these things, and I wrote them down and told Mr. Naderi to tell him that this movie can be made in a much better way, and if he finds this way, then will be usable.
เกร็ด: สถาบัน IIDCYA เคยอนุมัติทุนสร้างภาพยนตร์ดังๆอย่าง The Traveller (1974), Where Is the Friend’s Home? (1987), Bashu, the Little Stranger (1989), And Life Goes On (1992), Children of Heaven (1998) ฯลฯ
เรื่องราวมีพื้นหลังยัง Bandar Abbas, بندر عباس (แปลว่า Port of Abbas) ชื่อเล่น The Crab Port เมืองท่าของจังหวัด Hormozgan ติดอ่าวเปอร์เซีย ชายฝั่งทางตอนใต้ของอิหร่าน
ถ่ายภาพโดย Firooz Malekzadeh (เกิดปี 1945), فیروز ملکزاده ตากล้องสัญชาติ Iranian เคยร่วมงานผู้กำกับ Bahram Beyzai เมื่อครั้นถ่ายทำหนังสั้น Safar (1972), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Traveler (1974), Stranger and the Fog (1976), The Runner (1984), The Mare (1986), Bashu, the Little Stranger (1989) ฯลฯ
เพื่อสร้างสัมผัส Neorealist หนังจึงไม่มีการใช้บทเพลงประกอบ (Soundtrack) แต่จะเป็นลักษณะของ ‘Diegetic music’ ได้ยินเด็กๆขับร้อง-เล่น (บนขบวนรถไฟ) หรือดังจากวิทยุ/เครื่องกระจายเสียง (บาร์ริมท่าเรือ) มีทั้งท่วงทำนอง Jazz, บทเพลงดังๆอย่าง Louis Armstrong: What A Wonderful World, Frank Sinatra: Around The World ฯลฯ
หลังจากเข้าฉายในอิหร่าน ปีถัดมาก็ตระเวนไปตามเทศกาลหนัง Venice, London (นอกสายการประกวด) ได้เสียงตอบรับอย่างดีล้นหลาม บางเทศกาลก็สามารถคว้ารางวัลอย่าง …
Nantes International Film Festival คว้ารางวัล Grand Prix
Melbourne International Film Festival คว้ารางวัล International Jury Prize
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะโดย Iranian National Cinema แล้วเสร็จสิ้นเมื่อปี 2019 คุณภาพ 4K เข้าฉายปฐมทัศน์เทศกาล Fajr International Film Festival สามารถหาซื้อ Blu-Ray จัดจำหน่ายโดยค่าย Elephant Films
พนักงานรถไฟสูงวัย จู่ๆได้รับจดหมายเกษียณอายุเลิกจ้าง ชีวิตตกอยู่ในความสิ้นหวัง ไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อไป! โคตรหนัง ‘slow cinema’ ต้นแบบอย่าง The Turin Horse (2011) คว้ารางวัล Silver Bear: Best Director จากเทศกาลหนังเมือง Berlin
A journey that is clearly towards nothingness.
นักวิจารณ์ชาวอิหร่าน Daniyal Hashmipour
Still Life (1974) เป็นภาพยนตร์ที่เหมือนจะไม่มีอะไร วิธีการก็แค่ตั้งกล้องทิ้งไว้ (ถ่ายทำแบบ Long Take) บันทึกภาพวิถีชีวิต กิจวัตรประจำวันอันเรียบง่าย แต่ทุกรายละเอียดล้วนผ่านการครุ่นคิด เพื่อสร้างบรรยากาศท้อแท้สิ้นหวัง ราวกับวันโลกาวินาศ ตัวละครขยับเคลื่อนไหวอย่างคนไร้จิตวิญญาณ
ระหว่างรับชมผมนึกเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ Jeanne Dielman, 23, quai du Commerce, 1080 Bruxelles (1975) เพราะต่างนำเสนอกิจวัตรประจำวันอันเรียบง่ายในสไตล์ ‘minimalist’ แต่พอถึงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายแห่งความสิ้นหวังก็บังเกิดภาพของ The Turin Horse (2011) ลองเทียบหลายๆช็อตก็รู้สึกว่าละม้ายคล้ายกันไม่น้อย
สำหรับผลงานชิ้นเอก طبیعت بیجان อ่านว่า Tabiate Bijan แปลตรงตัวคือ Inanimate Character แต่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ Still Life นำเสนอเรื่องราวของชายสูงวัย Mohamad Sardari (รับบทโดย Zadour Bonyadi) ทำงานการรถไฟมากว่าสามสิบปี มีหน้าที่กดเปิด-ปิด เสากั้น/สัญญาณทางข้ามรถไฟ อาศัยอยู่บ้านพนักงานร่วมกับภรรยา ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ได้มีความคาดหวัง ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ แต่อยู่มาวันหนึ่งได้รับจดหมายเกษียณอายุเลิกจ้าง ทุกสิ่งอย่างก็จบสิ้นลงแค่นี้นะหรือ?
ถ่ายภาพโดย Houshang Baharlou (เกิดปี 1936), هوشنگ بهارلو ตากล้องระดับสัญชาติอิหร่าน เดินทางไปร่ำเรียนภาพยนตร์ยัง Experimental Cinematography Center ณ กรุง Rome แต่พอกลับมากลายเป็นช่างภาพให้นิตยสาร Setare Cinema ก่อนผันมาทำงานตากล้องภาพยนตร์ ขาประจำผู้กำกับ Dariush Mehrjui ผลงานเด่นๆ อาทิ Mr. Gullible (1970), Still Life (1974), Chess of the Wind (1976), The Cycle (1977), Dead End (1977), Desiderium (1978) ฯลฯ
The mise-en-scènes are so quiet that the audience realizes the soullessness and stillness of the work when they see a single frame of the film. Quiet and cold but poetic and beautiful.
ปล. มันก็ไม่เชิงว่าเหมือนเปี๊ยบ แต่ก็มีบางช็อตของ Still Life (1974) ช่างดูละม้ายคล้าย/กลายเป็นอิทธิพล The Turin Horse (2011) ต่างนำเสนอเรื่องราวของบุคคลผู้กำลังตกอยู่ในความท้อแท้สิ้นหวัง ราวกับวันโลกาวินาศใกล้เข้ามาถึง
ตัดต่อโดย Ruhallah Emami (1941-1999) สัญชาติ Iranian ผลานเด่นๆ อาทิ Still Life (1974), Far From Home (1975), Dead End (1977) ฯ
The film is dominated by complete and deadly silence, which is broken by the passage of a train from time to time. This silence makes the lifeless nature of the film more visible and lethargy dominates the world of the film.
นักวิจารณ์ชาวอิหร่าน Daniyal Hashmipour
Still Life (1974) มองผิวเผินคือเรื่องราวของการสูญเสียอาชีพ วิถีชีวิต กิจวัตรประจำวัน ชายสูงวัยถูกบีบบังคับให้เกษียณอายุ ออกจากงานโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ไม่สามารถตระเตรียมความพร้อม จำต้องออกเดินทางโดยไม่รู้เป้าหมาย อนาคต โชคชะตาขึ้นอยู่กับฟ้าดินกำหนด
ในกรณีของ Still Life (1974) ก็คือบรรยากาศความท้อแท้สิ้นหวังต่อรัฐจักรวรรดิแห่งอิหร่าน (Imperial State of Iran) หรืออิหร่านปาห์ลาวี (Pahlavi Iran) อันเนื่องจากการปกครองของสมเด็จพระเจ้าชาห์ Mohammad Reza Pahlavi ที่ไม่เคยสนใจใยดีต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ก่อตั้งรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคอรัปชั่น ข้าราชการก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไม่ต่างจากเครื่องยนต์กลไก พอครบอายุก็ปลดเกษียณโยนทิ้งขว้าง ไม่มีแม้แต่เงินบำเน็ดบำนาญ
แซว: ผมรู้สึกว่าชื่อหนังภาษาอังกฤษ Still Life เป็นคำที่ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ (เพราะไม่รู้สึกว่าตัวละครเหมือนยังมีชีวิตอยู่) คำแปลตรงๆจากภาษาเปอร์เซีย Inanimate Character อาจฟังดูแปลกๆ แต่สามารถสื่อถึงสภาพไร้จิตวิญญาณของตัวละครได้ชัดเจนกว่า
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Berlin เสียงตอบรับดียอดเยี่ยมมากๆ สามารถคว้ามาถึง 4 รางวัล ขณะที่ Golden Bear ปีนั้นตกเป็นของภาพยนตร์ตลกสัญชาติอังกฤษ The Apprenticeship of Duddy Kravitz (1974) กำกับโดย Ted Kotcheff, นำแสดงโดย Richard Dreyfuss (ในบทบาทที่เจ้าตัวครุ่นคิดว่าเล่นได้แย่สุดๆ)
Silver Berlin Bear: Best Director
FIPRESCI Prize
OCIC Award – Recommendation: Competition
Interfilm Award – Otto Dibelius Film Award
ความสำเร็จของ Still Life (1974) ทำให้ผู้กำกับ Shahid-Saless ตัดสินใจลงหลักปักฐานที่เยอรมัน (สมัยนั้นคือ West German) เพราะเชื่อว่าจะได้รับโอกาส และอิสรภาพในการสรรค์สร้างภาพยนตร์มากกว่า ผลงานเด่นๆ อาทิ Far From Home (1975), Coming of Age (1976), Utopia (1983) ฯลฯ