Mandabi (1968) : Ousmane Sembène ♥♥♥♥
Mandabi ภาษา Wolof แปลว่าธนาณัติ (Money Order) ส่งมาจากหลานชายทำงานอยู่ฝรั่งเศส แต่การจะขอขึ้นเงินกลับเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นๆวายๆ ต้องทำบัตรประชาชน ต้องถ่ายรูป ต้องมีสูติบัตร (ใบเกิด) แถมชาวบ้านละแวกนั้นเมื่อได้ยินเรื่องเงินก็หูผึ่ง มาขอหยิบยืม ทวงหนี้ อ้างโน่นนี่นั่น เต็มไปด้วยความฉ้อฉล จนตกอยู่ในความสิ้นหวัง
ถ้าไม่นับ Egypt และ Tunisia วงการภาพยนตร์ของทวีปแอฟริกัน เพิ่งเริ่มต้นภายหลังได้รับการปลดแอก ประกาศอิสรภาพ หลุดพ้นจากสถานะอาณานิคมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959-60 แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อให้บุคคลผู้มีความสนใจในศาสตร์ภาพยนตร์ ได้ศึกษา ร่ำเรียนรู้ สะสมประสบการณ์ ลองผิดลองถูก ทดลองทำโน่นนี่นั่น
Mandabi (1968) ภาพยนตร์ขนาดยาว (Feature Length) ลำดับที่สองของ Ousmane Sembène แต่ถือเป็นเรื่องแรกของ West African ที่ตลอดทั้งเรื่องสนทนาด้วยภาษา Wolof (ภาษาท้องถิ่น Senegal, Mauritania และ Gambia) นั่นเพราะก่อนหน้านี้ภาพยนตร์ในแอฟริกา ยังต้องพึ่งพาเงินทุน เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ถ่ายทำจากอดีตเจ้าของอาณานิคม ในกรณีของ Senegal คือประเทศฝรั่งเศส มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ยังต้องใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร
แต่จุดประสงค์การสรรค์สร้างภาพยนตร์ของผกก. Sembène แน่นอนว่าไม่ใช่พวกฝรั่งเศส เป้าหมายคือชาว Senegalese ยินยอมประณีประณอมกับ Black Girl (1966) เพื่อว่าชื่อเสียง ความสำเร็จ จะทำให้สามารถติดต่อหานายทุนสำหรับโปรเจคถัดไป จนนำมาสู่ Mandabi (1968) น่าจะถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์แอฟริกันแท้จริงเรื่องแรก!
ในตอนแรกผมไม่ได้มีความสนใจอยากเขียนถึงหนังเรื่องนี้เลยนะครับ จนกระทั่งพบเห็นหอภาพยนตร์เคยนำมาฉาย ผ่านการบูรณะเรียบร้อยแล้ว หน้าปกของ Criterion สวยงามมากๆ ก็เลยต้องลองหามารับชม รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับงานภาพสีสันสวยสดใส บทเพลง Sunu Mandat Bi ติดหูติดใจ แม้เรื่องราวตกยุคสมัย แต่ยังแฝงสาระข้อคิด บทเรียนให้กับชีวิต สะท้อนปัญหาสังคมที่จนถึงปัจจุบันเรื่องพรรค์นี้(ทั้งการฉ้อฉล และความคอรัปชั่นของคน)ก็ยังไม่หมดสิ้นเสียที
Ousmane Sembène (1923-2007) นักเขียน ผู้กำกับภาพยนตร์ เกิดที่ Ziguinchor, Casamance ขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครอง French West Africa (ปัจจุบันคือประเทศ Senegal) ในครอบครัวชาวประมง นับถือ Serer Religion, วัยเด็กถูกส่งเข้าโรงเรียนฝรั่งเศส แต่ถูกครูใหญ่ไล่ออกเพราะไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เคยติดตามบิดาออกทะเลกลับพบว่าเมาเรือ เลยเปลี่ยนมารับจ้างแรงงานทั่วไป, ช่วงสงครามโลกครั้งสองจับใบแดงเข้าร่วม Senegalese Tirailleurs (ส่วนหนึ่งของกองทัพฝรั่งเศส ขณะนั้นอยู่ภายใต้ Vichy France) พบเห็นฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีพลเรือนเซเนกัล ทำให้เกิดความสับสนต่อวิถีเคยเชื่อมั่น หันมาสนใจประเด็นการเมือง เปลี่ยนมาเข้าร่วม French Liberation Army ปลดแอกฝรั่งเศสจาก Nazi Germany
เมื่อปี ค.ศ. 1947 ตัดสินใจแอบขึ้นเรือมุ่งสู่ฝรั่งเศส ทำงานโรงงานผลิตรถ Citroën ต่อด้วยคนงานท่าเรือ Marseille, ระหว่างนั้นเข้าร่วมกลุ่ม CGT (General Confederation of Labour) ของพรรคคอมมิวนิสต์ รับรู้จักนักเขียนอย่าง Claude McKay, Jacques Roumain เกิดแรงผลักดันให้มีผลงานนวนิยายเรื่องแรก Le Docker Noir (1956) แปลว่า The Black Docker นำจากประสบการณ์เมื่อครั้นทำงานท่าเรือ Marseille แรงงานผู้อพยพมักได้รับการกดขี่ ดูถูกเหยียดหยาม นั่นคือสิ่งที่ Sembène ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต
หลังเขียนนวนิยายได้สามสี่เรื่อง Sembène หันเหความสนใจมายังสื่อภาพยนตร์ เพราะเชื่อว่าจะสามารถเข้าถึงผู้คนวงกว้างมากขึ้น เดินทางสู่ Moscow เข้าศึกษายัง Gorky Film Studio ระหว่างปี ค.ศ. 1962-63 เป็นลูกศิษย์ของ Mark Donskoy จากนั้นเดินทางกลับเซเนกัล สรรค์สร้างหนังสั้นเรื่องแรก Barom Sarret (1963) และภาพยนตร์ขนาดยาว (Feature Length) สัญชาติแอฟริกันแท้ๆเรื่องแรก Black Girl (1966)
สำหรับภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับที่สอง Mandabi (1968) ดัดแปลงจากนวนิยายของตนเอง Le mandat แปลว่า The Money-Order รวบรวมอยู่ในหนังสือ Vehi-Ciosane ou Blanche-Genèse: Suivi du Mandat (1965) แปลตรงตัว Vehi-Ciosane or Blanche-Genèse: Monitoring of the Mandate ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ The Money-Order with White Genesis … หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยสองเรื่องราวที่ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน The Money-Order และ White Genesis
เกร็ด: Sembène มองว่านวนิยายเป็นสื่อของชนชั้นสูง ต้องมีความรู้ ความสามารถในการอ่าน (รวมถึงมีเงินซื้อด้วยนะ) ยุคสมัยนั้นจึงเป็นสิ่งหรูหรา ฟุ่มเฟือย เกินอาจเอื้อมของชาวแอฟริกันจนๆ จึงเลือกเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส แล้วฉบับภาพยนตร์เปลี่ยนมาใช้ภาษา Wolof เพื่อให้เข้าถึงชาว Senegalese ในวงกว้างได้ง่ายกว่า
Ibrahima Dieng นับถือศาสนาอิสลาม อาศัยอยู่กับภรรยาสองคน และบุตรอีกเจ็ดคน ในย่านสลัม Dakar, Senegal ขณะนั้นกำลังตกงาน ติดหนี้ติดสิน แทบไม่มีอันจะกิน จนกระทั่งได้รับจดหมายจากหลานชาย Abdou ไปทำงานอยู่กรุง Paris ฝากส่งธนาณัติจำนวน 25,000 ฟรังก์
เรื่องราววุ่นๆเกิดขึ้นเมื่อ Ibrahima ต้องเผชิญหน้าสารพัดปัญหาในการขึ้นเงิน เพราะต้องใช้บัตรประชาชน แต่การจะทำบัตรประชาชนต้องมีรูปถ่าย สูติบัตร (ใบเกิด) รวมถึงค่าใช้จ่ายอีกปริมาณหนึ่ง แถมบรรดาชาวบ้านละแวกนั้น เมื่อได้ยินเรื่องเงินก็ทำหูผึ่ง มาขอหยิบยืม ทวงหนี้ อ้างโน่นนี่นั่น แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นทนาย Mbaye ก็ไม่ละเว้น เต็มไปด้วยความฉ้อฉล กลโกง ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้เงินทอง แลกกับการกินหรูอยู่สบาย
ด้วยความที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ใน Senegal ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างนัก จึงเลือกใช้นักแสดงหน้าใหม่ สมัครเล่น ไม่มีใครเคยมีประสบการณ์ภาพยนตร์ Makhourédia Guèye (1924-2008) ผู้รับบท Ibrahima Dieng อาชีพเดิมคือนักดนตรี เป่าแซกโซโฟน แต่บุคลิกภาพถือว่าตรงตามตัวละคร ท่าทางเย่อหยิ่ง อวดดี เก่งกับภรรยา เวลาออกจากบ้านต้องสวมใส่ชุดหรูหรา แท้จริงแล้วก็แค่กบในกะลา ไม่รับรู้ ไม่ทันคน ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ เลยถูกล่อหลอกลวง จนสูญเสียทุกสิ่งอย่าง พระเป็นเจ้าก็ไม่ช่วยอะไร
แสบสุดคงหนีไม่พ้น Farba Sarr รับบทลูกพี่ลูกน้องที่เป็นทนาย Mbaye ชอบขับรถมาเยี่ยมเยียน Ibrahima แต่แท้จริงแล้ววางแผนจะฮุบบ้านและที่ดินแห่งนี้ ขายต่อให้นายหน้า นำเงินมาปรนเปรอความสุขสำราญ กินหรูอยู่สบาย เปลี่ยนหญิงสาวไม่ซ้ำหน้า พอสบโอกาสก็ตบหัวลูบหลัง ได้อย่างเจ็บแสบกระสันต์ … แทนที่จะเอาความรู้ความสามารถไปใช้ในทางให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ กลับเต็มไปด้วยความฉ้อฉล สนเพียงกระทำสิ่งตอบสนองความพึงพอใจส่วนตน
และในบรรดานักแสดงทั้งหมด Mouss Diouf (1964-2012) ผู้รับบทหลานชาย Abdou ที่ไปทำงานอยู่กรุง Paris แม้เพียงบทบาทสมทบเล็กๆ ปรากฎตัวแค่ไม่กี่นาที กลับได้รับโอกาสมากมายในวงการภาพยนตร์ฝรั่งเศส เครดิตตัวประกอบใน IMDB มากถึง 51 เรื่อง! … ชีวิตจริงทำได้เหมือนข้อความในจดหมายที่ตัวละครเขียนถึง
เกร็ด: ผกก. Ousmane Sembène มารับเชิญเป็นคนอ่านจดหมายที่ไปรษณีย์ แฝงนัยยะถึงการดัดแปลงนวนิยาย(ของตนเอง)ให้กลายเป็นสื่อภาพยนตร์ … ภาพบนโต๊ะคือ Che Guevara (1928-67) นักปฏิวัติชาว Argentine แต่โด่งดังจาก Cuban Revolution (1953-59) ตอนนั้นน่าจะเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน
ถ่ายภาพโดย Paul Soulignac สัญชาติฝรั่งเศส มีผลงานเด่นๆ อาทิ La Pointe Courte (1955), La verte moisson (1959), Mandabi (1968) ฯ
งานภาพของหนังไม่ได้มีลูกเล่นภาพยนตร์ที่หวือหวา เพียงตั้งกล้องถ่ายภาพระดับสายตา แต่โดดเด่นกับการละเล่นเฉดสีสัน (ด้วยเทคโนโลยีสี Eastmancolor) ตัวละครสวมใส่ผ้าที่มีความฉูดฉาด ลวดลายพื้นบ้าน Senegalese ซึ่งสามารถใช้สำแดงวิทยฐานะ อวดอ้างบารมี แบ่งแยกชนชั้น รวมถึงความแตกต่างระหว่างคนรุ่นเก่า vs. โลกยุคสมัยใหม่ (Ibrahima และภรรยาต่างสวมใส่ชุดพื้นบ้าน Senegalese ตรงกันข้ามกับลูกพี่ลูกน้อง Mbaye สวมใส่สูทผูกไทด์)
หนังเกือบทั้งเรื่องถ่ายทำยัง Dakar, Senegal ในช่วงหน้าร้อน อากาศอบอุ่น แสงแดดส่องสว่าง แต่จะมีซีเควนซ์หนึ่งระหว่างอ่านจดหมายของหลานชาย มีการฉายให้เห็นภาพกรุง Paris, France ซึ่งมีความหรูหรา ท้องถนนเต็มไปด้วยรถรา คาคลั่งไปด้วยผู้คน สิ่งก่อสร้างทันสมัยใหม่ ซึ่งการถ่ายภาพยังมีความแตกต่างออกไป ใช้กล้อง Hand-Held ทำให้ดูสั่นๆ เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว ทั้งยังมีการปรับโฟกัสพื้นหลัง เบลอ-ชัด ระยะภาพใกล้-ไกล โทนสีเย็นๆ (เหมือนจะถ่ายทำช่วงฤดูหนาว) ดูจืดชืด ไร้ชีวิตชีวา
เสื้อคลุมแขนกว้างที่ชาว West Africa (Senegal, Mauritania, Niger, Mali, Djibouti) นิยมสวมใส่มีชื่อเรียกว่า Boubou หรือ Grand Boubou สำหรับผู้ชายมักมีสีพื้น ไม่เน้นลวดลาย แต่ผู้หญิงจะเต็มไปด้วยลูกไม้ ลวดลาย และสีสันฉูดฉาดสะดุดตา, ส่วนหมวก/ผ้าคลุมศีรษะมีคำเรียกว่า Moussor
โดยปกติแล้วการสวมชุด Boubou มักในงานพิธีสำคัญๆทางศาสนา อาทิ งานแต่งงาน, งานศพ, วันอิด (วันอีดิ้ลฟิตริ และ วันอีดิ้ลอัฎฮา) รวมถึงเข้ามัสยิด ละมาดทุกวันศุกร์ ฯ
ภรรยาของ Ibrahima เมื่อได้รับจดหมายธนาณัติจากบุรุษไปรณีย์ ป่าวประกาศไปทั่วถึงเงินหลายหมื่นฟรังก์ ซื้อข้าวปลามาเลี้ยงฉลองจนอิ่มจุก ตรงกับสำนวนไทย ชิงสุกก่อนห่าม (ไม่ได้หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งเท่านั้นนะครับ แต่ยังทำสิ่งที่ยังไม่สมควรแก่วัยหรือยังไม่ถึงเวลา) โดยไม่รู้ตัวนี่คือความอิ่มครั้งสุดท้าย ก่อนค่อยๆสูญเสียสิ้นทุกสิ่งอย่างไป
ซึ่งการรับประทานจนอิ่มหนำ แล้วหลับนอนจนเกินเลยเวลาละหมาด สามารถสะท้อนแนวคิดบริโภคนิยม (Consumerism) สังคมยุคสมัยใหม่ที่ผู้คนเอาแต่กอบโกย แสวงหาความสุขใส่ตน คนรวยมีเงินล้นฟ้า กระยาจกทำได้เพียงหาเช้ากินค่ำ ต่อสู้ดิ้นรนไปวันๆ
หลังจากพานผ่านประสบการณ์อันเลวร้าย Ibrahima ก็ได้ข้อสรุปว่าโลกยุคสมัยใหม่เต็มไปด้วยความฉ้อฉล กลโกง ใครๆต่างมีพฤติกรรมคอรัปชั่น ไม่มีทางที่คนดีจะมีที่ยืนในสังคม (หยิบรองเท้าขึ้นมาชี้หน้า) มุมกล้องนี้ทำราวกับว่าเขากำลังสนทนากับพระเจ้า (จริงๆคือบุรุษไปรษณีย์) ซึ่งพยายามให้คำแนะนำ ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราทุกคน จะเลือกวิถีปฏิบัติ ใช้ชีวิตอย่างเพียงพอดี หรือศิโรราบต่อความชั่วร้าย
ตัดต่อโดย Gilou Kikoïne, Max Saldinger
หนังดำเนินเรื่องราวผ่านมุมมองตัวละคร Ibrahima Dieng เริ่มจากโกนผม โกนหนวดเครา สัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ จากนั้นได้รับธนาณัติจากหลานชาย เพ้อใฝ่ฝันว่าเงินก้อนนี้จักทำให้ชีวิตกินหรูอยู่สบาย แต่ที่ไหนได้กลับนำพาหายนะ ติดหนี้ติดสิน แถมถูกฉ้อฉล ตกเป็นเหยื่อสารพัดกลโกง จนหมดสิ้นเนื้อประดาตัว
- Opening Credit
- เรื่องวุ่นๆของการขึ้นเงินธนาณัติ
- ภรรยาของ Ibrahima ได้รับจดหมายธนาณัติ ป่าวประกาศไปทั่ว ซื้อข้าวปลามาเลี้ยงฉลองจนอิ่มจุก
- Ibrahima เดินทางไปขึ้นเงินยังไปรษณีย์
- (ย้อนอดีต) อ่านจดหมายของหลานชาย Abdou ทำงานอยู่ฝรั่งเศส
- ขึ้นเงินไม่ได้เพราะไม่มีบัตรประชาชน เลยต้องเดินทางไปยังสถานีตำรวจ แต่ก็ถูกเรียกร้องสูติบัตร
- วันถัดมาเดินทางไปยังศาลากลาง แต่ก็ยังไม่สามารถออกสูติบัตร เพราะไม่รับรู้วัน-เดือน-ปีเกิด
- วันถัดมาเดินทางไปหาลูกพี่ลูกน้อง Mbaye รับรู้จักเส้นสายในศาลากลาง ให้มาติดต่อรับวันถัดไป
- เดินทางไปธนาคารเพื่อขอขึ้นเช็ค (หยิบยืมมาจาก Mbaye) แต่เพราะไม่มีบัตรประชาชนเลยทำไม่ได้ บังเอิญมีเจ้าหน้าที่อาสาขึ้นเงินให้ แลกกับค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อย
- จากนั้นแวะหาร้านรับจ้างถ่ายรูป
- เรื่องราวขาลงของ Ibrahima
- มารดาของ Abdou เดินทางมาทวงเงินที่บุตรชายส่งมาให้
- Ibrahima เอาสร้อยทองภรรยาไปจำนำ ได้เงินก้อนหนึ่งมาจ่ายให้มารดาของ Abdou
- เดินทางไปรับรูปถ่าย แต่กลับถูกหลอก เกิดการทะเลาะวิวาท เลือดตกยางออก
- เมื่อกลับมาบ้านในสภาพเลือดตกยางออก ภรรยาทั้งสองเลยป่าวประกาศว่าสามีถูกทำร้าย สูญสิ้นเงินทอง
- Ibrahima มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเจ้าของร้านขายของชำ จนถูกขับไล่
- ได้รับอาสาช่วยเหลือจาก Mbaye ให้เซ็นชื่อ แล้วจะใช้คำสั่งทนายขึ้นเงิน
- แต่วันถัดมา Mbaye กลับอ้างว่าเงินดังกล่าวถูกโจรกรรม หมดสิ้นเนื้อประดาตัว
- ปัจฉิมบท, Ibrahima กลับมาบ้านด้วยความสิ้นหวัง พร่ำรำพัน มองหาหนทางออกชีวิต
การลำดับเรื่องราวถือว่าทำออกมาได้เป็นขั้นเป็นตอน จากสถานที่หนึ่งสู่อีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งถ้าดูแล้วสับสนก็จะมีคำอธิบายให้สามารถไล่เรียง จากไปรณีย์ → สถานีตำรวจ → ศาลากลาง → ธนาคารขึ้นเงิน → ร้านถ่ายรูป แสดงให้เห็นถึงความเรื่องมาก ยุ่งยาก สลับซับซ้อน รวมถึงพฤติกรรมคอรัปชั่นของระบบราชการ
ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีสมัยนั้น จึงทำการบันทึกเสียงพากย์ภายหลังถ่ายทำ (Post-Synchronization) พร้อมๆกับเสียงประกอบ (Sound Effect) และเพลงประกอบ (Soundtrack) ใครเคยรับชม Borom Sarret (1963) ก็น่าจะมักคุ้นกับหลายๆบทเพลงพื้นบ้านแอฟริกัน (หรือ Senegalese) ไม่ได้มีนัยยะไปมากกว่าคลอประกอบพื้นหลัง สร้างบรรยากาศความเป็นแอฟริกัน
และที่มีความไพเราะ น่าจดจำอย่างมากๆ คือบทเพลงคำร้อง Sunu Mandat Bi มีความโหยหวน คร่ำครวญ พร่ำรำพันถึงหายนะของเงิน ได้ยินซ้ำๆบ่อยครั้งจนลืมไม่ลง ขับร้องโดย Isseu Niang (1938-2000) รับบท Aram ภรรยาคนที่สอง
การจากไปของพวกจักรวรรดินิยม ทำให้แอฟริกาก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ (Post-Colonialism) เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย ความเจริญค่อยๆแพร่กระจาย เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง ตึกระฟ้าสูงใหญ่ คนร่ำรวยสามารถใช้ชีวิตสุขสบาย ตรงกันข้ามกับคนยากจน อดมื้อกินมื้อ กว่าจะหาเงินได้สักสลึงเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด
เงิน กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม สิ่งที่ใช้แบ่งแยกผู้คน สถานะรวย-จน ชนชั้นสูง-ต่ำ รวมถึงความมีอภิสิทธิ์ชน ดูถูกเหยียดหยาม กดขี่ข่มเหงบุคคลต่ำต้อยด้อยค่ากว่าตน ยินยอมพร้อมทำทุกสิ่งอย่างโดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว หลักคำสอนศาสนา หรือแม้แต่กฎหมายบ้านเมือง เพื่อให้ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ มีชีวิตกินหรูอยู่สบาย ตอบสนองตัณหาความใคร่ส่วนตน
Mandabi (1968) นำเสนอหลากปัญหาสังคมที่กำลังเกิดขึ้นใน Senegal เหมารวมถึงแอฟริกันยุคสมัยนั้น ซึ่งล้วนมีต้นสาเหตุมาจาก “เงิน” ทำให้มนุษย์สำแดงธาตุแท้ตัวตน กระทำการฉ้อฉล หลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ ทำลายความสัมพันธ์ญาติพี่น้อง ผองเพื่อน ค่อยๆถูกระบอบทุนนิยมกลืนกิน อีกไม่นานคงสูญเสียสิ้นจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์
หน่วยงานรัฐก็เฉกเช่นเดียวกัน แม้อาจเป็นงานมั่นคง สวัสดิการดี มีเงินใช้ตอนเกษียณ แต่การต้องทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆ ให้บริการประชาชนไม่เว้นวัน สร้างความเอื่อยเฉื่อย เหนื่อยหน่าย ขาดความกระตือรือล้น จึงพยายามมองหาช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อสร้างรายได้ กอบโกยเงินทองเข้ากระเป๋า นั่นคือพฤติกรรมคอรัปชั่นที่ค่อยๆบ่อนทำลายองค์กร ประเทศชาติ ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธา
ค่านิยมของชาวแอฟริกันในยุคนี้ แทบไม่ต่างจากพวกจักรวรรดินิยม แสดงถึงอิทธิพลของลัทธิอาณานิคมที่ได้ถูกฝัง หยั่งรากลึกในจิตวิญญาณ/ประวัติศาสตร์แอฟริกัน แม้พวกเขาเต็มไปด้วยอคติ ต่อต้าน เก็บกดอารมณ์เกรี้ยวกราด แต่แทนที่จะนำมาเป็นบทเรียน กลับทำการลอกเลียนแบบอย่าง
ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจเขียน ถึงทำการคัทลอกข้อความจาก Borom Sarret (1963) แต่ต้องการแสดงให้เห็นถึงใจความที่ละม้ายคล้ายคลึง ผลกระทบทางสังคมที่มีจุดเริ่มต้นเดียวกันคือพวกจักรวรรดินิยม นำเสนอความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นก่อน vs. โลกยุคสมัยใหม่ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถปรับตัวเปลี่ยนแปลง และแทนที่ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้า กลับถดถอยหลังลงคลอง ราวกับกำลังถูกยึดครอบครองโดย Neo-Colonialism
เกร็ด: Neo-Colonialism แนวปฏิบัติเกี่ยวกับอาณานิคมรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใช่การเข้าไปยึดครองพื้นที่ชาวพื้นเมือง แต่ใช้วิธีแพร่ขยายอิทธิพล แทรกแซงเศรษฐกิจ การเงิน เข้าไปลงทุนค้าขายในรูปแบบบริษัทข้ามชาติ แสวงหาผลประโยชน์เพื่อให้ได้ทรัพยากร วัตถุดิบ และแรงงานราคาถูก
เมื่อตอน Borom Sarret (1963) ผมสัมผัสได้ว่าผกก. Sembène เต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่อยากยินยอมรับ ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงโลกสมัยใหม่ แต่เมื่อกาลเวลาเคลื่อนพานผ่าน เขาคงรับรู้ตนเองว่าไม่มีอะไรสามารถต้านทานกระแสแห่งกาลเวลา ช่วงท้ายของ Mandabi (1968) จึงใช้คำพูดในเชิงชักชวน โน้มน้าวร้องขอให้ผู้ชมช่วยครุ่นคิดหาหนทางออก เราควรร่วมพัฒนาประเทศชาติ ไม่ใช่เอาแต่กอบโกย สนเพียงผลประโยชน์ เงินๆทองๆ ทำตัวเยี่ยงแร้งกา ไม่ต่างจากพวก(อดีต)จักรวรรดินิยม
ในหน้า Wikipedia บอกว่าหนังได้เข้าฉาย Venice International Film Festival และสามารถคว้ารางวัล Special Jury Prize เทียบเท่ากับ Grand Jury Prize (ที่สอง) แต่ข้อมูลอาจมีความคลาดเคลื่อน เพราะตัวหนังไม่ได้มีโลโก้เทศกาล รวมถึงบ่งบอกว่าได้รับรางวัลใดๆ (นั่นเป็นธรรมเนียมของภาพยนตร์ที่ไปคว้ารางวัลจากเทศกาลหนัง Big 3 เพื่อป่าวประกาศให้ผู้ชมรับรู้ถึงความสำเร็จ)
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ โดย StudioCanal คุณภาพ 4K เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2019 ออกฉายยัง Lumière Festival สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray หรือรับชมออนไลน์ทาง Criterion Channel
แม้พล็อตเรื่องราวของหนังไม่ได้มีความแปลกใหม่ เรียกว่าเฉิ่มเชยล้าหลังเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งน่ามหัศจรรย์ใจคือสถานที่พื้นหลัง นำเสนอวิถีชาวแอฟริกัน นั่นคือสิ่งที่ยุโรป-อเมริกัน หรือแม้แต่เอเชียอย่างเราๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสรับรู้ มันจึงเป็นการเปิดโลก พบเห็นแนวคิดที่แตกต่าง เต็มเปี่ยมด้วยสีสัน อัดอั้นอารมณ์เกรี้ยวกราด
พบเห็นการทำงานของระบบราชการใน Mandabi (1968) ชวนให้ผมนึกถึง Ikiru (1952), The Trial (1962), Brazil (1985), The Story of Qiu Ju (1992), The Death of Mr. Lazarescu (2005), I, Daniel Blake (2016) ฯ ถ้ามันไม่ย่ำแย่เลวร้ายขนาดนั้น ใครไหนจะเสียเวลามาครุ่นคิดสร้างเป็นภาพยนตร์กันเล่า!
จัดเรต pg กับสารพัดการฉ้อฉล จนตกอยู่ในความสิ้นหวัง