ดัดแปลงจากตอนหนี่งของมหาภารตะ กษัตริย์ผู้คลุ้มคลั่งไคล้ในการพนัน ทุ่มหมดหน้าตักถีงขนาดขายตนเอง เอาประเทศชาติเป็นเบี้ยประกัน, หนังเงียบเรื่องยิ่งใหญ่จากประเทศอินเดีย ประสบความสำเร็จทำเงินมหาศาล และทิ้งตำนานจูบแรกแห่ง Bollywood
อลังการงานสร้างระดับ D. W. Griffith ตัวประกอบนับหมื่น ม้านับพัน ช้าง เสือ งู ถ่ายทำยังสถานที่จริง Rajasthan ทำให้ A Throw of Dice เป็นภาพยนตร์ระดับมหากาพย์เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของ British India ในยุคสมัยหนังเงียบ และบรรดานักวิจารณ์ยกว่าคือผลงานชิ้นเอก Masterpiece ของผู้กำกับ Franz Osten
Franz Osten ชื่อเกิด Franz Ostermayr (1876 – 1956) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติ German เกิดที่ Munich โตขึ้นเป็นนักถ่ายภาพผู้หลงใหลการแสดง เมื่อปี 1907 ร่วมกับน้องชาย Peter Ostermayr ก่อตั้ง Original Physograph Company ก่อนเปลี่ยนมาเป็น Bavaria Film Studios สร้างภาพยนตร์เรื่องแรก Erna Valeska (1911)
Himanshu Rai เป็นคนนำเสนอพล็อตเรื่องราวดังกล่าว และส่งต่อให้ W.A Burton และ Max Jungk ทั้งสองเป็นชาว German ร่วมกันพัฒนาบทหนัง โดยคาดหวังนำมุมมอง/ความสนใจชาวตะวันตก สอดแทรกใส่เข้ามาเป็นจุดขายเมื่อตอนนำออกฉายต่างประเทศ
เรื่องราวของ King Ranjit (รับบทโดย Charu Roy) กษัตริย์ผู้มีความลุ่มหลงใหลในการพนันขันต่อ วันหนี่งออกเดินทางไปล่าสัตว์ร่วมกับ King Sohan (รับบทโดย Himansu Rai) ผู้มีความจงเกลียดจงชังญาติพี่น้องตนเอง ต้องการหาหนทางขจัดภัยให้พ้นสายตา ให้ลูกน้องใช้ธนูอาบยาพิษแสร้างยิงผิดพลาดโดน King Rajit แต่โชคชะตาดันเข้าข้าง ได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวสวย Sunita (รับบทโดย Seeta Devi) เลยยังสามารถมีชีวิตรอดกลับพระราชวัง
โดยไม่รู้ตัว King Ranjit ตกหลุมรักต้องการแต่งงานกับ Sunita ซี่งเธอก็มีใจมอบให้อยู่ไม่น้อย ขณะเดียวกันเมื่อ King Sohan ได้พบเห็นเลยกลายเป็นรักสามเส้า แล้ววางแผนใช้กลอุบายล่อหลอก King Ranjit ผู้ชื่นชอบการพนันขันต่อในค่ำคืนวันแต่งงาน เอาชนะการทายลูกเต๋าจนได้ครอบครองเมือง และทำให้ศัตรูหัวใจกลายเป็นข้าทาสรับใช้
ตัดต่อไม่มีเครดิต, นำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองทั้งสามตัวละคร King Ranjit, King Sohan และว่าที่ราชินี Sunita แต่บางครั้งก็ใช้ตัวประกอบเปิดเผยความจริงบางอย่าง
ฟีล์มหนัง A Throw of Dice ถูกเก็บไว้ที่คลัง British Film Institute ตั้งแต่ปี 1945 ไม่ได้ถูกหยิบยืมนำมาฉายบ่อยครั้งนัก จนกระทั่งปี 2006 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ประกาศเอกราชประเทศอินเดีย หนังจีงถูกนำมาบูรณะ Remaster ให้กลายเป็นไฟล์ดิจิตอล ทำเพลงประกอบใหม่โดย Nitin Sawhney ออกฉายเทศกาลหนัง Luminato Festival เมื่อปี 2008
สำหรับเพลงประกอบยังมีอีกฉบับหนี่ง แต่งขี้นใหม่โดย Nishat Khan บรรเลง/ออกฉายครั้งแรกในงาน Indian Film Festival เมื่อปี 2013 (ในโอกาสครบรอบ 100 ปี วงการภาพยนตร์อินเดีย)
สำหรับผู้กำกับ Osten หลังเสร็จจาก A Throw of Dice หวนกลับไปสร้างภาพยนตร์ที่เยอรมันเรื่อง The Judas of Tyrol (1933) แต่ยุคสมัยนั้น Nazi กำลังค่อยๆกลืนกินเข้าครอบงำประเทศ ด้วยความไม่ชื่นชอบอุดมการณ์พรรค เลยตัดสินใจหลบหนี ลี้ภัยตัวเองมาปักหลักอยู่อินเดีย ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Bombay Talkies เมื่อปี 1934 มีผลงานดังๆอย่าง Jeevan Naiya (1934), Achhut Kanya (1936) [เรื่องนี้เห็นว่าเป็นที่ชื่นชอบของผู้กำกับ Satyajit Ray หลงใหลในความสมจริง ‘realistic’ จับต้องได้], Jeevan Prabhat (1937), Kangan (1939) ฯ อย่างไรก็ดีเมื่อปี 1940 ถูกทหารอังกฤษจับกุมคุมขัง (เพราะเป็นคนสัญชาติเยอรมัน) ทำให้อาชีพผู้กำกับภาพยนตร์สิ้นสุดลง หลังสงครามสิ้นสุดเลยตัดสินใจหวนกลับบ้านเกิด ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข
ส่วนที่ผมผิดหวังมากสุดของหนัง คือความตื้นเขินในบทเรียนของตัวละคร มันสามารถพัฒนาบทให้มีความบีบเค้นคั้น รับรู้ซี้งถีงผลกรรมตามทันได้มากกว่านี้ … ส่วนตัวเลยมอง A Throw of Dice แค่เพียงเกมหลอกเด็ก นิทานก่อนนอน สอนข้อคิดง่ายๆให้ผู้ชมที่ยังอ่อนเยาว์วัย ไร้เดียงสาต่อวิถีทางโลกเท่านั้นเอง
Utpal Dutt (1929 – 1993) นักแสดงสัญชาติอินเดีย เกิดที่ Barisal, Bengal Presidency, โตขึ้นเรียนจบวรรณกรรมภาษาอังกฤษ เกียรตินิยม University of Calcutta แต่ความสนใจคือละครเวที เริ่มต้นเป็นนักแสดงในโรงละครอังกฤษ Shakespeareana Theatre Company ต่อมาร่วมก่อตั้ง Indian People’s Theatre Association จนมีโอกาสรู้จักผู้กำกับ Satyajit Ray มาตั้งแต่ตอนนั้น, สำหรับภาพยนตร์มีทั้งภาษาฮินดี เบงกาลี อาทิ Bhuvan Shome (1969), Gol Maal (1979), Rang Birangi (1983), Agantuk (1991), Padma Nadir Majhi (1993) ฯ
“The crux of the matter is that all these experiences have led you to conclude that urban civilization is a big facade.True civilization is the one found amongst forest dwellers”.
หนังได้เสียงตอบรับดีล้นหลามทั้งการออกฉายในอินเดีย และต่างประเทศ ติดอันดับ 2 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสาร Cahiers du Cinéma
ตั้งแต่ปี 1989 ที่ Akira Kurosawa โน้มน้าว Martin Scrorsese รวมหัวกับ Ismail Merchant สร้างแคมเปญเพื่อให้ Academy of Motion Picture Arts and Sciences มอบรางวัล Honorary Award ให้กับ Satyajit Ray จนได้รับการประกาศเมื่อเดือนธันวาคม 1961
ผู้กำกับ Ray มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร India Today
“This comes as a sort of climax to my career. Because for a film-maker, an Oscar is like a Nobel prize”.
– Satyajit Ray
เพราะร่างกายทรุดโทรมไร้เรี่ยวแรง ไม่สามารถออกเดินทางไปไหนได้อีก ช่วงระหว่างพิธีเลยมีการถ่ายทอดสดข้ามทวีป และได้ Andrey Hepburn นักแสดงคนโปรดของ Ray เป็นผู้ประกาศรางวัลให้
และเพียง 24 วันหลังจากได้รับ Honorary Award ผู้กำกับ Satyajit Ray ก็ลาจากโลกนี้ไปวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1992 สิริอายุ 70 ปี
ผมมีความใคร่สนใจภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพิเศษหลังจากเขียนบทความ Nayak (1966) ซึ่งมีใจความเกี่ยวกับการสำรวจตนเอง เผชิญหน้าอดีต และชื่อหนังมีความแตกต่างตรงกันข้าม (Nayak = The Hero, Kapurush = The Coward)
หลังจากรับชมบอกเลยว่าโคตรชอบ มอบสัมผัส ‘Impressionist’ ที่สร้างความประทับใจในอารมณ์ขี้ขลาดเขลา และเนื้อเรื่องราวชวนให้ระลึกนึกถึง Brief Encounter (1945) และ Spring in a Small Town (1948) รักสามเส้าที่เต็มไปด้วยความน่าเศร้า (ของอดีตแฟนเก่า)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ความยาวเพียง 74 นาทีเท่านั้น นั่นเพราะผู้กำกับ Ray ต้องการนำออกฉายควบ Mahapurush (The Holy Man) (1965) ความยาว 65 นาที แต่บทความนี้ผมจะพูดถึงแค่ Kapurush เท่านั้นนะ
Soumitra Chatterjee (เกิดปี 1935) นักแสดงสัญชาติอินเดีย เกิดที่ Calcutta, Bengal Presidency ปู่เคยเป็นนักแสดงละครเวที ตั้งแต่เด็กเลยชื่นชอบด้านการแสดง โตขึ้นเรียนจบสาขาวรรณกรรมเบงกาลีจาก University of Calcutta เริ่มต้นทำงานผู้ประกาศรายกาศวิทยุ All India Radio ระหว่างนั้นไปคัดเลือกนักแสดง Aparajito (1956) เพราะอายุมากเกินวัยเลยถูกปฏิเสธ แต่ภาพลักษณ์เป็นที่ถูกใจผู้กำกับ Ray เลือกมารับบทภาคถัดไป Apur Sansar (1959) จนได้กลายเป็นขาประจำ
ถ่ายภาพโดย Soumendu Roy เลื่อนตำแหน่งจากนักจัดแสง/ผู้ช่วย Subrata Mitra กลายมาเป็นขาประจำคนใหม่ของผู้กำกับ Ray ตั้งแต่ Teen Kanya (1961)
งานภาพมีลักษณะสะท้อนสภาพจิตวิทยา/อารมณ์ของตัวละครออกมา มีความลื่นไหล หลายครั้ง Long Take พบเห็นมุมกล้องแปลกๆ จัดวางตำแหน่งนักแสดง/สิ่งข้าวของ ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
ฉากแรกของหนัง ต้องชมเลยว่าเป็น Long Take ที่งดงามยิ่งนัก น่าจะถ่ายบนเครนเพราะกล้องเคลื่อนเลื่อนเข้าไปจากตำแหน่งนี้ถึงตรงหน้าต่าง เมื่อตัวละครเดินเข้าไปในร้าน และถอยกลับออกมาเมื่อได้รับความอนุเคราะห์จากชายแปลกหน้า
พูดถึงฉากปิคนิค มักทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ Partie de campagne (1936) ของผู้กำกับ Jean Renoir ที่เป็นเป็นแรงบันดาลใจให้หนังเรื่องนี้ รวมไปถึง Aranyer Din Ratri (1970) ด้วยนะ
ช่วงเวลาเพียงเสี้ยวบุหรี่หมด Amitabha Roy ต้องตัดสินใจที่จะเลือกทำบางสิ่งอย่าง ปล่อยทุกอย่างไป หรือ…อะไร?
ในบรรดานักแสดงที่ได้รับการค้นพบโดยผู้กำกับ Ray ผมครุ่นคิดว่า Dhritiman Chatterjee คือเพชรแท้เม็ดงาม มีความสามารถรอบด้าน จัดจ้าน ครบเครื่อง น่าจะโดดเด่นกว่าใครอื่นที่สุดแล้ว
“I do not know what definition of a star these filmmakers have been using, but mine goes something like this. A star is a person on the screen who continues to be expressive and interesting even after he or she has stopped doing anything. This definition does not exclude the rare and lucky breed that gets lakhs of rupees per film; and it includes everyone who keeps his calm before the camera, projects a personality and evokes empathy. This is a rare breed too but one has met it in our films.Dhritiman Chatterjee of Pratidwandi is such a star”.
– Satyajit Ray
ถ่ายภาพโดย Soumendu Roy เลื่อนตำแหน่งจากนักจัดแสง/ผู้ช่วย Subrata Mitra กลายมาเป็นขาประจำคนใหม่ของผู้กำกับ Ray, และเรื่องนี้ยังให้เครดิตผู้ช่วยอีกคน Purnendu Bose ซึ่งก็ร่วมงานกันมาตั้งแต่ The Apu Trilogy
ที่ให้เครดิตถึงสองคน น่าจะเพราะหลายๆฉากของหนังถ่ายทำแบบ Guerilla Unit บันทึกภาพวิถีชีวิตชาวเมือง Calcatta และตัวละครเดินย่ำอยู่บนท้องถนน ท่ามกลางฝูงชนเดินสวนไปมาขวักไขว่
“the most provocative film I have made yet. I could feel the impact on the audience. All of which surprises and pleases me a great deal, because the film is deadly serious, and much of the style is elliptical and modern. People either loved the film or hated it”.
Days and Nights in the Forest เรื่องราวของสี่หนุ่มเดินทางไปพักผ่อนวันหยุดริมชายป่า ปลดปล่อยชีวิตให้ได้รับอิสรภาพเสรี พยายามอย่างยิ่งจะแหกแหวกกฎ ประเพณี ทุกสิ่งอย่าง กระทั่งพานพบเจอหญิงสาวสวยสองคนอาศัยอยู่บ้านข้างๆ ความมีอารยะถึงค่อยๆหวนคืนสติกลับมาทีละนิด
นั่นคือความลุ่มลึกล้ำในระดับปราชญ์ รับชม Days and Nights in the Forest เพียงผ่านๆย่อมไม่สามารถพบเห็นความงดงามที่หลบซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ ซึ่งความตั้งใจของผู้กำกับ Ray ต้องการสะท้อนเสียดสีสภาพสังคมอินเดียยุคสมัยนั้น (ที่เต็มไปด้วยความแตกแยก คอรัปชั่น และกำลังห้ำหั่นแบ่งแยกประเทศเพราะความแตกต่างทางศาสนา) ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่ โหยหาอิสรภาพ ไม่ต้องการถูกจำกัดอยู่ในกฎกรอบ ขณะเดียวกันถือได้ว่าเป็นการค้นหาอัตลักษณ์ตัวตนเอง (ของผู้กำกับ และความเป็นอินเดีย) เผชิญหน้าด้านมืด โอบรับสิ่งชั่วร้ายภายใน เมื่อสามารถเรียนรู้เข้าใจ ก็จักทำให้ชีวิตสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้
“Bengalis are so accustomed to the plains that even a mere hillock delights them. Men and women drink together in Palamau, but I’ve never seen a local woman drunk, although the men are often completely intoxicated. The woman are dark-skinned, and all young. They are scantily dressed and naked from the waist up”.
Simi Garewal (เกิดปี 1947) นักแสดง, พิธีกร, Talk Show เกิดที่ Ludhiana, East Punjab แล้วไปเติบโตยังประเทศอังกฤษ หวนกลับมาอินเดียกลายเป็นนักแสดง Son of India (1962), Tarzan Goes to India (1962), ปกติแสดงหนัง Bollywood มักได้รับบทสมทบ อาทิ Mera Naam Joker (1970), Andaz (1971), Kabhi Kabhie (1976), สำหรับ Aranyer Din Ratri (1970) รับบท Duli หญิงสาวชนเผ่า Santhal ผิวสีเข้ม ผู้มีความขี้เล่น ซุกซน มักมาก ร่านสวาท เห็นเงินคือพระเจ้า พร้อมยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้มา นำไปใช้ดื่มด่ำแต่ไม่เห็นเมามาย ถือว่าเข้าขากับ Hari ใช้เงินเพื่อสนองตัณหา อย่างอื่นนอกเหนือสันชาตญาณไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ
ปกติแล้วตากล้องขาประจำของผู้กำกับ Ray จะคือ Subrata Mitra แต่หลังจาก Teen Kanya (1961) เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา บางทีก็ติดโปรเจคอื่นไม่ว่างมาช่วยงาน เลยผลักดัน Soumendu Roy (เกิดปี 1933) จากเคยเป็นผู้ช่วย จัดแสง ตั้งแต่ Pather Panchali (1955) ขึ้นมารับเครดิตถ่ายภาพ
Opening Credit ทีแรกจะเป็นตัวอักษรสีดำ ปรากฎท่ามกลางทิวทัศน์สองข้างทางเคลื่อนผ่านไป แต่นับตั้งแต่ชื่อหนังช็อตนี้ปรากฎขึ้น กลับมีลักษณะตารปัตรตรงกันข้าม พื้นหลังกลับกลายเป็นสีดำ เฉพาะส่วนของตัวอักษรถึงพบเห็นภาพข้างทางเคลื่อนผ่านไป, นัยยะคงสื่อถึงกลางวัน-กลางคืน (ตามชื่อหนัง Days and Nights in the Forest ) ซึ่งทุกสิ่งอย่างจะกลับตารปัตรตรงกันข้ามระหว่างเริ่มต้น-สิ้นสุด ด้วยเช่นกัน
ฉากย้อนอดีต (Flashback) ครั้งเดียวของหนัง Hari ครุ่นนึกถึงแฟนสาวที่เพิ่งเลิกรา เอาจริงๆผมว่าไม่จำเป็นต้องใส่มาเลยนะ เพราะผู้ชมสามารถคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา และพอไม่มีตัวละครอื่นที่มีฉากย้อนอดีต นั่นทำให้หนังขาดความสมดุลแบบแปลกๆ
ซึ่งเหตุผลที่ผมครุ่นคิดว่า ผู้กำกับ Ray ใส่ฉากย้อนอดีตนี้เข้ามา ก็เพื่อแนะนำตัวละครที่มัวแต่นอนหลับฝัน ให้ผู้ชมได้เกิดความเข้าใจโดยทันทีว่าเป็นบุคคลเช่นไร (ตัวละครอื่นไม่ได้นอนหลับระหว่างเดินทาง เลยไม่จำเป็นต้องฉากย้อนอดีตหวนระลึกความทรงจำ)
ผู้กำกับ Ray ถือว่าฉากเล่นเกมความทรงจำนี้ คือ Sequence ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตตนเอง ซึ่งชื่อบุคคลตัวละครเอ่ยมา ล้วนสะท้อนถึงรสนิยม ความชื่นชอบ สนใจของพวกเขาทั้งหมด
– Jaya เอ่ยถึง Rabindranath Tagore (1861 – 1941) นักปราชญ์ นักเขียน นักกวี สัญชาติเบงกาลี ยังเป็นปู่ของ Sharmila Tagore (และไอดอลผู้กำกับ Ray)
– Sanjoy เอ่ยถึง Karl Marx และเหมาเจ๋อตุง ต่างเป็นผู้นำระบอบสังคมนิยม เน้นความเสมอภาคเท่าเทียมในสังคม ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น
– Aparna เอ่ยถึง Cleopatra (คงจะเปรียบเทียบความงาม และเล่ห์เหลี่ยมเข้ากับตนเอง), Don Brandman (นักกีฬาคริกเก็ตชาวออสเตรเลีย ได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่ตลอดกาล), Robert F. Kennedy น้องชายของปธน. John F. Kennedy ถูกลอบสังหารเหมือนพี่ 5 ปีถัดมา, และจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส
– Shekhar เอ่ยถึง Atulya Ghosh (1904 – 1968) นักการเมืองชาวเบงกาลี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่ชาญฉลาด ซื่อสัตย์ ผู้จัดงานทางการเมืองยอดเยี่ยมที่สุด
– Hari เอ่ยถึง Helen of Troy เลื่องลือชาเรื่องงาม หญิงสาวผู้เป็นชนวนศึกในสงครามเมืองทรอย
– Ashim เอ่ยถึง Shakespere (วินาทีนั้นทำให้ Aparna เงยหน้าขึ้นมอง เพราะเขาเคยเอ่ยถึง Rome & Juliet), Rani Rashmoni (1793 – 1861) ผู้ก่อตั้งวิหาร Dakshineswar Kali Temple, Teckchand Thakur (1818 – 1883) นักเขียนสัญชาติชาวเบงกาลี, Mumtaz Mahal จักรพรรดินีแห่งอินเดีย ราชวงศ์โมกุล หลังจากสวรรคต พระสวามี Shah Jahan สร้าง Taj Maha ให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งรัก
พูดถึงฉากปิคนิค มักทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ Partie de campagne (1936) ของผู้กำกับ Jean Renoir ที่เป็นเป็นแรงบันดาลใจให้หนังเรื่องนี้ รวมไปถึง Kapurush (1965) ด้วยนะ
นี่เองทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า
– Days and Nights ก็คือจิตใจมนุษย์ที่ผันแปรเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา
– Forest ดินแดนเปรียบเสมือนจิตสำนึก สันชาติญาณ สะท้อนความเป็นมนุษย์ที่หลบซ่อนเร้นอยู่ภายในทุกคน
Days and Nights in the Forest จึงคือเรื่องราวการผจญภัย เพื่อเผชิญหน้ากับด้านมืด-ด้านสว่าง จิตสำนึก-สันชาตญาณ ของตัวตนเอง เพื่อเรียนรู้จัก ทำความเข้าใจ ถ้าค้นพบสิ่งผิดพลาด น่าอับอายขายขี้หน้า ก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ตนเองสามารถแสดงออกในสิ่งถูกต้องเหมาะสมควร ในกาลต่อไปได้
สำหรับผู้กำกับ Ray ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนการ ‘ค้นหาอัตลักษณ์’ ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวละคร ตัวเขาเอง ยังรวมไปถึงชนชาวอินเดีย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นพานผ่านช่วงเวลาแห่งการแบ่งแยก ได้รับอิทธิพลมากมายจากชาติตะวันตก แล้วเราจะหลงเหลืออะไรธำรงไว้ซึ่งความเป็นภารตะ
“People in India kept saying: What is it about, where is the story, the theme?. . . . And the film is about so many things, that’s the trouble. People want just one theme, which they can hold in their hands”.
– Satyajit Ray
แต่พอส่งออกฉายต่างประเทศยังเทศกาลหนังเมือง Berlin แม้ไม่ได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือกลับมา กลับเป็นที่ถูกอกถูกใจนักวิจารณ์ ถึงขนาดติด Top 10 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสาร Cahiers du Cinéma
ผู้กำกับ Ray ครุ่นคิดพัฒนาบท Nayak ขึ้นที่เมืองตากอากาศ Darjeeling, West Bengal เมื่อเดือนพฤษภาคม 1965 ซึ่งถือเป็นบทดั้งเดิม (Original Screenplay) เรื่องที่สองถัดจาก Kanchenjungha (1962)
“I wanted a relationship to develop between the Matinee Idol and a girl on the train. Romance was out – the time being so short – but I wanted something with an interesting development”.
Uttam Kumar ชื่อจริง Arun Kumar Chatterjee (1926 – 1980) นักแสดง/ผู้กำกับ สัญชาติอินเดีย เจ้าของฉายา ‘Mahanayak’ (แปลว่า Superstar) เกิดที่ Aahiritola, Calcutta, โตขึ้นเข้าเรียน Goenka College of Commerce and Business Administration แต่ไม่ทันจบทำงานเป็นเสมียนอยู่ที่ Kolkata Port ระหว่างนั้นฝึกหัดการแสดง เข้าร่วมกลุ่ม Suhrid Samaj กระทั่งมีโอกาสแสดงภาพยนตร์ Drishtidan (1948) แรกๆก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ ถึงขนาดได้รับฉายา ‘flop master’ จนกระทั่งได้ประกบคู่ขวัญ Suchitra Sen เริ่มตั้งแต่ Basu Paribar (1952), Sharey Chuattor (1953) กระทั่งเรื่อง Agni Pariksha (1954) ยืนโรงฉายนานถึง 65 สัปดาห์
ผลงานส่วนใหญ่ของ Kumar มักเป็นภาษาเบงกาลี เคยแสดงหนัง Bollywood อยู่หลายเรื่องแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ ผลงานเลื่องโด่งดังสุด คือสองครั้งร่วมงานผู้กำกับ Satyajit Ray เรื่อง Nayak (1966) และ Chiriyakhana (1967) ** เป็นบุคคลแรกคว้างรางวัล National Film Award for Best Actor
ผู้กำกับ Ray เขียนบทบาทตัวละครนี้โดยมีภาพของ Uttam Kumar ไว้ในใจตั้งแต่แรก จนเมื่อถึงจุดๆหนึ่งครุ่นคิดว่าถ้าไม่ได้เขามานำแสดง ก็อาจจะขึ้นหิ้งหนังไว้
“If you are showing a matinee idol, then you have to cast a star. Nobody else would do; people wouldn’t accept the fact. So I thought that I was doing the only possible thing”.
“There is one scene in the film which is quite inspiring the way tells a story. It is the scene where Uttam Kumar walks into a compartment. Before he walks into a compartment there is a father who is trying to open an orange squash bottle and he cannot open it. Uttam Kumar walks in and opens it. The character becomes not only a hero in the kid’s eyes but also in ‘our’ eyes. I learnt that if you want to make somebody a hero to the audience this is perhaps one of the ways you can”.
“Look Miss Sengupta, it’s no good to talk too much. You see, we live in a world of shadows—so it’s best not to let the public see too much of our flesh and blood”.
Intolerance (1916) ของผู้กำกับ D. W. Griffith ถือกันว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ริเริ่มใช้เทคนิค ‘Hyperlink Film’ ตัดสลับสับเปลี่ยนเรื่องราวไปมาระหว่างสี่ยุคสมัย, ผลงานเลื่องชื่อลำดับถัดมาคือ The Rules of the Game (1939) ของผู้กำกับ Jean Renoir ร้อยเรียงความวุ่นๆอลเวงโดยไร้จุดศูนย์กลางตัวละคร
ผู้กำกับ Satyajit Ray เพราะเคยมีโอกาสรู้จักพบเจอตัวจริงของ Jean Renoir เมื่อตอนเดินทางมาอินเดียถ่ายทำ The River (1951) ทั้งยังให้การส่งเสริมสนับสนุนผลักดัน เกิดกำลังใจสรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องแรก Pather Panchali (1955) เลยไม่แปลกที่จะได้รับอิทธิพล แรงบันดาลใจ แนวคิดการดำเนินเรื่องโดยไร้จุดศูนย์กลางตัวละคร (สมัยนั้นยังไม่มีคำเรียก Hyperlink Film) ซึ่ง Kanchenjunga (1962) ถือได้ว่าเป็นการทดลองวิธีนำเสนอรูปแบบใหม่ๆ น่าจะเป็นครั้งแรกของประเทศอินเดียด้วยละ ผลลัพท์แม้ออกมายอดเยี่ยมใช้ได้ แต่ก็ล้ำหน้าเกิดกว่าผู้ชมยุคสมัยนั้นจักสามารถเข้าใจ
นั่นกลายเป็นความโชคร้ายเล็กๆของหนัง ทำให้ต้นฉบับ Negative ถูกทอดทิ้งขว้าง จนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครไหนเหลียวแหลหลัง สนใจบูรณะซ่อมแซมฟีล์มภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งๆเป็นผลงานภาพสีเรื่องแรกของผู้กำกับ Ray และทิวทัศน์เมือง Darjeeling ช่างงดงามตราตรึงยิ่ง ปัจจุบันมีเพียง DVD คุณภาพพอกล่อมแกล้มเหล้าไปได้เท่านั้น
“The idea was to have the film starting with sunlight. Then clouds coming, then mist rising, and then mist disappearing, the cloud disappearing, and then the sun shining on the snow-peaks. There is an independent progression to Nature itself, and the story reflects this”.
“Maybe this place did it. . . . here I’ve never seen such scenery. The majestic Himalayas, these silent pine trees. This sudden sunlight, sudden clouds, sudden mist! It’s so unreal, like a dream world. My head was in a whirl. Everything changed inside. As if I was somebody. . . A hero, a giant. I was full of courage. I was reckless, undaunted. Tell me, a place like this fills one with strength, doesn’t it?”
ผู้กำกับ Ray ให้สัมภาษณ์ย้อนหลังถึงภาพยนตร์เรื่องนี้กับนิตยสาร Cineaste Magazine
“(It was) a very personal film. It was a good ten to fifteen years ahead of its time… Kanchenjungha told the story of several groups of characters and it went back and forth. … It’s a very musical form, but it wasn’t liked. The reaction was stupid. Even the reviews were not interesting. But, looking back now, I find that it is a very interesting film”.
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ดัดแปลงจากบทละครเวทีของ Niranjan Pal เปิดการแสดงยังกรุง London ช่วงประมาณต้นทศวรรษ 20s ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดในส่วน Shiraz เป็นการปรุงปั้นแต่ง สร้างสมมติฐานขึ้นมา! เพราะไม่มีรายละเอียดทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ ว่าใครคือผู้ออกแบบทัชมาฮาล
สมมติฐานผู้ออกแบบทัชมาฮาล มีด้วยกันสองนาม
– Ustad Ahmad Lahori สถาปนิกชาวอิหร่าน เคยเป็นผู้ออกแบบวางรากฐาน Red Fort ที่กรุง Delhi ถือว่าคือช่างยอดฝีมือแห่งยุคสมัยนั้น
– Mir Abd-ul Karim สถาปนิกคนโปรดของสมเด็จพระจักรพรรดิ Jahangir (องค์ก่อนหน้า Shah Jahan) และยังได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้ควบคุมดูแล (Supervisor) ช่วงระหว่างการก่อสร้างทัชมาฮาล
ขณะที่ตำนานเล่าว่า สมเด็จพระจักรพรรดิ Shah Jahan เมื่อทรงตัดสินพระทัยในพิมพ์เขียว สั่งให้ควักลูกนัยน์ตาสถาปนิกผู้ออกแบบ เพื่อมิให้สรรค์สร้างอะไรอื่นยิ่งใหญ่กว่า ทัชมาฮาล … เรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้เช่นกันนะครับ
Franz Osten ชื่อเกิด Franz Ostermayr (1876 – 1956) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติ German เกิดที่ Munich โตขึ้นเป็นนักถ่ายภาพผู้หลงใหลการแสดง เมื่อปี 1907 ร่วมกับน้องชาย Peter Ostermayr ก่อตั้ง Original Physograph Company ก่อนเปลี่ยนมาเป็น Bavaria Film Studios สร้างภาพยนตร์เรื่องแรก Erna Valeska (1911)
สำหรับ Shiraz: a Romance of India ดัดแปลงจากบทละครเวทีชื่อเดียวกันของ Niranjan Pal พัฒนาบทภาพยนตร์โดย William A. Burton (คงเพราะต้องการมุมมองนักเขียนตะวันตก เพื่อให้เรื่องราวมีความสากลขึ้น) ได้รับทุนสร้างร่วมจาก British Instructional Films (ของอังกฤษ), Universum Film/UFA (ของเยอรมัน) และ Himansu Rai Film (ของอินเดีย)