งานเลี้ยงฉลองสุดหรูหราด้วยฝีมือเชฟจากภัตตาคารฝรั่งเศสชื่อดัง ปรุงให้กับชาวบ้านผู้เคร่งครัดศาสนา (Pietistic Lutheranism) แต่พวกเขากลับเชื่อว่าอาหารมื้อนี้จักทำให้ตกนรกหมกไหม้, คว้ารางวัล Oscar: Best Foreign Language Film
ผมรับรู้จัก Babette’s Feast (1987) จากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องโปรดของ Hayao Miyazaki ทีแรกก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับชื่อหนัง จนกระทั่งตอนเขียนถึง The Scent of Green Papaya (1993) กำกับโดย Trần Anh Hùng แล้วพบเจอบทความพาดพิงผลงานล่าสุด The Taste of Things (2023) ทำการการเปรียบเทียบ Babette’s Feast (1987) เลยเพิ่งค้นพบว่าภาพยนตร์มีเนื้อหาเกี่ยวกับมื้ออาหารฝรั่งเศสสุดหรูหรา
ความเป็นครัวชั้นสูง อาหารสไตล์ยุโรป อาจทำให้ชาวเอเชียอย่างเราๆ เข้าไม่ถึงสัมผัส รสชาติ ผิดแผกแตกต่างจากภาพยนตร์อย่าง Tampopo (1985), The Scent of Green Papaya (1993), Eat Drink Man Woman (1994) หรือ Jiro Dreams of Sushi (2011) ปรุงแต่งมื้ออาหารที่มักคุ้นเคยชิน แค่ได้ยินเสียงครก สับหมู หรือกระทะไฟแดง กลิ่นหอมฉุยก็แทบจะลอยมาเตะจมูก
Axel Gabriel Erik Mørch (1918-2014) นักแสดง/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Danish เกิดที่ Aarhus, Denmark ครอบครัวเป็นเจ้าของโรงงาน ฐานะร่ำรวย ถูกส่งไปใช้ชีวิตยัง Paris, France จนกระทั่งอายุ 17 กิจการล้มละลายเลยต้องหวนกลับ Denmark ฝึกฝนเป็นคนทำงานไม้ (Carbinet Maker) ก่อนได้เข้าเรียนการแสดง Royal Danish Theatre จบออกมามุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศส เป็นนักแสดงละครเวที Théâtre de l’Athénée, Théâtre de Paris, จากนั้นเริ่มผันตัวสู่เบื้องหลัง กำกับซีรีย์โทรทัศน์ ภาพยนตร์เรื่องแรก Nothing But Trouble (1955), ผลงานส่วนใหญ่มักเป็นแนวตลกโปกฮา ว้าวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ อาทิ The Red Mantle (1967), Sex and the Law (1967), The Goldcabbage Family (1975) ฯ
มีโปรเจคหนึ่งที่อยู่ในความใฝ่ฝันของ Axel คือดัดแปลงเรื่องสั้น Babettes Gæstebud แปลว่า Babette’s Feast ชื่อไทย งานเลี้ยงของบาเบตต์ ประพันธ์โดย Isak Dinesen นามปากกาของ Baroness Karen Christenze von Blixen-Finecke (1885-1962) นักเขียนชาว Danish เจ้าของอีกผลงานดัง Out of Africa (1937)
All I can say is that in Babette’s Feast there’s a minister, but it’s not a film about religion. There’s a general, but it’s not a film about the army. There’s a cook, but it’s not a film about cooking. It’s a fairy tale, and if you try to over-explain it, you destroy it. If you wish, it’s a film about the vagaries of fate and a film about art because Babette is an artist. She creates the greatest masterpiece of her life and gives it to the two old maids.
ต้นฉบับเรื่องสั้นระบุพื้นหลังเมืองท่า Berlevåg เหนือสุดของประเทศ Norway แต่พอผกก. Axel เดินทางไปสำรวจสถานที่ พบว่ามีความหรูหรา สวยงามเกินไป “beautiful tourist brochure” ไม่เหมาะกับวิถีสมถะเรียบง่าย เลยตัดสินใจมองหาสถานที่แห่งใหม่ ก่อนพบเจอหมู่บ้าน Vigsø, Thisted Kommune ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของ Nordjylland (North Jutland)
There is a lot that works in writing, but when translated to pictures, it doesn’t give at all the same impression or feeling. All the changes I undertook, I did to actually be faithful to Karen Blixen.
Gabriel Axel
พอได้สถานที่ถ่ายทำ มอบหมายให้ Sven Wichmann (Production Design) ออกแบบสร้างหมู่บ้านขึ้นใหม่ เน้นความเรียบง่าย ไม่ต้องการให้มีจุดโดดเด่นอะไร
จะว่าไปมีช่วงกึ่งกลางเรื่อง Filippa & Martine หลังจากพบเห็นเครื่องปรุงอาหาร วัตถุดิบที่ยังมีชีวิตของ Babette บังเกิดความหวาดกลัว จินตนาการเตลิดเปิดเปิง ภาพซ้อนวันโลกาวินาศ คนขี่ม้าสี่คนแห่งวิวรณ์ (Four Horsemen of the Apocalypse) ราวกับว่านี่อาจเป็นกระยาหารมื้อสุดท้าย รับประทานแล้วคงได้ตกนรกทั้งเป็น
เมนูของ Babette ต้นฉบับเรื่องสั้นเห็นว่ามีเขียนชื่อเมนู แต่จะไม่ลงรายละเอียดว่าทำอะไรยังไง (ไม่มีสูตร) ผกก. Axel จึงมอบหมายให้หัวหน้าเชฟ (Head Chef) Jan Cocotte-Pedersen จากภัตตาคาร La Cocotte ณ Copenhagen เป็นผู้ออกแบบเมนู 5-course ประกอบด้วย
(ซุป) Soupe de tortue géante [Giant Turtle Soup]
ไวน์องุ่น Xérès amontillado [Amontillado Sherry]
(ออร์เดิฟ) Blinis Demidoff (au caviar et à la crème) [Blinis Demidoff (with caviar and cream)]
แชมเปญ Champagne Veuve Clicquot 1860
(จานหลัก) Cailles en sarcophage au foie gras et sauce aux truffes [Quail in sarcophagus with foie gras and truffle sauce]
ไวน์แดง Clos de Vougeot 1845
(สลัด) Salade d’endives aux noix [Endive salad with walnuts] Fromages français d’Auvergne [French cheeses from Auvergne] Savarin et salade de fruits glacés [Savarin and frozen fruit salad]
(ของหวาน) Baba au rhum [Rum Baba and fresh glazed fruit salad]
Klokken slår, tiden går, evigheden os forestår. Lad os da bruge den kostbare tid, tjene vor Herre med al vor flid, så skal vi nok komme hjem!
The clock strikes, time passes, eternity presides over us. Let us then use the precious time, serve our Lord with all our diligence, then we must come home!
ตัดต่อโดย Finn Henriksen (1933-2008) ผู้กำกับ นักเขียน ตัดต่อภาพยนตร์ สัญชาติ Danish,
ในส่วนของเพลงประกอบ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะ ‘diegetic music’ พบเห็นการขับร้อง ทำการแสดงสด บทเพลงสรรเสริญพระเจ้า, บรรเลงออร์เคสตรา และอุปรากร Mozart: Don Giovanni
Mozart: Don Giovanni
Act 1, Scene 3: Fin ch’ han dal vino (แปลว่า As long as they have wine) ชื่อเล่น Champagne Aria
Act 1, Scene 9: Là ci darem la mano (แปลว่า There we will give each other our hands)
Brahms: Waltz in A-Flat Major, Op. 39 No. 15
Kuhlau: Sonatina in F Major, Op. 55, No. 4: II. Andantino Con Espressione
ส่วนบทเพลง Soundtrack โดย Per Nørgård (เกิดปี 1932) คีตกวี นักทฤษฎีดนตรี สัญชาติ Danish เกิดที่ Gentofte, โตขึ้นเข้าศึกษา Royal Danish Academy of Music แล้วไปเรียนต่อที่กรุง Paris หลงใหลในสไตล์เพลงร่วมสมัย (Contemporary Music) ทำงานเป็นครูสอนดนตรียัง Odense Conservatory ตามด้วย Royal Danish Conservatory of Music มีผลงาน Orchestral, Opera, Concertante, Chamber Music, เพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ The Red Mantle (1967), Babette’s Feast (1987) ฯ
หนึ่งในบทเพลงที่ถือเป็นไฮไลท์อย่างคาดไม่ถึง Là ci darem la mano บทเพลงคู่ (Duet) ที่นักร้องอุปรากร Achille Papin (รับบทโดย Jean-Philippe Lafont นักร้องเสียง Baritone สัญชาติฝรั่งเศส) ทำการเสี้ยมสอน พร้อมเกี้ยวพาราสี Filippa (ขับร้องโดย Tina Kiberg นักร้องเสียง Soprano สัญชาติ Danish) เนื้อคำร้องมันช่างมีความสอดคล้องจองเรื่องราวขณะนั้นๆ … หลายคนอาจไม่คุ้นกับฉบับได้ยินในหนัง เพราะขับร้องด้วยภาษาฝรั่งเศส (ต้นฉบับคืออิตาเลี่ยน)
เกร็ด: Don Giovanni แรกพบเจอตกหลุมรัก Zerlina แม้ว่าเธอหมั้นหมายกับ Masetto วางแผนชักชวนทั้งสองมาร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองแต่งงานที่ปราสาท พอแฟนหนุ่มกลับบ้านไปก่อน เขาจึงเริ่มหยอกล้อ เกี้ยวพาราสีด้วยบทเพลง Là ci darem la mano
แถมให้อีกบทเพลงเพราะๆ Se, hvor sig dagen atter skynder แปลว่า See how the day hastens again ได้ยินหลังเสร็จจากรับประทานอาหาร Filippa ขับร้อง บรรเลงเปียโน รวบรวมอยู่ใน Danish Hymnbook No. 766 (บทเพลงสรรเสริญพระเจ้า)
ต้นฉบับ Danish
คำแปล Google Translation
Se, hvor sig dagen atter skynder, i vestervand sig solen tog, vor hviletime snart begynder; o Gud, som udi lyset bor og sidder udi Himmelsal, vær du vort lys i mørkeds dal. Vort timeglas det alt nedrinder, af natten drives dagen bort, al verdens herlighed forsvinder og varer kun så ganske kort; Gud, lad dit lys ej blive slukt Og nådens dør ej heller lukt.
See how the day hastens again, in the west the sun set, our hour of rest soon begins; o God, who lives outside the light and sits outside Himmelsal, be our light in the valley of darkness. Our hourglass it all pours down, by night the day is driven away, all the glory of the world vanishes and lasts only so very briefly; God, do not let your light be extinguished And the door of grace does not smell either.
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes เห็นว่าเสียงตอบรับไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่สามารถคว้ารางวัล Prize of the Ecumenical Jury – Special Mention จากนั้นตระเวนออกฉายตามเทศกาลหนัง โดยไม่รู้ตัวบังเกิดกระแสนิยมจากผู้ชมอเมริกัน กลายเป็นตัวแทนเดนมาร์กเข้าชิง Golden Globe และคว้ารางวัล Oscar: Best Foreign Language Film
ขณะเดียวกันความขัดแย้งระหว่างอาหารชั้นสูง vs. ศรัทธาศาสนา ทำให้งานเลี้ยงสุดเต็มไปด้วยความหรรษา ว้าๆวุ่นวาย พร้อมถ้อยคำเฉียบคมคาย “An artist is never poor.”
จัดเรต pg กับสรรพสัตว์ที่กำลังจะถูกเชือดทำอาหาร
คำโปรย | Babette’s Feast มื้ออาหารสุดหรูหราของ Gabriel Axel อิ่มหนำทั้งร่างกาย และจิตวิญญาณ คุณภาพ | มาสเตอร์พีซ ส่วนตัว | อิ่มหนำ
ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง! ครูวิทยาศาสตร์ถูกจับกุมข้อหาสอนทฤษฎีวิวัฒนาการ (Theory of Evolution) ของ Charles Darwin เพราะเป็นสิ่งขัดแย้งต่อกฎหมาย Butler Act ทำการปฏิเสธหนังสือปฐมกาล (Book of Genesis) รังสรรค์นิยม (Creationism) พระเจ้าสร้างจักรวาลและชีวิต ไม่ใช่วิวัฒนาการจากลิงสู่มนุษย์, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
He that troubleth his own house shall inherit the wind: and the fool shall be servant to the wise of heart.
ในลิสของ AFI’s 10 Top 10 – Courtroom Drama ทีแรกผมจับจ้อง Judgment at Nuremberg (1961) โดยไม่รู้ตัวเองว่าเขียนถึงไปแล้ว บังเอิญพบว่าผกก. Stanley Kramer ยังมีอีกผลงานก่อนหน้า Inherit the Wind (1960) ที่อาจจะยอดเยี่ยมกว่า นั่นเพราะนักวิจารณ์ Roger Ebert ยกให้เป็น Great Movie
It is “Inherit the Wind” among all of Kramer’s films that seems most relevant and still generates controversy.
Roger Ebert ให้คะแนน 4/4 พร้อมยกเป็น Great Movie
หลายคนอาจยกย่องการโต้ถกเถียงคัมภีร์ไบเบิล vs. ทฤษฎีวิวัฒนาการ ระหว่างสองโคตรนักแสดง Fredric March vs. Spencer Tracy มีการหักเหลี่ยม เฉือนคม ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน พอถึงตอนระเบิดอารมณ์ก็ทำได้อย่างทรงพลัง สร้างความตลกขบขัน (ออกไปในทางตลกร้าย) และทำให้ผู้ชมรู้จัก ‘ครุ่นคิด’ ไม่ใช่หลับหูหลับตา เอาแต่ลุ่มหลงงมงาย
ต้นฉบับของ Inherit the Wind คือบทละครเวที Broadway สร้างโดย Jerome Lawrence และ Robert E. Lee ทำการแสดงรอบปฐมทัศน์ ณ National Theater วันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1955 จำนวน 806 รอบการแสดง สามารถเข้าชิง Tony Award สี่สาขา คว้ามาสามรางวัล
Best Director (Herman Shumlin)
Best Performance by a Leading Actor in a Play (Paul Muni)**คว้ารางวัล
Best Performance by a Featured Actor in a Play (Ed Begley)**คว้ารางวัล
Best Scenic Design**คว้ารางวัล
เรื่องราวนำแรงบันดาลใจจากคดีความ Scopes ‘Monkey’ Trials ชื่อเต็มๆ The State of Tennessee v. John Thomas Scopes เหตุการณ์เคยเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1925 ครูวิทยาศาสตร์ John T. Scopes ถูกจับกุม ตั้งข้อหาหลังทำการสอนทฤษฎีวิวัฒนาการของ Charles Darwin เพราะกระทำสิ่งขัดต่อกฎหมายของรัฐ Tennessee ว่าด้วย Butler Act (1925)
CHAPTER NO. 27 House Bill No. 185 (By Mr. Butler)
AN ACT prohibiting the teaching of the Evolution Theory in all the Universities, Normals and all other public schools of Tennessee, which are supported in whole or in part by the public school funds of the State, and to provide penalties for the violations thereof.
Section 1. Be it enacted by the General Assembly of the State of Tennessee, That it shall be unlawful for any teacher in any of the Universities, Normals and all other public schools of the State which are supported in whole or in part by the public school funds of the State, to teach any theory that denies the story of the Divine Creation of man as taught in the Bible, and to teach instead that man has descended from a lower order of animals.
Section 2. Be it further enacted, That any teacher found guilty of the violation of this Act, Shall be guilty of a misdemeanor and upon conviction, shall be fined not less than One Hundred $ (100.00) Dollars nor more than Five Hundred ($ 500.00) Dollars for each offense.
Section 3. Be it further enacted, That this Act take effect from and after its passage, the public welfare requiring it.
William Jennings Bryan อดีตผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสามสมัย อาสามาเป็นผู้ช่วยอัยการ
ทนายความชื่อดัง Clarence Darrow อยู่ฟากฝั่งจำเลย ได้รับการสนับสนุนจากนักข่าว Henry L. Mencken เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ Baltimore Sun และ American Mercury (และยังเป็นผู้ริเริ่มต้นเรียกคดีความนี้ว่า Monkey Trial)
We used the teaching of evolution as a parable, a metaphor for any kind of mind control. It’s not about science versus religion. It’s about the right to think.
Jerome Lawrence
Stanley Earl Kramer (1913-2002) ผู้กำกับสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish อาศัยอยู่กับมารดาทำงานอยู่สำนักงานสาขา Paramount Pictures (ที่ New York) โตขึ้นสามารถสอบเข้าคณะบริหารธุรกิจ New York University สำเร็จการศึกษาตั้งแต่อายุ 19 ปี! จากนั้นทำงานเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ ระหว่างนั้นก็ได้ฝึกงานสตูดิโอ 20th Century Fox ก่อนตัดสินใจย้ายสู่ Hollywood เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆจากคนตัดฟีล์ม MGM, เขียนบท/นักค้นคว้าข้อมูล Columbia Picture, Republic Picture, ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกจับใบแดงส่งไป Signal Corps มีโอกาสฝึกงานกับ Frank Capra, Anatole Litvak, ภายหลังสงครามสมัครงานที่ไหนก็ไม่รับ เลยก่อตั้งสตูดิโอ Screen Plays Inc. กลายเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ Champion (1949), The Men (1950), Cyrano de Bergerac (1950), High Noon (1952), Death of a Salesman (1951), The Caine Mutiny (1954), จากนั้นเริ่มกำกับผลงาน The Defiant Ones (1958), On the Beach (1959), Inherit the Wind (1960), Judgment at Nuremberg (1961), It’s a Mad, Mad, Mad, Mad World (1963), Guess Who’s Coming to Dinner (1967) ฯ
ความสำเร็จของละคอนเวที Inherit the Wind เข้าตาผกก. Kramer จึงติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงภาพยนตร์ แล้วมอบหมายให้สองนักเขียน Nedrick Young (1914-68) และ Harold Jacob Smith (1912-70) เคยร่วมงาน The Defiant Ones (1958)**คว้ารางวัล Oscar: Best Original Screenplay
เกร็ด: Nedrick Young คือหนึ่งในบุคคลที่ถูก Hollywood Blacklist เพราะปฏิเสธขึ้นให้การกับ House Committee on Un-American Activities (HCUA) จึงต้องใช้นามปากกาปรากฎบนเครดิต Nathan E. Douglas
พื้นหลังช่วงทศวรรษ 20s ยังเมืองสมมติ Hillsboro, ครูวิทยาศาสตร์ Bertram Cates (รับบทโดย Dick York) ระหว่างกำลังสอนทฤษฎีวิวัฒนาการของ Charles Darwin ถูกจับกุมเนื่องจากกระทำสิ่งขัดต่อกฎหมาย Butler Act กลายเป็นข่าวใหญ่โด่งดังไปทั่วประเทศ ถึงขนาดทำให้อดีตผู้สมัครประธานาธิบดี Matthew Harrison Brady (รับบทโดย Fredric March) ประกาศอาสาเป็นผู้ช่วยอัยการ ได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองอย่างล้นหลาม
ขณะที่ฟากฝั่งจำเลยได้รับการสนับสนุนจากนักหนังสือพิมพ์ E. K. Hornbeck (รับบทโดย Gene Kelly) แห่ง Baltimore Herald สามารถติดต่อทนายความ Henry Drummond (รับบทโดย Spencer Tracy) อดีตเพื่อนร่วมงาน Brady แต่เหินห่างกันมาหลายปี และคราวนี้กลายเป็นศัตรูผู้มีความคิดเห็นแตกต่างตรงกันข้าม
Spencer Bonaventure Tracy (1900-67) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Milwaukee, Wisconsin วัยเด็กเป็นคนสมาธิสั้น บิดาเลยส่งไปโรงเรียนสอนศาสนา ก่อนค้นพบความสนใจในภาพยนตร์, พออายุ 18 สมัครทหารเรือ ปลดประจำการโดยไม่เคยออกทะเลจริงสักครั้ง! จากนั้นตามคำร้องขอบิดา เข้าศึกษาเภสัชศาสตร์ Ripon College แต่เอาเวลาว่างทุ่มเทให้กับการแสดง สามารถออดิชั่นเข้าร่วม American Academy of Dramatic Arts (AADA) ย้ายไปปักหลักอยู่ New York City กลายเป็นนักแสดงขาประจำของ George M. Cohen, กระทั่งการมาถึงของหนังพูดได้เซ็นสัญญาสตูดิโอ Fox เข้าตาผู้กำกับ John Ford รับบทนำภาพยนตร์ Up the River (1930) [บทบาทแรกของ Humphrey Bogart ด้วยเช่นกัน], เริ่มเข้าตานักวิจารณ์จาก The Power and the Glory (1933), พอย้ายค่ายมา MGM ประสบความสำเร็จกับ Fury (1936), San Francisco (1936), บุคคลแรกคว้ารางวัล Oscar: Best Actor สองปีติดจาก Captains Courageous (1937) และ Boys Town (1939), ผลงานเด่นๆ อาทิ Dr. Jekyll and Mr. Hyde (1941), Woman of the Year (1942), A Guy Named Joe (1943), Adam’s Rib (1949), Father of the Bride (1950), Bad Day at Black Rock (1955), The Old Man and the Sea (1958), ช่วงบั้นปลายชีวิตกลายเป็นขาประจำ Stanley Kramer ตั้งแต่ Inherit the Wind (1960), Judgment at Nuremberg (1961), It’s a Mad, Mad, Mad, Mad World (1963), Guess Who’s Coming to Dinner (1967) ฯ
รับบท Henry Drummond (ต้นแบบคือ Clarence Darrow) ทนายความผู้เลื่องชื่อว่าไม่ได้มีความเชื่อเรื่องพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วเป็นบุคคลเอ่อล้นด้วยศรัทธา เพียงแค่ไม่ปิดกั้นความครุ่นคิดตนเอง เปิดรับแนวคิดวิวัฒนาการ ปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคสมัยใหม่ และยังสามารถวิเคราะห์ตีความสัมพันธ์ระหว่างคัมภีร์ไบเบิลกับทฤษฏีของ Charles Darwin เชื่อด้วยเหตุผล ไม่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
ผกก. Kramer น่าจะเป็นบุคคลที่เข้าใจและรับรู้วิธีการใช้งาน Tracy ได้อย่างเต็มศักยภาพที่สุดแล้ว! สังเกตจากหลายๆผลงานของพวกเขา ต้องมีการโต้ตอบบทพูด หักเหลี่ยมเฉือนคม และซีเควนซ์ ‘Long Take’ รับฟังคำกล่าวสุนทรพจน์ที่ดูเรียบง่าย แต่สามารถจุดประกายความคิด และบังเกิดความฮึกเหิมขึ้นภายใน (น่าจะได้แรงบันดาลใจจากตอนจบของ The Great Dictator (1940))
Fredric March ชื่อเกิด Ernest Frederick McIntyre Bickel (1897-1975) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Racine, Wisconsin สำเร็จการศึกษาจาก University of Wisconsin–Madison อาสาสมัครทหารปืนใหญ่ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งหนึ่ง จากนั้นทำงานเป็นนายธนาคาร แต่หลังจากเข้ารับผ่าตัดไส้ติ่ง ครุ่นคิดค้นมองหาเป้าหมายชีวิตใหม่ ลาออกงานเก่าเลือกเส้นทางสายการแสดง มีผลงาน Broadway ก่อนได้เซ็นสัญญากับ Paramount Pictures แจ้งเกิดกับ The Royal Family of Broadway (1930), Dr. Jekyll and Mr. Hyde (1932)**คว้ารางวัล Oscar: Best Actor, A Star Is Born (1937), The Best Years of Our Lives (1946)**คว้ารางวัล Oscar: Best Actor, Death of a Salesman (1951), Inherit the Wind (1961) ฯ
รับบท Matthew Harrison Brady (ต้นแบบคือ William Jennings Bryan) อดีตผู้สมัครประธานาธิบดีสามสมัย และถือเป็นผู้เชี่ยวชาญคัมภีร์ไบเบิล อาสาเข้าร่วมการพิจารณาคดีความครั้งนี้ในฐานะผู้ช่วยอัยการ (แต่มีบทบาทมากกว่าอัยการจริงๆเสียอีก) เผชิญหน้าอดีตเพื่อนร่วมงาน Henry Drummond ปฏิเสธการโอนอ่อนผ่อนปรน ยึดถือความครุ่นคิด/เชื่อมั่นศรัทธาของตนเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่รู้ตัวทุกคำพูดกล่าวล้วนย้อนกลับมาทำลายตัวเอง
Gene Kelly ชื่อจริง Eugene Curran Kelly (1912-96) นักเต้น/นักแสดง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Pittsburgh, Pennsylvania ครอบครัวมีเชื้อสาย Irish ผสม German, มารดาส่งเขาและพี่ชายไปเรียนการเต้นตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แต่ตอนนั้นไม่ได้มีความชื่นชอบสักเท่าไหร่ กระทั่งเหตุการณ์ Wall Street Crash เมื่อปี 1929 ทำให้ต้องออกจากโรงเรียน ช่วยที่บ้านทำงานหาเงิน ร่วมกับพี่ชายกลายเป็นนักเต้นล่ารางวัล, ต่อมาสามารถสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ University of Pittsburgh แล้วได้เข้าร่วมชมรมการแสดง Cap and Gown Club, พอเรียนจบทำงานเป็นครูสอน ออกแบบท่าเต้น แล้วมุ่งสู่ New York City กลายเป็นนักแสดง Broadway พอเริ่มโด่งดังก็ถูกเรียกตัวจาก Hollywood เซ็นสัญญา David O. Selznick ภาพยนตร์เรื่องแรก For Me and My Gal (1942), ประสบความสำเร็จล้นหลามกับ Cover Girl (1944), Anchors Aweigh (1945), On the Town (1949), An American in Paris (1951), Singin’ in the Rain (1952) ฯ
รับบท E. K. Hornbeck นักหนังสือพิมพ์ Baltimore Herald (ต้นแบบคือ Henry L. Mencken) ผู้มีความกระตือรือล้น สนอกสนใจคดีความ Monkey Trial ชอบพูดถ้อยคำสำบัดสำนวน ในเชิงเสียดสีถากถาง ไม่ค่อยถูกกับ Matthew Harrison Brady แต่ให้การสนับสนุน Bertram Cates และทนายความ Henry Drummond อย่างสุดความสามารถ
ในตอนแรก Kelly ไม่มีความสนใจบทบาทนี้สักเท่าไหร่ แต่พอผกก. Kramer อ้างว่าได้ติดต่อนักแสดง Tracy และ March ก็เปลี่ยนใจตอบตกลงโดยทันที! (แต่จริงๆคือยังไม่ได้พูดคุยกับใครทั้งนั้น Kelly คือคนแรกที่ตอบตกลงปากเปล่า)
แม้ว่าบทบาทของ Kelly จะเป็นเพียงตัวประกอบ โผล่มาแย่งซีนสองสามครั้ง แต่ก็ช่วยสร้างสีสันเล็กๆให้กับหนัง ด้วยใบหน้ากวนๆ รอยยิ้มชวนหมั่นไส้ ที่น่าประทับใจคือประโยคคำพูดเหน็บแนม สร้างความเจ็บแสบ เฉลียวฉลาดเกินหน้าเกินตา คอยตบมุก และสรุปสถานการณ์ … ผมชอบช่วงท้ายที่ตัวละครนี้สามารถเปิดเผยตัวตนแท้จริงของ Henry Drummond (ว่าเป็นคนเคร่งศาสนา) และรับรู้ด้วยว่าถ้าตนเองตกตายไป อย่างน้อยจะมีอีกฝ่ายมาร่วมงานศพอย่างแน่นอน!
เกร็ด: Kelly เคยให้สัมภาษณ์ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ได้เรียนรู้เทคนิคการแสดงมากมายจาก March แต่ไม่ใช่กับ Tracy เพราะ “like magic … all you could do was watch and be amazed.”
ถ่ายภาพโดย Ernest Laszlo ชื่อเกิด László Ernő (1898-1984) ตากล้องสัญชาติ Hungarian-American เกิดที่ Budapest, โตขึ้นอพยพสู่สหรัฐอเมริกา ทำงานเป็นผู้ควบคุมกล้อง (Camera Operator) หนังเงียบดังๆอย่าง Wings (1927), Hell’s Angels (1930), ได้รับเครดิตถ่ายภาพตั้งแต่ The Pace That Kills (1928), ผลงานเด่นๆ อาทิ Stalag 17 (1953), Vera Cruz (1954), Kiss Me Deadly (1955), Inherit the Wind (1960), Judgment at Nuremberg (1961), It’s a Mad, Mad, Mad, Mad World (1963), Ship of Fools (1965)**คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, Fantastic Voyage (1966), Airport (1970), Logan’s Run (1976) ฯ
ผมละขำกลิ้งตอนที่ Hornbeck พูดบอกให้ Drummond ตื่นจากความฝัน “Aw, Henry, why don’t you wake up Darwin was wrong. man’s still an ape, and his creed’s still a totem pole” ปรากฎว่าด้านหลัง Drummond เพิ่งกำลังทิ้งตัวลงนอนพักผ่อน … เห็นความสอดคล้องระหว่างคำพูดและการกระทำไหมเอ่ย นี่คือความคมคายในการเปรียบเทียบ พบเห็นได้บ่อยครั้งทีเดียว
ตัดต่อโดย Frederic Knudtson (1906-64) สัญชาติอเมริกัน เริ่มต้นเข้าวงการจากเป็นผู้ช่วยตัดต่อ What Price Hollywood? (1932), ช่วงทศวรรษ 30s-40s กลายเป็นนักตัดต่อหนังเกรดบี จนกระทั่งสร้างชื่อให้กับตนเองจาก The Window (1949), แล้วกลายเป็นขาประจำผกก. Stanley Kramer ตั้งแต่ The Defiant Ones (1958), On the Beach (1959), Inherit the Wind (1960), Judgment at Nuremberg (1961), It’s a Mad, Mad, Mad, Mad World (1963) ฯ
หนังดำเนินเรื่องโดยใช้เมืองสมมติ Hillsboro คือจุดศูนย์กลาง นำเสนอการไต่สวน พิจารณาคดีความผิดของครูวิทยาศาสตร์ Bertram Cates ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทนายความ Henry Drummond vs. อัยการและผู้ช่วย Matthew Harrison Brady
อารัมบท,
ครูวิทยาศาสตร์ Bertram Cates ถูกจับกุมข้อหาสอนทฤษฎีวิวัฒนาการของ Charles Darwin
ชาวเมือง Hillsboro จัดขบวนแห่ต้อนรับการมาถึงของ Matthew Harrison Brady
ตรงกันข้ามกับทนาย Henry Drummond มีเพียงนักเขียนของ Cates มารอรับหน้าโรงแรม
ช่วงการพิจารณาคดี
เริ่มต้นด้วยการเลือกลูกขุนคนสุดท้าย
ค่ำคืนหมาหอน การกล่าวสุนทรพจน์ของบาทหลวง Jeremiah Brown
แม้ศาลจะสั่งปิดการพิจารณาคดีเรียบร้อยแล้ว แต่ Harrison Brady กลับยังต้องการกล่าวสุนทรพจน์ ท่ามกลางความวุ่นๆวายๆ
ทิ้งท้ายกับการสนทนาระหว่าง Hornbeck และ Drummond
เพลงประกอบโดย Ernst Sigmund Goldner (1921-99) นักแต่งเพลงสัญชาติ Austrian-American เกิดที่ Vienna บิดาเป็นนักไวโอลิน สอนบุตรให้อ่านโน๊ตเพลงก่อนเขียนตัวอักษรเป็น ร่ำเรียนเปียโน-ไวโอลินตั้งแต่อายุหกขวบ แต่งเพลงได้ตอนแปดขวด เขียนอุปรากรอายุสิบสาม ประกาศกับครอบครัวว่าโตขึ้นจะเดินทางสู่ Hollywood เพราะชื่นชอบผลงานเพลงของ Max Steiner พอดิบพอดีการมาถึงของสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวตัดสินใจอพยพสู่สหรัฐอเมริกา แล้วได้ร่ำเรียนดนตรีกับ National Orchestra Association ทำงานแรกกำกับวง NBC Orchestra, จากนั้นมุ่งสู่ Hollywood แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแรก Girl of the Limberlost (1945), ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Stanley Kramer ตั้งแต่กำกับวงออร์เคสตรา Not as a Stranger (1955), เขียนเพลงประกอบ The Defiant Ones (1958), Inherit the Wind (1960), Exodus (1960)**คว้ารางวัล Oscar: Best Best Scoring of a Dramatic or Comedy Picture, Judgment at Nuremberg (1961), A Child Is Waiting (1963), It’s a Mad, Mad, Mad, Mad World (1963), Ship of Fools (1965) ฯ
นอกจากสองบทเพลงคำร้อง Old-Time Religion และ We’ll Hang Bert Cates to a Sour Apple Tree (ขับร้องในท่วงทำนอง Battle Hymn of the Republic) งานเพลงของ Gold จะคอยแทรกแซมอยู่ตามฉากเล็กๆ เสริมเติมสร้างบรรยากาศ ในลักษณะสร้อยบทกวี จะไม่มีบทเพลงใดๆในช่วงระหว่างการพิจารณาคดีความบนชั้นศาล แค่การโต้ถกเถียงระหว่างทนายกับอัยการ ก็มีความตึงเครียด วุ่นๆวายๆ หนวกหูเกินคำบรรยาย!
(Give Me That) Old-Time Religion บทเพลงแนว Traditional Gospel ไล่ย้อนไปตั้งแต่ ค.ศ. 1873 พบเจออยู่ในรายการ Jubille Song ปัจจุบันกลายเป็นเพลงสวดพื้นฐานของ Protestant หลายๆสถานที่, เนื้อคำร้องสามารถปรับเปลี่ยนถ้อยคำไปเรื่อยๆ แต่ท่อนฮุคจะมีแค่ย่อหน้าเดียว
Give me that old-time religion Give me that old-time religion Give me that old-time religion It’s good enough for me
อย่างบทเพลง We’ll Hang Bert Cates to a Sour Apple Tree ก็จะมีเนื้อคำร้องดังต่อไปนี้
We’ll hang Bertram Cates to a sour apple tree, we’ll hang Bertram Cates to a sour apple tree, we’ll hang Bertram Cates to a sour apple tree. Our God is marching on!
Glory Glory Hallelujah! Glory Glory Hallelujah! Glory Gory Hallelujah! His truth is marching on.
We’ll hang Henry Drummond to a sour apple tree, we’ll hang Henry Drummond to a sour apple tree, we’ll hang Henry Drummond to a sour apple tree, our God is marching on.
ปล. หลายคนคงรู้สึกมักคุ้นเคยทั้งสองบทเพลงนี้มีท่วงทำนอง/เนื้อคำร้อง ละม้ายคล้าย Battle Hymn of the Republic (1861) แต่บทเพลงนี้ก็ดัดแปลงมาจาก Older Folk Hymn ชื่อว่า Say, Brothers will you Meet Us ไล่ย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษ 1700s … เอาว่ามันเป็นเพลงโบราณ ทำนองเก่าแก่ ก็แค่นั้นละครับ
Inherit the Wind (1960) นำเสนอการโต้ถกเถียงระหว่างเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิล (Book of Genesis) vs. ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Theory of Evolution), พระเจ้าสร้างจักรวาลและชีวิต อ้างอิงจากรังสรรค์นิยม (Creationism) vs. มนุษย์ถือกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เริ่มจากเซลล์เดียวแบ่งแยกหลายเซลล์ แหวกว่ายในน้ำตะเกียกตะกายขึ้นบก สัตว์เลือดเย็นกลายเป็นเลี้ยงลูกด้วยนม และท้ายสุดอันดับไพรเมต (Primate) วานรพัฒนามาสู่มนุษย์!
The spirit of the trial lives on, because the real issues of that trial were man’s right to think and man’s right to teach…the real theme of Inherit the Wind.
แต่ในมุมวิทยาศาสตร์ บุคคลที่จะกลายเป็นสายลมแห่งการทำลายล้างก็คือ Matthew Harrison Brady ผู้มีความเชื่อมั่นศรัทธาศาสนาอย่างแรงกล้าจนเกินไป ไม่รู้จักประณีประณอม โอนอ่อนผ่อนปรน สุดท้ายแล้วทุกคำพูด-การแสดงออก ล้วนหวนกลับมาย้อนแย้ง ทำลายตนเอง ประชาชนหมดสูญสิ้นศรัทธา
คนที่สามารถยินยอมรับ ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่าง Henry Drummond ตอนจบถือทั้งคัมภีร์ไบเบิล (ปกสีดำ) และหนังสือวิวัฒนาการของ Charles Darwin (ปกสีขาว) ไม่เพียงสามารถเอาตัวรอดในโลกยุคสมัยใหม่ แต่ยังอาจทำให้ค้นพบบางสิ่งอย่างยิ่งใหญ่เหนือไปกว่านั้น … อะไรก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Berlin เสียงตอบรับดียอดเยี่ยม แม้พ่าย Golden Bear ให้กับ El Lazarillo de Tormes (1959) แต่ยังสามารถคว้ามาสองรางวัล
Best Actor (Fredric March)
Best Feature Film Suitable for Young People
ด้วยทุนสร้าง $2 ล้านเหรียญ น่าเสียดายทำเงินได้แค่ $1.7 ล้านเหรียญ ถือว่าขาดทุนย่อยยับ แต่ยังดีที่ช่วงปลายปีได้เข้าชิง Oscar และ Golden Globe หลายสาขา
Academy Award
Best Actor (Spencer Tracy)
Best Adapted Screenplay
Best Cinematography, Black-and-White
Best Film Editing
Golden Globe Award
Best Motion Picture – Drama
Best Actor – Drama (Spencer Tracy)
แซว: การถูก SNUB ของผกก. Kramer ยังไม่เทียบเท่า Fredric March ทั้งๆคว้ารางวัลจากเทศกาลหนัง Berlin กลับถูกมองข้ามซะงั้น! ผมคาดเดาว่าผู้ชมชาวอเมริกันอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือ แบบเดียวกับที่ชาวเมือง(ในหนัง)หมดสูญศรัทธากับตัวละคร … ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนี่บัดซบมากเลยนะ!
ปัจจุบันหนังยังไม่ได้รับการบูรณะ แต่มีการสแกนฟีล์มใหม่เมื่อปี ค.ศ. 2018 สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray ของค่าย Kino Lorber และ Eureka Entertainment คุณภาพถือว่าใช้ พบเห็นริ้วรอยขีดข่วนบ้างประปราย น่าเสียดายไม่มีขอแถมอะไร
ส่วนตัวมีความเพลิดเพลินกับ ‘mise-en-scène’ และการหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างสองโคตรนักแสดง Fredric March vs. Spencer Tracy พร้อมเผชิญหน้า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ผมรู้สึกว่า March ค่อนข้างจะโดดเด่นกว่ามาก มีความสุดเหวี่ยง คลุ้มบ้าคลั่ง คงเพราะบริบทสังคมยุคสมัยนั้น ทนายความคนดี Tracy เลยได้คะแนนโหวตจากผู้ชมมากกว่า
The Last Temptation of Christ (1988) : Martin Scorsese ♥♥♥♡
ภาพยนตร์อ้างอิงศาสนา (Religious) ที่ไม่ใช่แค่ชีวประวัติ Jesus Christ แต่ยังรวมถึงผู้กำกับ Martin Scorsese เคยพานผ่านช่วงเวลาสับสน กระวนกระวาย อึดอัดอั้นภายใน ไม่แน่ใจเป้าหมายของตนเอง และเมื่อได้สรรค์สร้าง ‘passion project’ ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จลุล่วงเสียที!
This film is not based upon the Gospels but upon this fictional exploration of the eternal spiritual conflict.
หนึ่งในข้อความเกริ่นนำของหนัง พยายามอธิบายว่าเรื่องราวของ The Last Temptation of Christ (1988) ไม่ได้อ้างอิงโดยตรงจากคัมภีร์ไบเบิล เพียงนำเหตุการณ์สำคัญๆที่ใครๆต่างรับรู้จัก อาทิ พิธีจุ่มศีล (Baptist) เผยแพร่ศาสนา พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (Last Supper) รวมถึงการตรึงกางเขน (Crucifixion) ทำออกมาในเชิงตั้งคำถาม ขัดย้อนแย้งความเชื่อดั้งเดิม โดยประเด็นหลักๆคือ ‘สร้างความเป็นมนุษย์’ ให้กับ Jesus Christ แสดงความสับสน กระวนกระวาย อึดอัดอั้นภายใน (ถูกล่อลวง ‘Temptation’ โดยซาตาน) ไม่แน่ใจในตนเองว่าคือบุตรของพระเจ้าหรือไม่?
I am left after the film with the conviction that it is as much about Scorsese as about Christ… What makes “The Last Temptation of Christ” one of his great films is not that it is true about Jesus but that it is true about Scorsese. Like countless others, he has found aspects of the Christ story that speak to him.
นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 4/4 พร้อมจัดเป็น Great Movie
ในมุมมองหนึ่งมันคือการบิดเบือนจากคัมภีร์ไบเบิล ดูหมิ่นศาสนา (blasphemous) สร้างความไม่พึงพอใจต่อหลากหลายองค์กร นำไปสู่การประท้วง ก่อการร้าย แบนห้ามฉาย รวมถึงจดหมายขู่ฆ่าผกก. Scorsese … ถือเป็นหนึ่งใน The Most Controversial Movies of All Time (นิตยสาร TIMEOUT ยกให้อันดับหนึ่งเลยนะ)
ปล. การล่อหลอกครั้งสุดท้ายของซาตาน ‘The Last Temptation of Christ’ ด้วยการนำเสนอภาพอนาคตลวงตา ถ้าสมมติว่า Jesus Christ ไม่ยินยอมสละชีพบนไม้กางเขน ชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ It’s a Wonderful Life (1946) ในลักษณะตรงกันข้าม (เรื่องนี้เทวดาช่วยให้ James Stewart ล้มเลิกตั้งใจฆ่าตัวตาย ด้วยการนำเสนอภาพอนาคตที่โหดร้าย)
Martin Charles Scorsese (เกิดปี 1942) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Queen, New York City ก่อนย้ายมาเติบโตยัง Little Italy, Manhattan ครอบครัวเชื้อสาย Italian อพยพมาจาก Palermo, Sicily นับถือศาสนา Roman Catholic อย่างเคร่งครัด! วัยเด็กป่วยโรคหอบหืดทำให้ไม่สามารถเล่นกีฬา ออกไปทำกิจกรรมภายนอก พ่อ-แม่และพี่ๆจึงมักพาไปดูหนัง เช่าฟีล์มกลับมารับชมที่บ้าน ค่อยๆเกิดความหลงใหลในสื่อภาพยนตร์ โตขึ้นศึกษาสาขาภาษาอังกฤษ Washington Square College (ปัจจุบันชื่อ College of Arts and Science) แล้วต่อปริญญาโทวิจิตรศิลป์ School of the Arts (ปัจจุบันชื่อ Tisch School of the Arts)
ระหว่างร่ำเรียน Tisch School of the Arts ก็เริ่มกำกับหนังสั้น What’s a Nice Girl like You Doing in a Place like This? (1963), It’s Not Just You, Murray! (1964), The Big Shave (1967), พอสำเร็จการศึกษาก็สรรค์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Who’s That Knocking at My Door (1967), แจ้งเกิดโด่งดังกับ Mean Streets (1973), Taxi Driver (1967), Raging Bull (1980) ฯ
ตั้งแต่ครั้นยังเป็นเด็ก ร่ำเรียนสามเณราลัย ผู้ช่วยพระทำพิธีในโบสถ์ (Altar Boy) Scorsese วาดฝันอยากมีโอกาสสรรค์สร้างภาพยนตร์ชีวประวัติ Jesus Christ ในรูปแบบของตนเอง!
เมื่อเติบโตขึ้นระหว่างสรรค์สร้างผลงานเรื่องที่สอง Boxcar Bertha (1972), นักแสดงนำหญิง Barbara Hershey ได้มอบหนังสือ The Last Temptation of Christ (1955) เขียนโดย Nikos Kazantzakis พร้อมล็อบบี้ด้วยว่าถ้า Scorsese มีโอกาสดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ ขอเป็นตัวเลือกรับบท Mary Magdalene (แล้วเธอก็ได้จริงๆนะ)
Nikos Kazantzakis, Νίκος Καζαντζάκης (1883-1957) นักเขียน/นักแปล นักปรัชญาชาวกรีก ผู้บุกเบิกวรรณกรรมกรีกยุคสมัยใหม่ (Greek Modern Literature) เคยได้เข้าชิง Nobel Prize สาขาวรรณกรรมถึง 9 ครั้ง! ผลงานเด่นๆ อาทิ Zorba the Greek (1946), Christ Recrucified (1948), Captain Michalis (1950) และ The Last Temptation of Christ (1955)
The Last Temptation of Christ หรือ The Last Temptation นวนิยายประวัติศาสตร์ อิงศาสนา เริ่มต้นตีพิมพ์เป็นภาษากรีก ค.ศ. 1955 แล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1960, นำเสนอเรื่องราวของ Jesus Christ ที่ต้องเผชิญหน้าสารพัดสิ่งยั่วเย้า ‘Temptation’ ทั้งความสับสน หวาดกังวล ซึมเศร้า หดหู่ โล้เล้ลังเลใจ ตัณหาความใคร่ รวมถึงกลัวความตาย
This book is not a biography; it is the confession of every man who struggles. In publishing it I have fulfilled my duty, the duty of a person who has struggled much, was much embittered in his life, and had many hopes. I am certain that every free man who reads this book, so filled as it is with love, will more than ever before, better than ever before, love Christ.
อารัมบทของ Nikos Kazantzakis
เมื่อหนังสือวางแผงจัดจำหน่าย Catholic Church และ Greek Orthodox Church ทำการประณาม (Comdemned) ตีตราว่าบิดเบือน ดูหมิ่นศาสนา ลดฐานะ Jesus Christ ไม่ต่างจากสามัญชนคนธรรมดา
[The Last Temptation of Christ] contains evil slanders against the Godlike person of Jesus Christ. … derived from the inspiration of the theories of Freud and historical materialism, [this book] perverts and hurts the Gospel discernment and the God-man figure of our Lord Jesus Christ in a way coarse, vulgar, and blasphemous.
Greek Orthodox Church
ในตอนแรกผกก. Sidney Lumet ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงหนังสือเล่มดังกล่าว ให้คำนิยามเรื่องราว “[the story] of how a man pushes himself to extremes he never knew he was capable of” ทั้งยังชื่นชมการตีความ Judas เปรียบดั่ง “as a strong man, sort of hero” มอบหมายหน้าที่ดัดแปลงบท Lazarre Seymour Simckes ตั้งใจจะเปิดกล้องถ่ายทำช่วงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1971 แต่กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ
The beauty of Kazantzakis’ concept is that Jesus has to put up with everything we go through, all the doubts and fears and anger. He made me feel like he’s sinning—but he’s not sinning, he’s just human. As well as divine. And he has to deal with all this double, triple guilt on the cross.
Martin Scorsese
สืบเนื่องจากความล้มเหลวของ New York, New York (1977) สร้างหายนะทั้งร่างกาย-จิตใจให้ผกก. Scorsese โชคดีได้รับความช่วยเหลือจาก De Niro ปลุกขึ้นมาสรรค์สร้าง Raging Bull (1980) คาดหวังให้เป็นภาพยนตร์ทิ้งท้าย(ก่อนตาย) แต่ผลลัพท์กลับยังไม่สามารถเติมเต็มบางสิ่งขาดหาย ความสงบสุขขึ้นภายใน (inner peace) เลยเกิดความตั้งใจใหม่ว่าจะระบายทุกสิ่งอย่างกับโปรเจคในฝัน The Last Temptation of Christ
หลังเสร็จจาก The King of Comedy (1982) ผกก. Scorsese ก็มีแผนจะสรรค์สร้าง The Last Temptation of Christ เป็นผลงานลำดับถัดไป ได้รับทุนสนับสนุนจาก Paramount Pictures อนุญาตให้เดินทางไปถ่ายทำยังประเทศ Israel นำแสดงโดย Aidan Quinn รับบท Jesus Christ, นักร้อง Sting เล่นบท Pontius Pilate, Ray Davies เล่นเป็น Judas Iscariot, Vanity แสดงเป็น Mary Magdalene, แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเริ่มถ่ายทำ Gulf+Western (บริษัทแม่ของ Paramount Pictures) มีความหวาดกังวลต่องบประมาณที่บานปลาย (เริ่มจาก $12 ล้านเหรียญ พุ่งทะยานสู่ $14-16 ล้านเหรียญ) รวมถึงได้รับจดหมายจากกลุ่มศาสนา เรียกร้องให้ล้มเลิกโปรเจคดังกล่าว ผลลัพท์จึงถูกสั่งยุติงานสร้างโดยพลัน!
After The Last Temptation was cancelled in ’83, I had to get myself back in shape. Work out. And this was working out. First After Hours, on a small scale. The idea was that I should be able, if Last Temptation ever came along again, to make it like After Hours, because that’s all the money I’m gonna get for it. Then the question was: Are you going to survive as a Hollywood filmmaker? Because even though I live in New York, I’m a “Hollywood director.” Then again, even when I try to make a Hollywood film, there’s something in me that says, “Go the other way.” With The Color of Money, working with two big stars, we tried to make a Hollywood movie. Or rather, I tried to make one of my pictures, but with a Hollywood star: Paul Newman. That was mainly making a film about an American icon. That’s what I zeroed in on… But it was always Work in Progress, to try to get to make Last Temptation.
Martin Scorsese
หลังจากภาพยนตร์ After Hours (1985) ไปคว้ารางวัล Best Director จากเทศกาลหนังเมือง Cannes และ The Color of Money (1986) ทำกำไรได้มหาศาล (Paul Newman คว้ารางวัล Oscar: Best Actor) นั่นทำให้ Universal Studio มีความสนอกสนใจในตัวผกก. Scorsese ยื่นหมูยื่นแมว พร้อมมอบเงินทุน $7 ล้านเหรียญสำหรับโปรเจค The Last Temptation of Christ แลกเปลี่ยนกับอนาคตสรรค์สร้างภาพยนตร์กระแสหลัก (mainstream) เรื่อง Cape Fear (1991)
I never thought I could make a movie like this for a place like Universal. They represented a certain kind of filmmaking. But from the moment I met Tom Pollock and Sid Sheinberg, I felt a new attitude, a new openness. I’ve never felt such support from any studio. They never said change one thing. They made suggestions; everybody made suggestions. And they knew it was a hard sell. But from the very first screening of the three-hour cut, they were moved, they were teary-eyed, they just loved it. I just hope they get through everything. But the toughness you used to hear about Universal against filmmakers, that’s how tough they’re being in defense of this movie. The more they get slapped, the more they hit back.
แซว: “Certain kind of filmmaking” ที่ผกก. Scorsese กล่าวถึงนี้ หมายถึงความจุ้นจ้าน เรื่องมากของผู้บริหารสตูดิโอ Universal มีคำเรียก/ชื่อเล่นในวงการ “black suits and black hearts” สนเพียงการค้า ทำกำไร ต่อรองด้วยยาก … แต่ถ้าคุณเป็นบุคคลมีชื่อเสียงอย่าง Christopher Nolan นำโปรเจค Oppenheimer (2023) ลงทุนระดับร้อยล้านไปนำเสนอ การันตีกำไรแน่ๆ ก็จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไร
สำหรับบทภาพยนตร์ดัดแปลงโดย Paul Schrader (เกิดปี 1946) นักเขียน/นักวิจารณ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Grand Rapids, Michigan ในครอบครัวเคร่งครัด Calvinism (สาขาหนึ่งของ Protestant) ไม่เคยมีโอกาสรับชมภาพยนตร์จนกระทั่งอายุ 17 ซึ่งก็ไม่ค่อยมีความแรกประทับใจสักเท่าไหร่, โตขึ้นสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะปรัชญา สาขาเทววิทยาจาก Calvin College ตั้งใจจะเป็นบาทหลวง ก่อนเปลี่ยนมาศึกษาภาพยนตร์ UCLA School of Theater, Film and Television สนิทสนมกับ Pauline Kael ถูกชักชวนมาทำงานวิจารณ์ภาพยนตร์นิตยสาร Los Angeles Free Press ตามด้วย Cinema, เขียนหนังสือ Transcendental Style in Film: Ozu, Bresson, Dreye (1972), พัฒนาบทหนัง The Yakuza (1974) ขายให้ผู้กำกับ Sydney Pollack สนราคา $325,000 เหรียญ, ผลงานเด่นๆ อาทิ Taxi Driver (1976), Raging Bull (1980), กำกับภาพยนตร์ Blue Collar (1978), Hardcore (1979), American Gigolo (1980), Mishima: A Life in Four Chapters (1985) ฯ
สำหรับ The Last Temptation of Christ (1988) ก็ถือเป็น ‘passion project’ ของ Schrader เพราะเขาก็มีพื้นหลังเคร่งศาสนาไม่ต่างจากผกก. Scorsese พัฒนาบทเสร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ด้วยความล่าช้าไม่ได้สร้างสักที เลยพยายามต่อรองว่าถ้าไม่สามารถกำกับ จะลงมือสานต่อโปรเจคนี้ด้วยตนเอง
There was a period about three years ago when it looked like he was faltering. And I made some moves to get it. I notified Marty. I said, ‘I hear that your enthusiasm is waning, and there are some people in Egypt and France that might have some money. If you ever slacken I will walk over your back to get this movie done.’ And he wrote me back this long furious letter and said, ‘You will have to pull the script from my dying hands.’
Paul Schrader กล่าวถึงความล่าช้าของ The Last Temptation of Christ (1988)
I did want to break away from the sound of the old biblical epics, to make the dialogue plainer, more contemporary. That’s mainly what Jay Cocks and I did the last six drafts of the script. We rewrote 80 percent of the dialogue, arguing over every word. Jesus says to Judas, “You have the harder job.” “Job?” Is that the right word, the simplest, the most effective? Make it more immediate, so people have a sense of who these guys were, not out of a book or a painting, but as if they lived and spoke right now. The accents do that too.
Martin Scorsese
เกร็ด: ทีแรกผกก. Scorsese อยากขึ้นเครดิตให้กับทั้งนักเขียนสองคน แต่พอนำไปพูดคุยกับ Writers Guild of America (WGA) ยินยอมให้ขึ้นเครดิตเพียง Paul Schrader (อาจเพราะ Cocks ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆกับเนื้อเรื่องราว) … เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้สร้างความบาดหมายระหว่างผกก. Scorsese กับ Jay Cocks ทั้งสองยังคงร่วมงาน The Age of Innocence (1993), Gangs of New York (2002) และ Silence (2006)
เรื่องราวเริ่มต้นที่ Jesus of Nazareth (รับบทโดย Willem Dafoe) ช่างทำไม้กางเขนอยู่ Judea รู้สึกขัดย้อนแย้งในตนเอง กับแผนการที่พระเจ้าคาดหวังไว้, วันหนึ่ง Judas Iscariot ถูกส่งมาฆ่าปิดปาก Jesus แต่ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายอาจเป็นพระผู้มาไถ่ (Messiah) จึงเรียกร้องขอให้อีกฝ่ายพิสูจน์ตนเอง
จากนั้น Jesus ก็เริ่มออกเดินทาง ให้ความช่วยเหลือโสเภณี Mary Magdalene (รับบทโดย Barbara Hershey), รับการจุ่มศีลจาก John the Baptist (รับบทโดย Andre Gregory), นั่งกลางทะเลทราย ถูกซาตานพยายามล่อลวงให้สูญเสียความเชื่อมั่น, จากนั้นออกเผยแพร่คำสอนศาสนา, แสดงปาฏิหารย์ชุบชีวิต Lazarus จากความตาย, เดินทางสู่ Jerusalem ขับไล่พวกพ่อค้าออกจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ และประกาศจะโค่นล้มจักรวรรดิโรมัน
แต่ทันใดนั้นมือทั้งสองข้างของ Jesus พลันเลือดไหลออกมา นั่นคือลางบอกเหตุ/สัญลักษณ์การเสียชีวิตบนไม้กางเขน นั่นทำให้เกิดอาการหวาดหวั่น เกรงกลัวความตาย หลังพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย โดนทหารโรมันจับกุมตัว ตัดสินโทษประหารชีวิต ระหว่างถูกตรึงบนกางเขน เด็กหญิงคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นเทวดาผู้พิทักษ์ นำพาจิตวิญญาณมุ่งสู่ชีวิตแห่งความสุข แต่งงานกับ Mary Magdalene ตามด้วย Mary และ Martha ใช้ชีวิตจนแก่ชรา จนกระทั่งได้รับการปลุกตื่นโดย Judas Iscariot ตระหนักว่าทุกสิ่งอย่างแค่เพียงความเพ้อฝัน การล่อลวงครั้งสุดท้ายของซาตาน
William James ‘Willem’ Dafoe (เกิดปี 1955) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Appleton, Wisconsin มีพี่น้องแปดคน, ค้นพบความชื่นชอบด้านการแสดงตั้งแต่เด็ก เข้าเรียนสาขาการแสดง University of Wisconsin–Milwaukee แต่แค่ปีเดียวก็ออกมาเข้าร่วมคณะการแสดง Theatre X in Milwaukee พอย้ายมาปักหลัก New York City จึงได้เข้าร่วม The Performance Group, สำหรับภาพยนตร์เริ่มจากบทสมทบ Heaven’s Gate (1979), พระเอกเรื่องแรก The Loveless (1981), โด่งดังจากบทตัวร้าย The Hunger (1986), ตามด้วย Platoon (1986), รับบท Jesus Christ เรื่อง The Last Temptation of Christ (1988), Mississippi Burning (1988) ฯ
โดยปกติแล้ว Jesus Christ ต้องมีความสง่างาม น้ำเสียง-สายตา มีความหนักแน่น แน่วแน่ จริงจัง ท่าทางไม่วอกแวก ลุกรี้ร้อนรน เอ่อล้นด้วยความเชื่อมั่น รับรู้เป้าหมายแท้จริงของตนเอง … แต่ทั้งหมดนี้ไม่ปรากฎอยู่ในตัว Dafoe เต็มไปด้วยความสับสน หวาดกังวล ขาดความเชื่อมั่นใจ ดูเหมือนบุคคลกระทำสิ่งชั่วร้าย ขนาดว่าผกก. Sergio Leone แสดงความคิดเห็น “That is the face of a murderer, not of Our Lord!”
นักแสดงคนแรกที่ผกก. Scorsese อยากให้รับบท Jesus Christ ก็คือ Robert De Niro แต่เจ้าตัวไม่มีความสนใจในภาพยนตร์อิงศาสนา ยกเว้นบอกว่าถ้าหาใครไม่ได้จริงๆก็จะยินยอมตอบตกลง, ต่อมาได้รับการตอบรับจาก Aidan Quinn แต่ก็ขอถอนตัวเมื่อ Paramount ถอนทุนสร้าง, Eric Roberts, Christopher Walken, Ed Harris, สำหรับ Willem Dafoe ขณะนั้นเพิ่งกลับถ่ายทำภาพยนตร์ Off Limits (1988) ในประเทศไทย ได้รับโทรศัพท์ นัดหมายพูดคุย แค่นั้นเอง ไม่ได้มีการออดิชั่นอะไร
So they sent me the script, I read it, I loved it, and I met with him [Scorsese], had a short meeting, we talked and that was basically it. There was no big decision, it couldn’t have been more direct. Of course, I would have done anything in that movie, it’s Scorsese.
Willem Dafoe
การแสดงของ Dafoe มีจุดประสงค์เดียวเท่านั้นคือพยายามทำให้ Jesus Christ ไม่ได้สูงส่ง สมบูรณ์แบบ แต่พบเห็นความเป็นมนุษย์ สามารถแสดงออกทางอารมณ์ ถ้อยคำพูดสนทนาเหมือนบุคคลทั่วไป ทั้งยังอากัปกิริยา สีหน้า ท่วงท่า ขยับเคลื่อนไหวดูวอกแวก ลุกรี้ร้อนรน เหมือนคนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หวาดระแวง ขัดย้อนแย้ง ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และที่หาญกล้าอย่างมากๆก็คือ Sex Scene และเปลือยกายตรึงไม้กางเขน … ถือเป็นบทบาทที่ต้องใช้ร่างกายอย่างมากๆทีเดียว
I have so many memories from filming because it’s vivid in my imagination, still—I can remember very specific scenes and sensations because it was one of the most demanding roles, physically, for me. It was full-on. [The hardest part] was being on the cross. Regardless of your religious upbringing, you have a strong association of what that is, and then when you take it onto your body it’s very powerful.
Harvey Keitel (เกิดปี 1939) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Brooklyn, New York City ในครอบครัวเชื้อสาย Jews อพยพจาก Romania และ Poland, พออายุ 16 อาสาสมัครเป็นทหารเรือ ประจำการอยู่ Lebanon หลังปลดประจำการทำงานนักชวเลขในชั้นศาล (Court Stenographer) นานกว่าสิบปี ก่อนตัดสินใจผันตัวสู่วงการบันเทิง เข้าศึกษาการแสดงจาก HB Studio ลูกศิษย์ของ Stella Adler และ Lee Strasberg, ต่อมาได้รับบทบาทเล็กๆในการแสดง Off-Broadway จากนั้นเข้าทดสอบหน้ากล้องภาพยนตร์เรื่องแรกของ Martin Scorsese ได้รับบทนำ Who’s That Knocking at My Door (1967), แจ้งเกิดกับ Mean Streets (1973), Alice Doesn’t Live Here Anymore (1974), Taxi Driver (1976), The Last Temptation of Christ (1988), Thelma & Louise (1991), Bugsy (1991) ** เข้าชิง Oscar: Best Actor, Reservoir Dogs (1992), Bad Lieutenant (1992), Pulp Fiction (1994)
โดยปกติแล้ว Judas Iscariot หนึ่งในสิบสองอัครทูต (Apostles) เป็นที่รู้จักกันว่าคือผู้ทรยศ ทำการชี้ตัว Jesus Christ ให้ถูกทหารโรมันจับกุม นำสู่การตรึงไม้กางเขน แต่การตีความใหม่ของ The Last Temptation of Christ นำเสนอ Judas คือบุคคลใกล้ชิด สนิทสนม (กว่าอัครทูตอื่นที่แทบจะไร้ตัวตน) คอยให้คำแนะนำ ส่งเสริมสนับสนุน รวมถึงปลุกตื่นจากฝันหวาน เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ซื่อสัตย์ จงรักภักดี มือขวาของ Jesus ไม่เคยคิดคดทรยศหักหลังประการใด!
หลังจากที่ Ray Davies ถอนตัวออกไป, Jeff Bridges เขียนจดหมายโน้มน้าวผกก. Scorsese แสดงความต้องการบทบาทนี้อย่างแรงกล้า แต่สุดท้ายกลับเลือกเพื่อนสนิท/ขาประจำ Harvey Keitel ที่ถูกใครต่อใครตีตราว่าไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่
ผลลัพท์ทำให้ Keitel เข้าชิง Razzi Award: Worst Supporting Actor นี่ต้องโทษความดื้อรั้นของผกก. Scorsese เลือกเอา Jeff Bridges ตั้งแต่แรกก็หมดปัญหา … แต่ก็แสดงให้ถึงความรักพวกต่อพวกพ้องของ Marty ได้เป็นอย่างดี
Barbara Lynn Herzstein (เกิดปี 1948) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Hollywood, California ในครอบครัวเชื้อสาย Jews อพยพจาก Hungary และ Russia ตั้งแต่เด็กมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง พออายุ 17 ได้รับบทสมทบซีรีย์โทรทัศน์ Gidget (1965-66), เมื่อตอนร่วมงานผกก. Martin Scorsese ในภาพยนตร์ Boxcar Bertha (1972) แสดงความคิดเห็นว่า “was the most fun I ever had on a movie”, ผลงานเด่นๆ อาทิ The Stunt Man (1980), Hannah and Her Sisters (1986), Shy People (1987), A World Apart (1988), Beaches (1988), The Last Temptation of Christ (1988), มินิซีรีย์ A Killing in a Small Town (1990), The Portrait of a Lady (1996), Black Swan (2010) ฯ
รับบท Mary Magdalene หนึ่งในผู้ติดตาม สาวกสตรีคนสำคัญที่ Jesus Christ ทรงขับไล่เจ็ดผีออกจากตัวนาง และเป็นบุคคลแรกพบเห็นการฟื้นคืนพระชนม์ชีพ (Resurrection) ในคัมภีร์ไบเบิลไม่เคยกล่าวว่าเธอเป็นโสเภณี จนกระทั่งฉบับ Luke the Evangelist ให้คำอธิบาย ‘sinful woman’ เลยถูกตีความ ภาพจำเสียๆหายๆ เฉกเช่นเดียวกับ The Last Temptation of Christ กลายเป็นคนรักของ Jesus Christ ในความฝันเหมือนจะมีบุตรร่วมกันด้วยนะ
แม้ว่า Hershey จะเคยพยายามล็อบบี้ผกก. Scorsese แต่เธอก็ได้รับบทบาทนี้ผ่านการออดิชั่น เอาชนะคู่แข่งมากมาย อาทิ Vanity, Kim Basinger, Sally Field, Madonna ฯ
ถ่ายภาพโดย Michael Ballhaus (1935-2017) ตากล้องสัญชาติ German เกิดที่ Berlin เป็นบุตรของนักแสดง Lena Hutter กับ Oskar Ballhaus, ช่วงวัยเด็กมีโอกาสเป็นตัวประกอบภาพยนตร์เรื่อง Lola Montès (1955) เกิดความชื่นชอบหลงใหลด้านการถ่ายภาพ เริ่มมีชื่อเสียงจากการร่วมงาน Rainer Werner Fassbinder ตั้งแต่ The Bitter Tears of Petra von Kant (1972), Chinese Roulette (1976), The Marriage of Maria Braun (1978), จากนั่้นโกอินเตอร์กลายเป็นขาประจำ Martin Scorsese อาทิ The Color of Money (1986), The Last Temptation of Christ (1988), Goodfellas (1990), The Age of Innocence (1993), Gangs of New York (2002), The Departed (2006) ฯ
ส่วนใหญ่แล้วภาพยนตร์ของผกก. Scorsese มักคือ ‘city movie’ ถ่ายทำใน New York City ตามท้องถนน ผับบาร์ ห้องครัว ห้องนอน แท็กซี่ สระว่ายน้ำ ฯ ต้องมีผนังกำแพงห้อมล้อมรอบข้าง (ราวกับกรงขัง แต่สร้างความรู้สึกปลอดภัย), ถือเป็นครั้งแรกๆกับ The Last Temptation of Christ (1988) ออกเดินทางไปยังถิ่นทุรกันดาร ทะเลทรายเวิ้งว้างห่างไกล มองออกไปสุดลูกหูลูกตา แต่เต็มไปด้วยภยันตรายรายล้อมรอบข้าง
the landscape of Morocco, just the red of the soil, seemed to be about the blood of Christ.
ทะเลทรายใน Morroco มีความทุรกันดารห่างไกล ไร้สิ่งอำนวยสะดวกใดๆ การเดินทาง/ขนส่งจึงยุ่งยากลำบาก แถมระยะเวลาจำกัด การถ่ายทำเลยต้องเร่งรีบ รวบรัด “We worked in a state of emergency.” แต่ละซีนถ่ายทำได้เพียง 2-3 เทค (เพราะฟีล์มก็มีจำนวนจำกัด) เลยไม่สามารถใส่ลูกเล่น เทคนิคแพรวพราว บ่อยครั้งนักแสดงต้องดั้นสด ‘improvised’ ปรับเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
It was tough, and we all worked really hard, but we did it for Marty because he wanted to make the movie so badly. There was a great atmosphere on the set. Every morning we started rolling with the first light, and we were still shooting when the sun went down.
I originally had around 75 setups planned for the crucifixion scene, but we only had two days to shoot it. When I sat down with Michael to discuss it, he said, ‘You’ve got to start thinking about what your most essential shots are. We can do it if we start exactly as the sun is coming up and if we assign a precise amount of time to each shot. If we find that a shot requires five minutes and we’re still shooting after seven or eight, we’ll have to abandon the shot and move on.’ We blocked out about 45 minutes for the longest shot, and the others ranged from five minutes to 20. Michael based this approach on what he’d done with Fassbinder, and he helped me cut 75 setups down to 50.
I felt like one of my acting partners was Michael Ballhaus. The scene where I’m walking along a lake and I’m attacked? I have a vision and it ends up that I’m hearing voices steps behind me? That’s not done with any wizardry. It’s been worked out that I take three steps forward and the camera passes me and goes to another angle, and once it arrives at a spot I turn back and then walk back two steps, the camera swings right … I danced with the camera a lot in that movie.
Willem Dafoe
ตั้งแต่ที่ Jesus พบเห็นภาพวาดงูดำกอดรัดฟัดกับงูขาว มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งยั่วเย้า ‘Temptation’ หลายต่อหลายครั้งปรากฎงูเห่าสีดำตัวจริงๆ (แต่คงหางูเผือกไม่กระมัง) และมักได้ยินเสียง Mary Magdalene พูดล่อหลอก หยอกเย้า โน้มน้าวให้เสียคน (ถือเป็นหนึ่งในอวตารของซาตาน)
บุรุษมากมายเฝ้ารอคอยใช้บริการโสเภณี Mary Magdalene ผมรู้สึกว่าการเคลื่อนเลื่องกล้องของซีนนี้ แสดงถึงความอยากรู้อยากเห็น ทำไมโชคชะตา/พระเจ้าถึงนำทาง Jesus มายังสถานที่แห่งนี้
Jesus and the other men are not voyeurs. They’re waiting, they’re not really watching. Some of them are playing games; two black guys are talking; Jesus is waiting. Magdala was a major crossroads for caravans, merchants would meet there. And when you were in Magdala, the thing do to was to go see Mary. But the point of the scene was to show the proximity of sexuality to Jesus, the occasion of sin. Jesus must have seen a naked woman—must have. So why couldn’t we show that? And I wanted to show the barbarism of the time, the degradation to Mary. It’s better that the door is open. Better there is no door. The scene isn’t done for titillation; it’s to show the pain on her face, the compassion Jesus has for her as he fights his sexual desire for her. He’s always wanted her.
Jesus สนทนาทางธรรมกับ Jeroboam ยังบริเวณหน้าผาสูงชัญ เกี่ยวกับสรรพเสียงของพระเจ้า พยายามให้คำแนะนำ ชี้นำทางธรรม
โสเภณี Mary Magdalene กำลังถูกห้อมล้อม สาปแช่ง โยนก้อนหิน โดยเธอขดตัวอยู่ตำแหน่งต่ำกว่าผู้ใด (จะสื่อถึงสถานะทางสังคมของโสเภณีก็ได้เช่นกัน) ซึ่งหลังจาก Jesus ท้าทายฝูงชนเหล่านั้น เรียกร้องหาคนบริสุทธิ์ ไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ให้เป็นบุคคลแรกเขวี้ยงขว้างก้อนหินใส่ นั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้น ครั้งแรกของหนังที่เริ่มทำการเผยแพร่คำสอนศาสนา
ตามคัมภีร์ไบเบิล หลังจาก Jesus Christ ทำพิธีจุ่มศีลกับ John the Baptist เดินทางเข้าไปใน Judaean Desert ทรงอดพระกระยาหารเป็นเวลา 40 วัน 40 คืน เพื่อพิสูจน์ศรัทธาต่อพระเจ้า ระหว่างนี้ก็มีปีศาจร้าย/ซาตานปรากฎตัวออกมา ปลอมแปลง จำแลงกาย ทำการท้าทาย ยั่วเย้ายวน สารพัดจะล่อหลอกให้ก้าวออกจากวงกลม มีคำเรียกเหตุการณ์นั้นว่า การทดลองพระเยซู (Temptation of Christ)
ฉากที่สร้างความช็อค! ตกตะลึง คาดไม่ถึงให้กับผู้ชมสมัยนั้น (เป็นแรงบันดาลใจภาพยนตร์ Mother! (2017)) มันไม่มีในไบเบิลเล่มไหนเขียนว่า Jesus Christ เคยแสดงปาฏิหารย์ด้วยการควักหัวใจออกมา (เป็นฉากครุ่นคิดโดยนักเขียน Paul Schrader ไม่ได้มีอยู่ในหนังสือของ Nikos Kazantzakis) แต่หนังต้องการสื่อนัยยะถึงความพร้อมที่จะเสียสละตนเอง ทุ่มเทกายใจเพื่อต่อสู้กับซาตาน/ปีศาจร้าย
Actually, that scene, which was not in the Kazantzakis book, was written by Paul Schrader, a Dutch Calvinist, and it was kind of nudged to me as Catholic. He also wanted to show that the supernatural and the natural exist on the same plane. But we were doing that all along… When we got to do the Sacred Heart scene, here’s what I thought was more important. You have these guys bickering all the time, just like in the Gospels. It’s all there: “I’m the one, I’m the one, I’m gonna sit next to him when the Kingdom of Heaven comes. I’ll be at his right hand.” “No, I’m gonna be at his right hand!” Hysterical stuff! So they’re all bickering, and Judas is being a pain, as usual. And then Jesus shows up, and it’s party solidarity. It’s the Democratic convention, everybody getting together. Unity. And his presence is shining so strong at that moment that they have to be unified behind him. Then again, you could say that the apostles are seeing him just back from the desert, with the light from the campfire, and the music around, and the glow behind his head, just a little touch of DeMille. It could be mass hallucination, mass hypnosis. We don’t know. It’s a symbol to bring them all together—especially Judas, who kisses his feet and says, “Adonai!” All of a sudden Jesus is God? Wait a second! Yes—Judas needs this. So do the others, to be convinced that this is the man.
Martin Scorsese
พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (ผกก. Scorsese จงใจทำออกมาไม่ให้เหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่พยายามจัดองค์ประกอบซีนนี้ให้เหมือนภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci) ในขณะที่ขนมปังถูกส่งต่อด้วยการแพนนิ่ง ไวน์จากเลือดเปลี่ยนมาใช้การตัดต่อ ‘jump cut’ ไปที่ใบหน้าอัครทูตคนอื่นๆ (เหตุผลที่การดื่มไวน์ใช้เทคนิคนี้ เพื่อว่าเมื่อมาถึงบุคคลสุดท้าย Peter สามารถเปลี่ยนมาใช้เลือดจริง)
That’s the miracle of transubstantiation. And in a movie you have to see it. Blood is very important in the Church. Blood is the life force, the essence, the sacrifice. And in a movie you have to see it. In practically every culture, human sacrifice is very important, very widespread.
Martin Scorsese
David Bowie ใช้เวลาถ่ายทำเพียงสองวัน รับบทบาท Pontius Pilate ผู้ปกครองแคว้น Judaea แห่งจักรวรรดิ Roman Empire ในรัชสมัย Emperor Tiberius, และคือบุคคลผู้สั่งประหารชีวิต Jesus Christ ด้วยการตรึงกางขน
ช่วงแรกๆ Jesus อาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่ากับ Mary Magdalene หลังจากรักษาบาดแผล ร่วมรักกันอย่างโจ๋งครึ่ม ก่อนที่เธอจากไปเพราะได้รับแสงสว่างเจิดจรัสจร้า (น่าจะพระเจ้าไม่พึงพอใจที่พระบุตรแต่งงานกับโสเภณี)
ต่อมา Jesus ทำการควบสองกับคู่แม่ลูก Martha และ Mary of Bethany ไม่สนคำสอนเรื่องผัวเดียวเมียเดียว ซาตานมอบให้ใครก็ได้เอาหมด ขอแค่เพียงมีความสุข ตอบสนองความพึงพอใจ ตกนรกก็ไม่เห็นเป็นไร
I don’t know that it’s adultery. It might have been polygamy. There is some evidence of a Hebrew law at the time regarding polygamy for the sake of propagation of the race. But remember again, this is the Devil doing fancy footwork. You can have whatever you want. And look, I’m sorry about what happened to Mary Magdalene. Really sorry, won’t happen again. In fact, this time, take two! You need more than one—take two!
Martin Scorsese
Harry Dean Stanton รับบท Saul/Paul of Tarsus (หรือก็คือนักบุญ Paul) เดินทางมาเผยแพร่ศาสนา โดยอ้างว่าภายหลัง Jesus Christ สิ้นพระชมน์จากการตรึงกางเขน สามารถฟื้นคืนชีพ เดินทางกลับสู่สรวงสวรรค์ แต่นั่น(ในบริบทของหนังที่อยู่ในความฝัน/ภาพลวงตาของซาตาน)เป็นเพียงคำโป้ปด หลอกลวง สร้างขึ้นมาเพียงเพื่อให้มนุษย์มีกำลังใจต่อสู้ชีวิต … เพราะ Jesus Christ ตัวจริงกำลังใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญอยู่แถวๆนี้
นี่ถือเป็นประเด็นคำถามน่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวคริสต์ Jesus Christ ฟื้นคืนชีพจริงหรือไม่? พานผ่านมาสองพันกว่าปี ย่อมไม่มีใครสามารถพิสูจน์อะไรได้ ศาสนาที่อ้างเรื่องความเชื่อก็งมงายกันไป
คัมภีร์ไบเบิ้ลแต่ละ Gospel มีการบันทึกคำพูดสุดท้ายบนไม้กางเขนของ Jesus Christ แตกต่างกันออกไป
ฉบับของ Matthew และ Mark แปลได้ว่า “My God, my God, why have you forsaken me?” (Matthew 27:46, Mark 15:34)
ฉบับของ Luke คือ “Father, into your hands I commit my spirit” (Luke 23:46)
ฉบับของ John กล่าวว่า “It is finished” (John 19:30)
ตอนจบของหนังนำคำพูดสุดท้ายจาก Gospel of John ซึ่งภาษากรีกต้นฉบับ τετέλεσται (Tetelestai) สามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้หลากหลายความหมาย เห็นว่าผกก. Scorsese ถ่ายทำไว้สามแบบ แล้วค่อยมาตัดสินใจเลือกเอาภายหลัง ถ้อยคำสามารถเติมเต็มความรู้สึกสำเร็จลุล่วงได้เหมาะสม ลงตัวที่สุด
Very hard to translate and get the power and the meaning. “It is finished.” “It is completed.” “It’s over.” Can’t use that—too Roy Orbison. What was the translation we were taught in Catholic school? “It is consummated.” The Kazantzakis book used “It is accomplished.” Because Jesus had accomplished a task, accomplished a goal. I shot three different versions. What I wanted was a sense of Jesus at the end of the temptation begging his Father, “Please, if it isn’t too late, if the train hasn’t left, please, can I get back on, I wanna get on!” And now he’s made it back on the cross and he’s sort of jumping up and down saying, “We did it! We did it! I thought for one second I wasn’t gonna make it—but I did it I did it I did it!”
Martin Scorsese
หลังจาก Jesus Christ ตรัสคำพูดสุดท้าย “It is accomplished!” ก่อนปรากฎ Closing Credit ราวกับว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (Holy Spirit) ได้แปรสภาพเป็นเฉดสีสันที่มีความละลานตา (นี่เป็นความจงใจอย่างแน่นอนนะครับ) ดูราวกับภาพถ่าย Abstract หรืออาจจะตีความถึงสรวงสวรรค์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ตัดต่อโดย Thelma Schoonmaker (เกิดปี 1940) ขาประจำผกก. Martin Scorsese คว้าสามรางวัล Oscar: Best Film Edited จากภาพยนตร์ Raging Bull (1980), The Aviator (2004) และ The Departed (2006)
The footage wasn’t even developed yet because there were no labs over there at that point… It was quite moving for me because the landscape of Morocco, just the red of the soil, seemed to be about the blood of Christ that is so important in the movie. I started crying in dailies. That hardly ever happens… And I wasn’t the only person crying in dailies; his development person was also crying. Finally I said, ‘No, no it’s very beautiful.’
Thelma Schoonmaker
เพลงประกอบโดย Peter Brian Gabriel (เกิดปี 1950) นักร้อง/แต่งเพลง สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Chobham, Surrey ตั้งแต่เด็กมีความสามารถด้านการร้องเพลง แต่เลือกเรียนเปียโนจากมารดา ต่อมายังค้นพบความชื่นชอบเล่นกลอง แต่งเพลงแรกตอนอายุ 12 รวมกลุ่มกับเพื่อนก่อตั้งวง Garden Wall เล่นตามงานโรงเรียน ขึ้นแสดงยัง Charterhouse ที่นั่นทำให้ได้รับรู้จักผู้คนมากมาย ร่วมกันก่อตั้งวงใหม่ Genesis ขับร้อง แต่งเพลง ออกอัลบัมแรก From Genesis to Revelation (1968) แนว Psychedelic Pop ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่, แต่หลังจากลองผิดลองถูก อัลบัมที่สาม Selling England by the Pound (1973) แนว Progressive Rock ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม, ต่อมาแยกตัวทำอัลบัมเดี่ยว เพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ Birdy (1984), The Last Temptation of Christ (1988), Rabbit-Proof Fence (2002) ฯ
แม้ว่า Gabriel จะโด่งดังจาก Progressive Rock แต่เพลงประกอบ The Last Temptation of Christ (1988) [รวมอยู่ในอัลบัม Passion (1989)] ได้ทำการผสมผสานเครื่องดนตรีคลาสสิกยุโรป, พื้นบ้านแอฟริกัน, ตะวันออกกลาง (อาทิ Surdo, Tabla, Doudouk, Arghul, Duduk, Ney, Tanbur, Kamancheh ฯลฯ) ทำออกมาในสไตล์ Worldbeat หรือ New Age มีความร่วมสมัยและขัดย้อนแย้งภายใน เต็มไปด้วยความลึกลับ ราวกับต้องมนต์ มอบสัมผัสเหนือกาลเวลา ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
Martin wanted to present the struggle between the humanity and divinity of Christ in a powerful and original way. The Last Temptation of Christ was to create something that had references to that time and that part of the world, but that had its own character and was to be timeless in a way.
Peter Gabriel
หลายคนอาจรู้สึกว่าบทเพลงประกอบไม่ได้มีความเข้ากับหนัง เพราะฟังดูโมเดิร์น ล้ำยุคสมัย ไม่ได้มีความเป็น ‘Historical Period’ แต่มันมีความจำเป็นที่ผู้สร้างต้องทำตามกฎกรอบเช่นนั้นจริงๆนะหรือ The Last Temptation of Christ (1988) คือภาพยนตร์ที่มีความเป็นส่วนตัวของผกก. Scorsese เช่นนั้นแล้วการเลือกใช้บทเพลงร่วมสมัย มันไปหนักหัวใคร???
แซว: เหมือนว่า Hans Zimmer จะได้รับอิทธิพลเพลงประกอบนี้ นำไปปรับใช้กับ Dune (2021) อยู่ไม่น้อยเลยนะ!
หนึ่งในไฮไลท์ของหนังคือ Passion ดังขึ้นระหว่าง Jesus Christ กำลังแบกลากไม้กางเขน เตรียมรับโทษประหารชีวิต เสียงกรีดร้องโหยหวนของบทเพลง แทนความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน หวาดกลัวเกรงความตาย หายนะกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ทำไมฉันต้องทำสิ่งนี้ เสียสละชีพเพื่อผู้อื่น เต็มไปด้วยความรู้สึกขัดย้อนแย้งภายใน … เป็นบทเพลงกลิ่นอาย New Age มีความสั่นสะท้าน สะท้อนความสิ้นหวังทรวงใน
It Is Accomplished ใช้เสียงกลอง คีย์บอร์ด กีตาร์ไฟฟ้า เครื่องดนตรีสังเคราะห์เสียง ฯ มอบสัมผัสดนตรีแห่งอนาคต การเสียสละของ Jesus Christ ในฐานะพระผู้มาไถ่ (Messiah) ได้สร้างโอกาสและความหวังให้กับมนุษยชาติ มาจนถึงกาลปัจจุบัน … และอนาคตสืบต่อไป
เกร็ด: ในส่วนของเพลงประกอบ แม้ถูก SNUB จาก Oscar ยังได้เข้าชิง Golden Globe: Best Original Score และคว้ารางวัล Grammy Award: Best New Age Album ยอดขายอัลบัม Passion (1989) ระดับ Gold (เกินกว่า 500,000 ก็อปปี้ในสหรัฐอเมริกา)
“Jesus is both fully God and fully man.” คนที่เป็นชาวคริสเตียน ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ย่อมต้องตระหนักถึงข้อสรุปดังกล่าว ร่างกายถือกำเนิดจากเลือดเนื้อของพระนางมารีย์ ด้วยจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (Holy Spirit) ของพระบิดา เฉกเช่นนั้นแล้ว The Last Temptation of Christ ที่พยายามนำเสนอความเป็นมนุษย์ของ Jesus Christ มันผิดอะไร? หมิ่นศาสนาตรงไหน?
For if the dead rise not, then is not Christ raised: And if Christ be not raised, your faith is vain; ye are yet in your sins. Then they also which are fallen asleep in Christ are perished.
1 Corinthians 15:16-18
เฉกเช่นเดียวกับในคัมภีร์ไบเบิล พันธสัญญาใหม่ (New Testament) หมวดจดหมายของนักบุญเปาโล (Pauline epistles) จดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 (First Epistle to the Corinthians หรือชื่อย่อ 1 Corinthians) มีข้อความในเชิงตั้งคำถาม ถ้า Jesus Christ ไม่ฟื้นคืนพระชนม์ชีพ (Resurrection) ศาสนาคริสต์คงสิ้นสุดลงโดยพลัน … นี่เช่นกันย่อมไม่ใช่การดูหมิ่นศาสนา แต่ชักชวนให้ชาวคริสเตียนรู้จักครุ่นคิด ทำความเข้าใจมุมมองเป็นไปได้อื่นๆ
ฉันท์ใดฉันท์นั้น ทั้งการพยายามสร้างความเป็นมนุษย์ รวมถึงสารพัดคำถาม/ตีความเรื่องราวชีวิต Jesus Christ ในอีกมุมมองใหม่ของนักเขียน Nikos Kazantzakis และผกก. Martin Scorsese มันจึงหาใช่สิ่งที่ชาวคริสเตียนด้วยกันจะดูหมิ่น หยามเหยียด ตำหนิต่อว่า เอาความรู้สึกส่วนตนเป็นที่ตั้ง ถามตัวเองว่าเคยศึกษาเรียนรู้พระคัมภีร์อย่างจริงจังหรือเปล่า ถึงกล้าแสดงความคิดเห็นออกมาเช่นนั้น?
My whole life has been movies and religion. That’s it. Nothing else.
I was driven to make ‘Last Temptation’ because I wanted to look at questions of faith and penance and redemption within the context of the world right now, with all the formalities stripped away. I’m constantly exploring this question in my pictures and in my life.
I was trying to start a dialogue. I didn’t want to just make a picture for people who were secure in their faith. Christ’s teachings are about all of us—the secure and the insecure, the powerful and the powerless, the down and out, the addicts, the people in real pain, the people caught in states of delusion, the ones who feel absolutely hopeless and see no possibility of grace or redemption. Because the afflictions of “the least among us,” as Jesus said, the inner circumstances that lead to their fall, are in everyone. I wanted to make a picture about a historical figure named Jesus, a spiritual guide, but also… a human being, surrounded by other recognizable human beings, as opposed to wax figures.
“It is accomplished!” ไม่ใช่ประโยคคำพูดจริงๆของ Jesus Christ หรือนำจากหนังสือของ Nikos Kazantzakis แต่คือผกก. Scorsese เมื่อเสร็จสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ราวกับภารกิจของตนเองได้ดำเนินเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด สำเร็จลุล่วงเสียที! ถ้าต้องตายหลังจากนี้ ไม่มีอะไรให้สูญเสียใจอีกต่อไป
ในบรรดาภาพยนตร์ชีวประวัติ Jesus Christ ผมยังคงครุ่นคิดเห็นว่า The Gospel According to St. Matthew (1964) ของผกก. Pier Paolo Pasolini ยืนหนึ่งในความเป็นกลาง ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาไหนก็สามารถชื่นเชยชมได้ เข้าถึงความเป็น’มหาบุรุษ’อย่างแท้จริง (ที่ไม่ใช่ยัดเยียดคำสอน ความเชื่อศรัทธาต่อพระเจ้า)
คำโปรย | The Last Temptation of Christ ระบายความสับสน กระวนกระวาย อึดอัดอั้นภายในจิตใจผู้กำกับ Martin Scorsese บรรลุเป้าหมาย สำเร็จลุล่วงเสียที คุณภาพ | เย้ายวนใจ ส่วนตัว | บิดๆเบี้ยวๆ
Éric Rohmer ชื่อเกิด Jean Marie Maurice Schérer หรือ Maurice Henri Joseph Schérer (1920-2010) นักเขียน นักวิจารณ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Nancy (บ้างก็ว่า Tulle), Meurthe-et-Moselle ในครอบครัวคาทอลิก (แต่เจ้าตัวบอกว่าเป็นอเทวนิยม) โตขึ้นร่ำเรียนประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ปรัชญา และศาสนศาสตร์
ปล. Éric Rohmer เป็นคนไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัว อย่างชื่อจริงและสถานที่เกิด จงใจบอกกับนักข่าวถูกๆผิดๆ ขณะที่ชื่อในวงการเป็นส่วนผสมระหว่างผกก. Erich von Stroheim และนักเขียน Sax Rohmer (ผู้แต่ง Fu Manchu)
หลังเรียนจบ Rohmer ทำงานครูสอนหนังสือที่ Clermont-Ferrand พอสิ้นสุดสงครามโลกตัดสินใจย้ายสู่กรุง Paris กลายเป็นนักข่าวฟรีแลนซ์ ตีพิมพ์นวนิยาย Les Vacances (1946) ระหว่างนั้นเองเรียนรู้จักภาพยนตร์จาก Cinémathèque Française สนิทสนม Jean-Luc Godard, François Truffaut, Claude Chabrol, Jacques Rivette, จากนั้นเข้าร่วมนิตยสาร Cahiers du Cinéma, โด่งดังจากบทความ Le Celluloïd et le marbre (1955) แปลว่า Celluloid and Marble ทำการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างภาพยนตร์กับศิลปะแขนงอื่น, นอกจากนี้ยังร่วมกับ Chabrol เขียนหนังสือ Hitchcock (1957) เกี่ยวกับศาสตร์ภาพยนตร์เล่มแรกๆที่ทำให้ผู้อ่านตระหนักว่า สื่อชนิดนี้ไม่ได้แค่ความบันเทิงเท่านั้น
Rohmer เริ่มสรรค์สร้างหนังสั้น Journal d’un scélérat (1950), จากนั้นเขียนบท/ร่วมกำกับหนังสั้นกับ Jean-Luc Godard อยู่หลายเรื่อง, จนกระทั่งภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Le Signe du lion (1959) แม้ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผลงานยุคแรกๆของ French New Wave
สำหรับ Contes Moraux หรือ (Six) Moral Tales ได้แรงบันดาลใจจากโคตรหนังเงียบ Sunrise: A Song of Two Humans (1927) ของปรมาจารย์ผู้กำกับ F. W. Murnau ที่มีเรื่องราวชายหนุ่มแต่งงานครองรักภรรยา แต่แล้วถูกเกี้ยวพาราสีจากหญิงสาวอีกคนจนหลงผิด พอถูกจับได้ก็พยายามงอนง้อขอคืนดี ก่อนจบลงอย่างสุขี Happy Ending
[these stories’ characters] like to bring their motives, the reasons for their actions, into the open, they try to analyze, they are not people who act without thinking about what they are doing. What matters is what they think about their behavior, rather than their behavior itself.
a moraliste is someone who is interested in the description of what goes on inside man. He’s concerned with states of mind and feelings. I was determined to be inflexible and intractable, because if you persist in an idea it seems to me that in the end you do secure a following.
ช่วงระหว่างปี 1964-66, ผกก. Rohmer เป็นมือปืนรับจ้างถ่ายทำสารคดีขนาดสั้น En profil dans le texte (แปลว่า In profile in the text) จำนวน 14 เรื่องให้กับ Office de Radiodiffusion Télévision Française (ORTF) และ Télévision Scolaire หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์การศึกษา (Educational Films) ชื่อว่า l’Entretien sur Pascal (แปลว่า The interview on Pascal) เกี่ยวกับ Blaise Pascal (1623-62) นักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักประดิษฐ์ นักปรัชญาผู้เคร่งครัดศาสนาคริสต์
ความตั้งใจของผกก. Rohmer ต้องการให้ My Night at Maud’s (1969) คือเรื่องราวลำดับที่สามของ ‘Six Moral Tales’ ต่อจาก The Bakery Girl of Monceau (1963) และ Suzanne’s Career (1963) แต่ติดขัดนักแสดงนำ Jean-Louis Trintignant คิวงานช่วงปลายปีนี้ไม่ว่าง ก็เลยจำต้องเลื่อนแผนการเป็นปีถัดไป (ตั้งใจจะถ่ายช่วงคริสต์มาส และมีหิมะตกให้จงได้!)
เพราะคิวงานที่ว่างลงนั้นเอง ผกก. Rohmer เลยครุ่นคิดพัฒนาโปรเจคถัดไป La Collectionneuse (1967) กำหนดให้คือเรื่องราวลำดับที่สี่ของ ‘Six Moral Tales’ แต่สร้างเสร็จสิ้น ออกฉายก่อนซะงั้น!
Jean-Louis Xavier Trintignant (1930-2022) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Piolenc, Vaucluse บิดาเป็นเจ้าของกิจการอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง คาดหวังบุตรชายโตขึ้นกลายเป็นนักกฎหมาย แต่ภายหลังค้นพบความสนใจด้านการแสดง อพยพย้ายสู่ Paris เริ่มต้นมีผลงานละครเวที โด่งดังทันทีจากภาพยนตร์ And God Created Woman (1956), ผลงานเด่นๆ อาทิ Il Sorpasso (1962), A Man and a Woman (1966), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ The Great Silence (1966), The Man Who Lies (1968), Z (1969), My Night at Maud’s (1969), The Conformist (1970), Confidentially Yours (1983), Three Colors: Red (1994), Amour (2012) ฯลฯ
Françoise Fabian ชื่อจริง Michèle Cortes De Leon y Fabianera (เกิดปี 1933) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Algiers, French Algeria วัยเด็กมีความชื่นชอบเปียโนและฮาร์โมนิก้า พออพยพย้ายกลับฝรั่งเศสช่วงต้นทศวรรษ 50s เข้าศึกษาการแสดงยัง Conservatoire national supérieur d’art dramatique (CNSAD) มีโอกาสพบเจอ Jean-Paul Belmondo และ Jean-Pierre Marielle จากนั้นกลายเป็นนักแสดงละครเวที ผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ The Thief of Paris (1967), My Night at Maud’s (1969), Belle de Jour (1967), Out 1 (1971), Happy New Year (1973) ฯลฯ
ถ่ายภาพโดย Néstor Almendros Cuyás (1930-92) ตากล้องสัญชาติ Spanish เกิดที่ Barcelona แล้วหลบลี้หนีภัย (จากจอมพล Francisco Franco) มาอาศัยอยู่ประเทศ Cuba จากนั้นไปร่ำเรียนการถ่ายภาพยังกรุงโรม Centro Sperimentale di Cinematografia, หวนกลับมาถ่ายทำสารคดี Cuba Revolution (1959) พอถูกแบนห้ามฉายก็มุ่งสู่ Paris กลายเป็นขาประจำผู้กำกับรุ่น French New Wave ร่วมงานขาประจำ Éric Rohmer และ François Truffaut ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Days of Heaven (1978) ** คว้า Oscar: Best Cinematography, Kramer vs. Kramer (1979), The Blue Lagoon (1980), Sophie’s Choice (1982) ฯ
ตั้งแต่ที่ Almendros อพยพย้ายสู่ฝรั่งเศส ก็มีโอกาสถ่ายทำสารคดีฉายโทรทัศน์ของผกก. Rohmer เกิดความประทับใจในวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะการถ่ายแสงธรรมชาติออกมาได้อย่างสวยสดงดงาม ไม่ย่อหย่อนไปว่า Raoul Coutard เลยชักชวนมาเป็นตากล้องภาพยนตร์ตั้งแต่ La Collectionneuse (1967), My Night at Maud’s (1969), Claire’s Knee (1970), Love in the Afternoon (1972) ฯลฯ
Some people think Rohmer is in league with the devil. Months before, he had scheduled the exact date for shooting the scene when it snows; that day, right on time, it snowed, and the snow lasted all day long, not just a few minutes. It is not just a question of luck; the key lies in Rohmer’s detailed preparation.
แซว: แม้หนังถ่ายทำยังสถานที่จริง Clermont-Ferrand แทบทั้งหมด แต่ห้องพักของ Maud กลับถ่ายทำในสตูดิโอที่ Rue Mouffetard, กรุง Paris
วิหารแห่งนี้คือ Basilica of Notre-Dame du Port ประจำเมือง Clermont-Ferrand, Puy-de-Dôme ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรม Romanesque สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11th-12th แล้วมีการต่อเติมโน่นนี่นั่น บูรณะนับครั้งไม่ถ้วน จนได้รับเลือกเป็นมรดกโลก UNESCO World Heritage เมื่อปี 1998
เกร็ด: วิหารแรกสุดสร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 6th โดย Saint Avitus ผู้เป็น Bishop of Clermont แต่ต่อมาถูกเผาทำลายโดยพวก Normans ในช่วงศตวรรษที่ 10th
ใครที่เคยรับชมผลงานของบรรดาผู้กำกับรุ่น French New Wave ในช่วงต้นทศวรรษ 60s น่าจะมักคุ้นสไตล์ลายเซ็นต์ แบกกล้อง ออกไปถ่ายทำบนท้องถนน บันทึกภาพผู้คน ตึกรามบ้านช่อง ซึ่งเหตุผลที่ผกก. Rohmer ต้องการถ่ายทำหนังในช่วงคริสต์มาสจริงๆ ก็เพื่อรายละเอียดเล็กๆอย่างการประดับตกแต่งสถานที่ให้เข้ากับเทศกาล ระหว่างฉากขับรถขณะนี้ พบเห็นบรรยากาศสองข้างทาง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายดาวประดับฉากสักดวงเดียว!
กาลเวลาได้ทำผลงานของบรรดาผู้กำกับรุ่น French New Wave ทรงคุณค่ามากๆ เพราะคือการเก็บบันทึกภาพแห่งประวัติศาสตร์ ‘Time Capsule’ ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นเชยชม
ผมลองค้นหาข้อมูลเล่นๆว่าชื่อร้านอาหาร Le Suffren มีความหมายว่าอะไร? (v.) be enough, be sufficient, รู้สึกเพียงพอดีในตนเอง มันช่างเป็นชื่อร้านที่พอเหมาะพอเจาะกับตัวละคร Jean-Louis เสียจริง!
ปล. ร้านอาหารแห่งนี้ Le Suffren Bar ปัจจุบันปิดกิจการไปแล้วนะครับ
Portrait of Paul Picasso as a Child (1923) ภาพวาดบุตรชายของ Pablo Picasso ด้วยลักษณะของ Neoclassicism ซึ่งแลดูคล้ายๆ Françoise เหมือนมีบางสิ่งอย่างลับลมคมใน ที่ถูกปกปิดซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้า (หรือก็คือเพิ่งพานผ่านความสัมพันธ์กับชายแต่งงานแล้ว)
หนังถือว่าไม่มีบทเพลงประกอบ ทั้งหมดได้ยินคือ ‘diegetic music’ ดังขึ้นจากแหล่งกำเนิดเสียง ร้านอาหาร และการแสดงดูโอ้เปียโน-ไวโอลิน บทเพลง Mozart: Sonata for Piano and Violin in B flat, K.378 มีทั้งหมด 3 ท่อน แต่ได้ยินเพียง I. Allegro Moderato
ผู้ทำการแสดงคือ Leonid Borisovich Kogan (1924-82) นักไวโอลินชาวรัสเซีย ได้รับการยกย่อง ‘greatest violinists of the 20th century’ เท่าที่ผมลองหาฟังหลายๆบทเพลง ฝีไม้ลายมือสามารถเทียบชั้น Jascha Heifetz หรือ David Oistrakh แต่เพราะปักหลักใช้ชีวิตในรัสเซีย (ยุคของสหภาพโซเวียต/สงครามเย็น) เลยไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติสักเท่าไหร่
แต่ My Night at Maud’s (1969) ก็มีความแตกต่างจาก The Bakery Girl of Monceau (1963) ตรงที่ Jean-Louis ไม่ได้ก้าวล้ำอะไรใดๆต่อ Maud แถมยังสร้างกำแพงหนาเตอะขึ้นมาปกป้องตนเอง นั่นทำให้ฝ่ายหญิงรับล่วงรู้ตั้งแต่แรกๆแล้วว่าเขาอาจมีบุคคลชื่นชอบอยู่ จึงไม่บังเกิดความคาดหวังแล้วผิดหวัง กลายเป็นเรื่องราวมิตรแท้ รักบริสุทธิ์ จากกันด้วยความทรงจำที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรใดๆ
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes เสียงตอบรับดียอดเยี่ยมมากๆ น่าเสียดายที่ประธานกรรมการปีนั้น Luchino Visconti ไม่ได้มอบรางวัลอะไรติดไม้ติดมือกลับมา ถึงอย่างนั้นยังได้รับเลือกเป็นตัวแทนฝรั่งเศสเข้าชิง Oscar: Best Foreign Language Film (เมื่อปี 1970) และปีถัดมาเมื่อเข้าฉายในสหรัฐอเมริกา ยังได้เข้าชิงอีกสาขา Best Original Screenplay (เมื่อปี 1971)
(สำหรับคนที่สงสัยว่าทำไมหนังได้เข้าชิง Oscar สองปีซ้อน นั่นเพราะสมัยก่อนสาขา Best Foreign Language Film จะนับช่วงเวลาที่เข้าฉายในประเทศนั้นๆปีนั้นๆ แต่สาขาอื่นๆจะนับจากเมื่อเข้าฉายใน ‘สหรัฐอเมริกา’ มันเลยเกิดกรณีที่ถ้าเข้าฉายในอเมริกาล่าช้าเป็นปีๆ จะมีโอกาสได้เข้าชิงถึงสองครั้ง)
Mother Joan of the Angels (1961) : Jerzy Kawalerowicz ♥♥♥♥
ไม่ว่าแม่อธิการ Joan of the Angels จะถูกซาตานเข้าสิงหรือไม่? ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามท้าทายความเชื่อศรัทธาชาวคริสต์ เมื่อต้องเผชิญหน้าสิ่งชั่วร้ายบุกรุกรานเข้ามาในจิตใจ เราควรโอบกอดยินยอมรับ หรือขับไล่ผลักไสออกห่างไกล
ภาคต่อที่สร้างก่อนหน้า The Devils (1971) ของผู้กำกับ Ken Russell นำเสนอเหตุการณ์ 4 ปีให้หลังจากบาทหลวง Urbain Grandier ถูกตัดสินโทษด้วยการแผดเผามอดไหม้ ตกตายทั้งเป็นในกองไฟ สาเหตุเพราะแม่อธิการ Sister Jeanne des Anges (หรือก็คือ Mother Joan of the Angels) ทั้งๆไม่เคยพบเจอหน้า กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี แสร้งว่าโดนมนต์ดำ ปีศาจเข้าสิง ให้แสดงพฤติกรรมเต็มไปด้วยความคลุ้มบ้าคลั่ง
เรื่องราวของ Mother Joan of the Angels (1961) ยังคงเป็นช่วงเวลาที่แม่อธิการ Mother Joan ประเดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ แต่ผมรู้สึกว่าหนังพยายามทำเหมือนเธอถูกปีศาจเข้าสิงจริงๆ เพื่อให้อิสระผู้ชมในการขบครุ่นคิดตีความ บาทหลวงคนใหม่จะเผชิญหน้ากับซาตานที่เข้ามารุกรานตนเองเช่นไร?
รับชมหนังทั้งสองเรื่องติดต่อกันทำเอาผมเกือบจะคลุ้มคลั่ง! ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน เพราะดันดู The Devils ก่อน Mother Joan of the Angels (เห็นว่ามีลักษณะเป็นภาคต่อก็เลยทำเช่นนั้น) แม้เหตุการณ์ดำเนินต่อกัน แต่มันก็ไม่มีความจำเป็นเช่นนั้นเลยสักนิด เพราะทั้งสองเรื่องมีไดเรคชั่นของผู้กำกับที่แตกต่างขั้วตรงกันข้าม
The Devils (1971) คือโคตรผลงานเหนือจริง เว่อวังอลังการงานสร้าง เต็มไปด้วยความคลุ้มบ้าคลั่ง นัยยะเชิงสัญลักษณ์จักทำให้ผู้ชมแทบสูญเสียสติแตก
ผู้กำกับ Ken Russell เป็นบุคคลผู้มีความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้า ไม่ได้แฝงนัยยะต่อต้านศาสนาเลยสักนิด! (แต่คนมักเข้าใจผิดๆจากการมองเนื้อหน้าหนัง)
Mother Joan of the Angels (1961) มีความเรียบง่าย สงบงาม ใช้ทุนต่ำ นำเสนอในลักษณะ Minimalist สร้างความสยิวกาย สั่นสะท้านทรวงใน
ผู้กำกับ Jerzy Kawalerowicz เต็มไปด้วยอคติต่อคริสตจักรในประเทศ Poland จึงตั้งคำถามถึงการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนา โดยเฉพาะเรื่องของความรัก ระหว่างบาทหลวงกับแม่ชีทำไมถึงถูกตีตราว่าสิ่งต้องห้าม?
ผมอยากแนะนำให้หารับชม Mother Joan of the Angels (1961) แล้วค่อยติดตามด้วย The Devils (1971) น่าจะทำให้คุณสามารถปรับอารมณ์ จากสงบงามสู่คลุ้มบ้าคลั่ง! และอาจทำให้ตระหนักถึงศักยภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องอย่างเท่าเทียมกัน
Jerzy Franciszek Kawalerowicz (1922-2007) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Polish เกิดที่ Gwoździec, Poland (ปัจจุบันคือ Hvizdets, Ukraine) ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บ้านเกิดถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียต จึงอพยพมาอยู่ยัง Kraków จากนั้นได้เข้าเรียนวิชาภาพยนตร์ Jana Matejki w Krakowie กลายเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Zakazane piosenki (1947), ฉายเดี่ยวเรื่องแรก The Village Mill (1952), ผลงานเด่นๆ อาทิ Shadow (1956), Night Train (1959), Mother Joan of the Angels (1961), Pharoah (1966), Death of a President (1977) ฯ
สำหรับ Matka Joanna od Aniołów ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของ Jarosław Iwaszkiewicz (1894-1980) นักเขียนชาว Polish ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Nobel Prize สาขาวรรณกรรม ถึงสี่ครั้ง! โดยมีเรื่องราวอ้างอิงถึงเหตุการณ์ ‘Loudun possessions’ ในช่วงศตวรรษที่ 17th แต่เปลี่ยนพื้นหลังจากเมือง Loudun ของฝรั่งเศส มาเป็นเมือง Ludyń (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Ukrane)
เกร็ด: Jarosław Iwaszkiewicz เขียนเรื่องสั้น Matka Joanna od Aniołów แล้วเสร็จตั้งแต่ปี 1942 แต่ไม่สามารถตีพิมพ์เพราะอยู่ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งหลังจากนั้นก็ถูกนำมารวมกับเรื่องสั้นอื่นๆกลายเป็นหนังสือ Nowa miłość i inne opowiadania (แปลว่า New Love and Other Stories) วางขายปี 1946
สังเกตจากช่วงเวลาที่ Iwaszkiewicz เขียนเรื่องสั้น Matka Joanna od Aniołów ทำให้ผมตระหนักว่าผลงานเรื่องนี้อาจต้องการสะท้อนความรู้สึกเก็บกดดัน อึดอัดอั้น ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเราสามารถเปรียบเทียบแม่อธิการ Mother Joan ก็คือพวกผู้นำประเทศบ้าสงครามเหล่านั้น ไม่รู้ถูกปีศาจร้ายเข้าสิงหรือไร
ผู้กำกับ Kawalerowicz ดัดแปลงบทร่วมกับ Tadeusz Konwicki (1926-2015) นักเขียนนวนิยาย ที่ต่อมาผันตัวมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ดังๆอย่าง The Last Day of Summer (1958), All Souls’ Day (1961), Salto (1965) ฯลฯ ทั้งสองมีโอกาสร่วมงานทั้งหมดสามครั้ง Mother Joan of the Angels (1961), Pharaoh (1966) และ Austeria (1982)
เรื่องราวของบาทหลวง Józef Suryn (รับบทโดย Mieczyslaw Voit) ได้รับมอบหมายให้เดินทางมาสืบสวนเหตุการณ์ ‘ปีศาจเข้าสิง’ อารามชีของ Mother Joan (Lucyna Winnicka) ที่ถึงขนาดทำให้บาทหลวงคนเก่า Father Garniec (หรือก็คือบาทหลวง Urbain Grandier จาก The Devils (1971)) ต้องถูกแผดเผาไหม้ตกตายทั้งเป็น (ข้อหาพยายามใช้กำลังลวนลาม/ข่มขืนแม่อธิการในอารามชี)
หลังจากบาทหลวง Józef Suryn ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด จึงติดต่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการไล่ผี มาช่วยขับไล่ปีศาจร้ายทั้ง 8 ตน แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่สำเร็จ เพราะ Mother Joan ยังคงเล่นหูเล่นตา แสดงความยั่วเย้ายวน เกี้ยวพาราสี โน้มน้าวให้เขากระทำตามสิ่งที่ตนร้องขอ
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บาทหลวง Józef Suryn เกิดความสับสน จิตใจเรรวนปรวนแปร เกิดความลุ่มร้อนทรวงใน ครุ่นคิดไปว่าตนเองกำลังถูกปีศาจร้ายเข้าสิง แต่แท้จริงคือเขาตกหลุมรัก Mother Joan เลยต้องตัดสินใจเลือกระหว่างยินยอมรับความรู้สึกดังกล่าว หรือหาหนทางขับไล่ ผลักไสส่ง ตีตนออกให้ห่างไกล
Kazimierz Fabisiak (1903-71) นักแสดงภาพยนตร์/ละครเวที เกิดที่ Warsaw ร่ำเรียนการแสดงยัง Państwową Szkołę Dramatyczną จากนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นนักแสดง/ผู้กำกับละครเวที ก่อนเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โด่งดังกับ Mother Joan of the Angels (1960) แล้วการเป็น ‘typecast’ บทบาทหลวง ไล่ผี ไม่ก็ปีศาจจากขุมนรก
รับบท Józef Suryn บาทหลวงวัยกลางคนที่ไม่เคยพานผ่านประสบการณ์ทางโลก ได้รับมอบหมายให้เดินทางมาสืบสวนเหตุการณ์ ‘ปีศาจเข้าสิง’ อารามชีของ Mother Joan แต่เพียงแรกพบเจอก็ทำหัวใจสั่นสะท้าน บังเกิดความสับสนทำไมถึงเกิดอาการลุ่มร้อนทรวงใน ไม่เข้าใจว่าบังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับตนเอง ครุ่นคิดว่ากำลังถูกท้าทายโดยซาตาน และท้ายสุดก็ได้กระทำการบางสิ่งอย่าง โดยครุ่นคิดว่าจะทำให้แม่อธิการสามารถหลุดรอดพ้นจากปีศาจร้าย
นอกจากนี้ยังรับบท Rabbi ผู้นำศาสนาชาวยิว แม้ปรากฎตัวไม่กี่นาที แต่ถือเป็นภาพสะท้อน บุคคลขั้วตรงข้ามบาทหลวง Józef Suryn เพื่อให้เกิดความเข้าใจในวิถีแห่งชีวิต เรียนรู้จักการเผชิญหน้าอีกฟากฝั่งของตัวตนเอง
การแสดงของ Fabisiak ถือว่าเรียบง่ายแต่โคตรๆตราตรึง ภายนอกวางมาดขรึมๆ สงบเสงียมเจียมตน สร้างภาพบาทหลวงผู้อุทิศตนให้ศาสนาได้อย่างมีความน่าเชื่อถือ (กว่า Oliver Reed เป็นไหนๆ) ในช่วงแรกๆสัมผัสได้ถึงความวิตกกังวล นี่ฉันกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร? เมื่อพบเจอ Mother Joan จิตใจก็เต็มไปด้วยอาการขลาดหวาดกลัว สับสนว้าวุ่นวาย จักต้องทำอย่างไรถึงสามารถเอาชนะปีศาจร้าย
Lucyna Winnicka (1928-2013) นักแสดงสัญชาติ Polish เกิดที่ Warsaw เรียนจบกฎหมายจาก Uniwersytetu Warszawskiego จากนั้นเปลี่ยนไปร่ำเรียนการแสดงยัง Akademia Teatralna im. Aleksandra Zelwerowicza แล้วรับเลือกเป็นนักแสดง/แต่งงานผู้กำกับ Jerzy Kawalerowicz ร่วมงานขาประจำกันตั้งแต่ Under the Phrygian Star (1954), Shadow (1956), Night Train (1959), Mother Joan of the Angels (1961), Pharaoh (1966) ฯลฯ
รับบทแม่อธิการ Mother Joan of the Angels/Sister Jeanne des Anges อ้างว่าตนเองถูกปีศาจร้าย 8 ตนเข้าสิง ทำให้เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ แม้ทำพิธีขับไล่วิญญาณเหล่านั้นก็ไม่ยินยอมหนีออกไปไหน จนต้องถูกกักขังในอารามชี แล้วยังพยายามเกี้ยวพาราสีบาทหลวง Józef Suryn ท้ายสุดก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วทั้งหมดคือเรื่องจริงหรือเล่นละคอนตบตา และปีศาจร้ายทั้งแปดถูกขับสำเร็จหรือไม่
Anna Ciepielewska (1936-2006) นักแสดงสัญชาติ Polish เกิดที่ Ostróg ร่ำเรียนการแสดงยัง Akademia Teatralna im. Aleksandra Zelwerowicza จากนั้นมีผลงานละครเวที ตามด้วยภาพยนตร์เรื่องแรก The Hours of Hope (1955), โด่งดังกับ Mother Joan of the Angels (1960), ผลงานอื่นๆ อาทิ Passenger (1963), Three Steps on Earth (1965) ฯลฯ
แม้เป็นตัวละครที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบาทหลวง & แม่อธิการ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอสามารถสะท้อนความสัมพันธ์ อธิบายสาเหตุผลว่ามันบังเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง หรือคือการที่ตัวละครได้ตกหลุมรัก (แรกพบ) และสูญเสียมันไป (อธิบายตรงๆก็คือบาทหลวง Józef Suryn ตกหลุมรักแม่อธิการ Mother Joan และยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้สูญเสียความรู้สึกนั้นไป)
ถ่ายภาพโดย Jerzy Wójcik (1930-2019) สัญชาติ Polish สำเร็จการศึกษาด้านการถ่ายภาพจาก National Film School in Łódź เริ่มทำงานเป็นตากล้องกองสองภาพยนตร์ Kanał (1957), โด่งดังจากผลงาน Ashes and Diamonds (1958), Mother Joan of the Angels (1961), Pharaoh (1966), Westerplatte (1967), The Deluge (1974) ฯลฯ
นี่คือสิ่งควรบังเกิดขึ้นระหว่าง Jozef Suryn และ Mother Joan ถ้าทั้งสองไร้ซึ่งคำนำหน้าบาทหลวงและแม่อธิการ ย่อมไม่ต้องอดรนทน เก็บกดดันความรู้สึกภายใน เมื่อพบเจอตกหลุมรัก ก็ถาโถมเข้าใส่ เติมเต็มความต้องการของหัวใจ มันผิดอะไรที่คนสองจะแสดงออก ‘ความรัก’
จู่ๆก็ถูกพาเข้ามาในบ้านพักหลังหนึ่ง ไร้ซึ่งหน้าต่าง ปกคลุมอยู่ในความมืดมิด แต่บุคคลที่บาทหลวง Józef Suryn พบเจอนั้นคือ Rabbi ผู้นำศาสนายิว ไว้หนวดเครายาวครึ้ม แต่ทั้งสองคือนักแสดงคนเดียวกัน (สังเกตว่าตัวละครไม่เคยอยู่ร่วมเฟรมสักครั้ง!) … สถานที่แห่งนี้สามารถมองในเชิงสัญลักษณ์ ภายในจิตใจของบาทหลวง Józef Suryn
หลังจากรับฟังการพูดคุยสนทนา น่าจะทำให้ใครๆตระหนักได้ว่า Rabbi คนนี้มีความแตกต่างตรงกันข้ามกับบาทหลวง Józef Suryn นั่นแสดงถึงการเป็นกระจกสะท้อนตัวตน คนหนึ่งยืนแน่นิ่ง อีกคนนั่งโยกเก้าอี้ พยายามโต้ถกเถียง แสดงคิดเห็นผ่านมุมมองส่วนตน จนต่างคนต่างไม่สามารถยินยอมรับฟัง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองกลับสามารถเติมเต็มกันและกัน กลายเป็นอันหนึ่งเดียว ไม่มีทางพลัดพรากแยกจาก … เพราะพวกเขาต่างก็คือบาทหลวง Józef Suryn
ถ้าไม่มีกรงขังห้อมล้อม เชื่อเลยว่าบาทหลวง Józef Suryn ต้องถาโถมเข้าไปฉุดกระชาก ข่มขืนกระทำชำเราแม่อธิการ Mother Joan แต่เพราะมันมีสิ่งกีดกั้นขวาง แถมหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง (มีใครบางคนแอบจับจ้องมองมา) เขาเลยทำได้เพียงสัมผัสมือ ร่ำร้องขอคำอวยพร ก่อนได้รับการจุมพิต (มั้งนะ) จนแสดงอาการคลุ้มคลั่งออกมา
กรงอันนี้ที่มีจุดประสงค์กักขังแม่อธิการ Mother Joan ไม่ให้ก้าวออกมากระทำร้ายใคร กลับกลายเป็นว่าถูกใช้ปกป้องตนเองจากบาทหลวง Józef Suryn เมื่อมิอาจอยู่เคียงชิดใกล้ จึงไม่สามารถควบคุมตนเอง และกลายเป็นคนสูญเสียสติแตกในที่สุด
เพียงการแพนนิ่งจากขวาไปซ้าย ซ้ายไปขวา ภาพช็อตนี้ก็ราวกับสองตัวเลือกของบาทหลวง Józef Suryn ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป
นักเดินทาง: The bells. Why are they ringing? ชาวบ้าน: It’s a local custom. For lost travelers. Bishop’s orders. For those lost in the forest. The forest is dangerous.
ตอนจบขอหนังนี้คงต้องการสื่อถึงทั้งบาทหลวง Józef Suryn และแม่อธิการ Mother Joan ที่ต่างกำลัง(ลุ่ม)หลงทางในความเชื่อศรัทธาของตนเอง จนไม่สามารถหาหนทางกลับสู่โลกความจริง! ส่วนการสลับจากขาวเป็นดำ จากดำเป็นขาว หรือแสงสว่าง <> มืดมิด สะท้อนวิถีของมนุษย์ยุคสมัยนั้น (รวมถึงบาทหลวงและแม่อธิการ) เห็นผิดเป็นชอบ กลับกลอกปอกลอก โดยเฉพาะการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนา ใช้ข้ออ้างศีลธรรมเพื่อตอบสนองความพึงพอใจส่วนตน จักนำพาให้โลกก้าวสู่ความมืดมิด
ตัดต่อโดย Wiesława Otocka,
หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองสายตาบาทหลวง Józef Suryn ตั้งแต่เดินทางมาถึงเมือง Ludyń หลังจากเข้าพักในโรงแรม เดินทางไปเยียมเยียนแม่อธิการ Mother Joan หลังจากพูดคุยสนทนา ตัดสินใจเชิญบาทหลวงที่มีความสามารถในการขับไล่ปีศาจร้าย ถึงอย่างนั้นพวกมันกลับไม่ยินยอมสูญหายตัวไปไหน ทำให้เขาตัดสินใจยินยอมเสียสละตนเอง
Adam Walaciński (1928-2015) คีตกวีสัญชาติ Polish ร่ำเรียนดนตรีจาก Akademia Muzyczna im. Krzysztofa Pendereckiego w Krakowie เริ่มจากสนใจด้านไวโอลิน ก่อนเปลี่ยนสาขาประพันธ์เพลง หลังเรียนจบเป็นนักดนตรี(ไวโอลิน)ประจำ Krakowskiej Orkiestrze Polskiego Radia ระหว่างนั้นก็เริ่มประพันธ์เพลงคลาสสิก บัลเล่ต์ อุปรากร รวมถึงภาพยนตร์ อาทิ Mother Joan of the Angels (1961), Pharaoh (1965) ฯลฯ
My dear mother, I’d rather be a nun than to have a brute for a husband. He would beat me with his stick. He would beat me black and blue so I’d rather be a nun.
I’d rather sing in a nunnery choir than take a beating he thinks I require. I’d rather sing matins for hours and hours and be saved from his stick.
Mother Joan of the Angels (1961) กล่าวถึงเรื่องต้องห้ามของความรัก ทั้งๆศาสนาคริสต์สอนให้คนมีความรักต่อกัน แต่กลับกีดกั้นความสัมพันธ์ระหว่างบาทหลวงและแม่ชี ถึงขนาดตีตราว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย เรียกความรู้สึกนั้นว่าบาป ถูกปีศาจเข้าสิง ต้องแผดเผาให้มอดไหม้วอดวาย ตกตายทั้งเป็น
Matka Joanna od aniołów is a film against dogma. That is the universal message of the film. It is a love story about a man and a woman who wear church clothes, and whose religion does not allow them to love each other. They often talk about and teach about love—how to love God, how to love each other—and yet they cannot have the love of a man and a woman because of their religion.
The devils that possess these characters are the external manifestations of their repressed love. The devils are like sins, opposite to their human nature. It is like the devils give the man and woman an excuse for their human love. Because of that excuse, they are able to love.
ไม่น่าแปลกที่เมื่อตอนออกฉาย หนังจะถูกโจมตีจากคริสตจักรด้วยเหตุผล Anti-Clerical ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถหยุดยับยั้งการเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ถือว่าดียอดเยี่ยม จนสามารถคว้ารางวัล Prix du Jury (Jury Prize) โดยปีนั้น Palme d’Or ตกเป็นของ Viridiana (1961) และ The Long Absence (1961)
ปัจจุบัน Mother Joan of the Angels (1961) ได้รับการบูรณะโดย KinoRP ได้รับทุนสนับสนุนจาก Ministra Kultury i Dziedzictwa Narodowego (Ministry of Culture and National Heritage) ของประเทศ Poland แล้วเสร็จสิ้นเมื่อปี 2010 เลยยังได้คุณภาพเพียง 2K
เกร็ด: Mother Joan of the Angels (1961) คือหนึ่งใน 21 ลิสหนังของ Martin Scorsese Presents: Masterpieces of Polish Cinema
ใครที่ติดตามอ่าน raremeat.blog คงคาดเดาได้ว่าผมต้องชื่นชอบ Mother Joan of the Angels (1961) >>> The Devils (1971) เพราะการนำเสนอที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรมากมาย แต่สามารถสร้างความตราตรึง สั่นสะท้านทรวงใน และแฝงสาระข้อคิดเกี่ยวกับการเผชิญหน้าขั้วตรงข้ามของตนเอง เอาจริงๆอยากจะจัด “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” แต่เพราะหนังต่อต้านคริสตจักรโจ่งแจ้งเกินไป เลยขอละเอาไว้ก็แล้วกัน
ภาพยนตร์เรต X ถูกแบนในหลายๆประเทศ เพราะความสุดโต่งเหนือจริงของการล่าแม่มด พฤติกรรมเก็บกดทางเพศของแม่ชี หรือแม้แต่กษัตริย์ King Louis XIII ยังถูกตีความว่าเป็น Queer แต่ถ้าเราสามารถมองผ่านสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายเหล่านั้น ก็อาจพบเห็นสรวงสวรรค์(หรือตกนรกทั้งเป็น)
หนึ่งในโคตรภาพยนตร์ “Most Controversial Films of All Time” ถูกมองว่ามีความป่วยจิต รสนิยมย่ำแย่ (distasteful) น่ารังเกียจขยะแขยง ต่อต้านคริสตศาสนา (anti-Catholic) นำพามนุษย์สู่จุดตกต่ำสุดทางศีลธรรม
It is not anti-clerical —there’s hardly enough clericalism to be anti anymore— it is anti-humanity. A rage against cruelty has become a celebration of it. And in the end, when Russell’s cameras have watched Grandier burn at the stake, and have watched and watched, you weep not for the evils and the ignorance of the past, but for the cleverness and sickness of the day.
The Devils is a harsh film—but it’s a harsh subject. I wish the people who were horrified and appalled by it would have read the book, because the bare facts are far more horrible than anything in the film.
Ken Russell
The Devils (1971) เป็นภาพยนตร์ที่มีความสุดโต่งมากๆเรื่องหนึ่ง แต่ผมมองไม่เห็นถึงประเด็น Anti-Christ, Anti-Clerical เลยสักนิด! ตรงกันข้ามผู้กำกับ Russell เป็นบุคคลมีความเชื่อมั่นศรัทธาศาสนาอย่างแรงกล้ามากๆ —แบบเดียวกับ Luis Buñuel— จึงพยายามชี้ให้เห็นความบิดเบี้ยวของสังคม สิ่งชั่วร้ายที่ซุกซ่อนเร้น เพื่อจักได้เป็นข้อคิดสติเตือนใจแก่มวลมนุษยชาติ
Henry Kenneth Alfred Russell (1927-2011) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Southampton, Hampshire บิดาเป็นคนชอบใช้ความรุนแรงกับมารดาจนเธอมีปัญหาทางจิต (Mentally Illness) ทำให้เขาต้องหลบหลีกหนีด้วยการรับชมภาพยนตร์ หลงใหลคลั่งไคล้ Die Nibelungen (1924), L’Atalante (1934), The Secret of the Loch (1934), นอกจากนี้ยังชื่นชอบการเต้นบัลเล่ต์ แต่พอโตขึ้นเข้าเรียนสาขาถ่ายภาพ Walthamstow Technical College (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ University of East London) จากนั้นทำงานเป็นตากล้องฟรีแลนซ์ ระหว่างนั้นกำกับหนังสั้น Amelia and the Angel (1959) จนมีโอกาสเข้าทำงานยังสถานีโทรทัศน์ BBC ถ่ายทำสารคดีหลายสิบเรื่อง กำกับภาพยนตร์ขนาดยาวครั้งแรก French Dressing (1964), เคยวางแผนจะดัดแปลงนวนิยาย A Clockwork Orange แต่ไม่ได้รับอนุญาตผ่านกองเซนเซอร์อังกฤษ, เริ่มมีชื่อเสียงจาก Women in Love (1969), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Devils (1971), The Boy Friend (1971), Tommy (1975), Altered States (1980) ฯลฯ
การได้พบเห็นบิดาใช้ความรุนแรง มารดามีปัญหาทางจิต เลยไม่แปลกที่ผลงานของ Russell จะเต็มไปด้วยสิ่งคลุ้มบ้าคลั่ง และความชื่นชอบด้านบัลเล่ต์ พัฒนาสไตล์ลายเซ็นต์ที่มีลักษณะคล้ายๆผู้กำกับ Federico Fellini เมื่อตอนทั้งสองมีโอกาสพบเจอหน้า คำทักทายระหว่างกันก็คือ “the Italian Ken Russell” และ “the English Federico Fellini”
ความสำเร็จของ Women in Love (1969) ที่ได้เข้าชิง Oscar ถึง 4 สาขา (Best Director, Best Actress, Best Adapt Screenplay, Best Cinematography) และส่งให้ Glenda Jackson คว้ารางวัล Best Actress ทำให้ชื่อผู้กำกับ Russell เป็นที่ต้องการของสตูดิโอใน Hollywood โดยทันที!
โปรดิวเซอร์ Robert Sole ในสังกัด United Artists ยื่นข้อเสนอแก่ผู้กำกับ Russell ให้ทำการดัดแปลงหนังสือประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง The Devils of Loudun (1952) เรียบเรียงโดย Aldous Hexley พื้นหลังศตวรรษที่ 17 ณ Loudon อาณาจักรฝรั่งเศส, บาทหลวง Urbain Grandier ถูกกล่าวหาโดยแม่อธิการ Sister Jeanne des Anges นิกาย Order of Saint Ursula อ้างว่าเขาใช้เวทย์มนต์ดำ ทำให้ตนเองแสดงอาการคลุ้มบ้าคลั่ง แต่แท้จริงแล้วน่าจะด้วยเหตุผลการถูกปฏิเสธเป็นที่ปรึกษา (spiritual advisor) ให้กับคอนแวนซ์(อารามแม่ชี) เมื่อได้รับการพิจารณาไต่สวน ถูกตัดสินเผาไหม้ให้ตกตายทั้งเป็น วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1634 … เหตุการณ์ดังกล่าวมีคำเรียกว่า “Loudun possessions”
หนังสือดังกล่าวได้ถูกดัดแปลงเป็นบทละครเวที The Devils โดย John Whiting ทำการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ Aldwych Theatre ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1961 และมีโอกาสเดินทางสู่ Broadway เมื่อปี 1965 จำนวน 63 รอบการแสดง
When I first read the story, I was knocked out by it — it was just so shocking — and I wanted others to be knocked out by it, too. I felt I had to make it.
Ken Russell
สำหรับบทภาพยนตร์ Russell ทำการดัดแปลงโดยอ้างอิงจากต้นฉบับหนังสือ The Devils of Loudun (1952) ให้เหตุผลว่าบทละคร The Devils มีความอ่อนไหว ‘too sentimental’ มากเกินไป ขณะเดียวกันก็ทำการเพิ่มเติม-ตัดทอนหลายๆรายละเอียด เพื่อให้เรื่องราวมีความกระชัดรัดกุม
เพิ่มเติมในส่วนโรคระบาด รวมถึงการแต่งงานกับ Madeleine De Brou (บุคคลไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์)
ผู้กำกับ Russell หลังจากศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนั้น ค้นพบความเจ้าชู้ประตูดินของบาทหลวง Urbain Grandier เลยต้องการให้ตัวละครนี้เรียนรู้จักความรักที่แท้จริง
ตัดทิ้งเรื่องราวของ Sister Jeanne des Anges ภายหลังการเสียชีวิตของ Urbain Grandier
Robert Oliver Reed (1938-99) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Wimbledon, London มีศักดิ์เป็นหลานของผู้กำกับ Carol Reed, ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างไร้หลักแหล่ง รับจ้างทำงานทั่วไป เคยเป็นนักมวย คนขับแท็กซี่ บริกรโรงพยาบาล จนกระทั่งอาสาสมัครทหาร Royal Army Medical Corps ทำให้ค้นพบความสนใจด้านการแสดง เริ่มจากเป็นตัวประกอบภาพยนตร์ ซีรีย์โทรทัศน์ เป็นที่รู้จักจาก Sword of Sherwood Forest (1960), รับบทนำครั้งแรก The Curse of the Werewolf (1961), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Trap (1966), Oliver! (1968), Women in Love (1969), The Devils (1971), The Three Musketeers (1973), Tommy (1975), The Brood (1979), Lion of the Desert (1981), Castaway (1986), The Adventures of Baron Munchausen (1988), Funny Bones (1995), Gladiator (2000) ฯลฯ
ในตอนแรก Richard Johnson ผู้รับบท Grandier ฉบับละครเวทีแสดงความสนใจรับบทนำ แต่ภายหลังกลับถอนตัวออกไป ส้มหล่นใส่ Oliver Reed ซึ่งเคยร่วมงานผู้กำกับ Russell เรื่อง Women in Love (1969) พอได้รับการติดต่อก็ตอบตกลงทันที และยกให้ผลงานเรื่องนี้คือภาพยนตร์เรื่องโปรด(ที่ตนเองได้ทำการแสดง)
Dame Vanessa Redgrave (เกิดปี 1937) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ ‘Triple Crown of Acting’ เกิดที่ Blackheath, London เป็นบุตรของ Sir Michael Redgrave และ Rachel Kempson ทำให้มีโอกาสคลุกคลีกับวงการละครเวทีตั้งแต่เด็ก โตขึ้นเข้าเรียนการแสดงยัง Central School of Speech and Drama จากนั้นเข้าร่วมโรงละคร Shakespeare Memorial Theatre ติดตามด้วย Royal Shakespeare Company, ภาพยนตร์เรื่องแรก Behind the Mask (1958) ติดตามด้วย Morgan – A Suitable Case for Treatment (1966), A Man For All Seasons (1966), Blowup (1966), Camelot (1967), Isadora (1968), Mary, Queen of Scots (1971), Murder on the Orient Express (1974), Julia (1977) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actress, Little Odessa (1994), Mission: Impossible (1996), Atonement (2007) ฯ
ในตอนแรกผู้กำกับ Russell อยากได้ Glenda Jackson ที่เคยร่วมงาน Women in Love (1969) แต่หลังจากอ่านบทก็ตอบปัดปฏิเสธโดยพลัน เพราะไม่อยากรับเล่นตัวละครหื่นกระหายระดับเดียวกันนั้นอีก
I don’t want to play any more neurotic sex starved parts.
Glenda Jackson
Redgrave ขณะนั้นถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควรจากสารพัดเจ้าหญิง A Man For All Seasons (1966) เล่นเป็น Anne Boleyn, Camelot (1967) รับบท Guinevere, ล่าสุดก็ราชินี Mary, Queen of Scots (1971) เธอจึงกำลังมองหาการพลิกบทบาทครั้งสำคัญ
ถ่ายภาพโดย David Watkin (1925-2008) ตากล้องสัญชาติอังกฤษ หนึ่งในผู้บุกเบิกการทดลองใช้แสงสะท้อนฉาก (Bounce Light), ฝึกฝนการถ่ายระหว่างทำงาน Sounthern Railway Film Unit ตำแหน่งผู้ช่วยตากล้อง จนมีโอกาสเริ่มต้นถ่ายทำ Title Sequence ภาพยนตร์ Goldfinger (1964), ผลงานเด่นๆอาทิ The Knack …and How to Get It (1965), Help! (1965), The Devils (1971), The Three Musketeers (1973), Chariots of Fire (1981), Out of Africa (1985)**คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography
King Louis XIII (1601-43) ขึ้นเป็นกษัตริย์ตั้งแต่ก่อนอายุครบ 9 พระชันษา (เพราะพระบิดา Henry IV ถูกลอบปลงพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1609) โดยพระมารดา Marie de’ Medici สำเร็จราชการแทนจนถึงปี ค.ศ. 1617 แต่ด้วยความขี้เกียจคร้าน สันหลังยาว เลยแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการคนใหม่ Charles de Luynes ระหว่างปี 1617–21, ต่อด้วย Cardinal Richelieu ตั้งแต่ปี 1624–42
Cardinal Richelieu พยายามประจบสอพลอ King Louis XIII ด้วยสองวัตถุประสงค์หลักๆ ประกอบด้วย
ต้องการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางฝรั่งเศส (Centralization of Power)
และต่อต้านราชวงศ์ Habsurg ขณะนั้นปกครอง Austria และ Spain เป็นเหตุให้ราชอาณาจักรฝรั่งเศสเข้าร่วมสงคราม Thirty Years’ War (1618–48)
แม้ตามประวัติศาสตร์ King Louis XIII จะทรงอภิเสกสมรสกับ Anne of Austria พระธิดาของ King Philip III of Spain เมื่อปี ค.ศ. 1615 และประสูติพระโอรสถึงสองพระองค์ แต่ก็มีอีกแหล่งข่าวบอกว่าทรงมีรสนิยมรักร่วมเพศ (Homosexual) ซึ่งหนังก็นำมาขยับขยายกลายเป็นอารัมบท การแสดงละครเพลงที่อาจสร้างความระทมขมขื่นให้พวก Homophobia (อาการเกลียดหรือกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศ)
คริสตจักรยุคสมัยนั้น ผมคุ้นๆว่าเต็มไปด้วยอคติต่อบุคคลที่รสนิยมรักร่วมเพศ แต่เมื่อ King Louis XIII ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนี้ หนังก็จงใจทำให้ Cardinal Richelieu ต้องอดรนทนรับชมการแสดงดังกล่าว เพื่อโอกาสในการประจบสอพลอ แม้พยายามเบี่ยงเบนหน้าหนี หาวแล้วหาวอีก แต่ก็ต้องปรบมือชื่นชม … เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ มนุษย์ก็ยินยอมพร้อมทำทุกสิ่งอย่าง
แซว: การแสดงชุดนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพวาด The Birth of Venus (1484–86) ผลงานของจิตรกรชาวอิตาเลี่ยน Sandro Botticelli นำเสนอภาพวาดของเทพี Venus มาถึงชายฝั่งหลังจากเพิ่งถือกำเนิดขึ้นบนโลก ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยทันที … ปัจจุบันภาพวาดจัดแสดงอยู่ที่ Uffizi Gallery, Florence
THE DEVILS แอบบอกใบ้ด้วยการใส่ตัว ‘s’ ว่ามีมากกว่าหนึ่งคน เมื่อตอนปรากฎชื่อหนัง สังเกตว่าก็จงใจถ่ายพื้นหลังให้เห็นสองตัวละคร King Louis XIII และ Cardinal Richelieu (ก็สื่อตรงๆว่าสองบุคคลนี้ต่างคือ The Devils) ซึ่งต่างเป็นบุคคลผู้มีอำนาจสูงส่ง ล้นฟ้า สามารถควบคุมครอบงำ กำหนดชีวิตประชาชน ออกคำสั่งใต้ฝ่าละอองทุลีพระบาท
แต่ในจินตนาการครั้งแรกนี้ Sister Jeanne des Anges ยังมีความตระหนักถึงสภาพ(หลังค่อม)ของตนเอง เลยสามารถหยุดยับยั้งชั่งใจ หวนกลับฟื้นคืนสติ ปลุกตื่นขึ้นจากความเพ้อฝัน(ร้าย)
ช่วงประมาณปี 1629-30 มีข่าวลืออย่างหนาหูว่า Philippe Trincant (รับบทโดย Georgina Hale) บุตรสาวของ Louis Trincant อัยการของ King Louis XIII ได้ตั้งครรภ์/คลอดบุตรชาย โดยเชื่อกันว่าบิดาคือบาทหลวง Urbain Grandier เพราะเป็นจอมล่อลวง เสือผู้หญิง มีความสัมพันธ์กับสาวๆแทบไม่ซ้ำหน้า
ผมไม่คิดยุคสมัยนั้นจะมีแว่นตาแฟชั่นแบบที่บาทหลวง Pierre Barre (รับบทโดย Michael Gothard) สวมใส่อยู่นี้หรอกนะ (ตัวจริงของ Gothard ก็สวมใส่แว่นนี้แบบนี้อยู่แล้ว) ทั้งยังถ้อยคำสนทนา รวมถึงลีลา/วิธีการไล่ผีก็มีความ Rock & Roll เหนือจริงเกินคำบรรยาย!
มันมีอะไรอยู่ในตลับ? King Louis XIII สวมหน้ากากปลอมตัวมาล่อหลอกบาทหลวง Pierre Barre และแม่ชีอธิการ Sister Jeanne des Anges อ้างว่าภายในนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โลหิตพระเยซูคริสต์ นั่นทำให้ทั้งคู่ดิ้นพร่านชักกระแด่วๆ ทำเป็นสัมผัสได้ถึงพลังเหนือธรรมชาติ แต่พอเปิดออกมากลับพบเพียง …
นี่เองทำให้ King Louis XIII ตระหนักว่าทุกสิ่งอย่างบังเกิดขึ้นล้วนคือการเล่นละคอนตบตา แสร้งว่าคลุ้มคลั่ง กลายเป็นบ้า เพื่อใส่ร้ายป้ายสีบาทหลวง Urbain Grandier และเมื่อเขาสูญสิ้นชีวิต กำแพงเมือง Loudun ก็จักถูกทำลายย่อยยับเยิบ
แซว2: ผมแอบสงสัยเล็กๆว่านี่อาจไม่ใช่อัฐิของ Urbain Grandier อาจเป็นโครงกระดูกสุนัข/อะไรสักอย่างที่ Baron de Laubardemont เก็บเอามาจากกองเพลิง เพื่อล้อกับตลับเปล่า(แสร้งว่าคือโลหิตของพระเยซูคริสต์)ของ King Louis XII
ตัดต่อโดย Michael Bradsell (1933-) สัญชาติอังกฤษ ขาประจำของผู้กำกับ Ken Russell ผลงานเด่นๆ อาทิ Women in Love (1969), The Devils (1971), The Boy Friend (1971), Jabberwocky (1977), Scum (1979), Local Hero (1983), Henry V (1989) ฯ
หนังดำเนินเรื่องเคียงคู่ขนาน/สลับไปมาระหว่างบาทหลวง Urbain Grandier และแม่อธิการ Sister Jeanne des Anges ทั้งสองไม่เคยพบเจอพูดคุยซึ่งๆหน้า แต่กลับถูกกล่าวหาว่ามีการล่วงละเมิดบังเกิดขึ้น
แนะนำตัวละคร
Cardinal Richelieu รับชมการแสดงของ King Louis XIII
The Rape of Christ ช่วงระหว่างซีเควนซ์ไล่ผี บรรดาแม่ชีเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ฉุดกระฉากรูปปั้นพระเยซูคริสต์ลงมาข่มขืน
Grandier’s Bone ช่วงท้ายของหนังเมื่อ Baron de Laubardemont โยนโครงกระดูกของบาทหลวง Urbain Grandier ให้กับ Sister Jeanne des Anges สิ่งที่เธอทำก็คือนำมันมาช่วยตนเอง
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ฉบับเข้าฉายสหรัฐอเมริกายังถูกสตูดิโอ Warner Bros. หั่นโน่นนี่นั่นออกไปอีกจนหลงเหลือเพียง 103 นาที … ใครจะหารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องดูความยาวหนังให้ดีๆนะครับ
เพลงประกอบโดย Sir Peter Maxwell Davies (1934-2016) คีตกวีสัญชาติอังกฤษ สำเร็จการศึกษาจาก University of Manchester และ Royal Manchester College of Music เป็นลูกศิษย์ของ Hedwig Stein, มีผลงานซิมโฟนี ออร์เคสตรา โอเปร่า บัลเล่ต์ ฯลฯ ส่วนเพลงประกอบภาพยนตร์มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น The Devils (1971) และ The Boy Friend (1971)
ผู้กำกับ Russell มีความประทับใจ ‘monodrama’ (การแสดงอุปรากรแต่ใช้นักแสดง/นักร้องเพียงคนเดียว) ของ Peter Maxwell Davies เรื่อง Eight Songs for a Mad King (1969) เลยติดต่อขอให้มาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ ซึ่งเหตุผลที่ Davies ยินยอมตอบตกลง เพราะกำลังมีความสนใจอยากทำเพลงแนว Period อยู่พอดิบดี
แต่เอาเข้าจริงๆงานเพลงของหนังแทบไม่มีกลิ่นอาย Period สักเท่าไหร่ ยกเว้นเพียงการแสดงของ King Louis XIII ยังพอจะมีกลิ่นอาย Renaissance Music อยู่บ้าง … แต่ไม่ใช่ว่าพื้นหลังของหนังควรอยู่ในยุคสมัย Baroque หรอกรึ?
The Devils (1971) นำเสนอเรื่องราวการสูญเสียความเป็นมนุษย์ของแม่อธิการ Sister Jeanne des Anges เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองทางเพศ ‘sexual repression’ จึงแสดงออกอย่างคลุ้มบ้าคลั่ง ไม่สนถูก-ผิด ชั่ว-ดี ใส่ร้ายป้ายสีกระทั่งบุคคลที่ตนเองชื่นชอบหลงใหล ต้องการให้เขาตกนรกหมกไหม้
เช่นเดียวกับ Cardinal Richelieu พยายามเกี้ยวกล่อมเกลา King Louis XIII เพื่อยึดครอบครอง/ทำลายกำแพงเมือง Loudun ถึงแม้ถูกบอกปัดปฏิเสธ ก็ยังส่ง Baron de Laubardemont สรรหาสรรพวิธีกำจัดภัยให้พ้นทาง ด้วยการใช้คำกล่าวอ้างของแม่อธิการ Sister Jeanne des Anges จับกุมตัวบาทหลวง Urbain Grandier ทำทัณฑ์ทรมาน โกนศีรษะล้าน และวินาทีกำลังเผามอดไหม้ เมือง Loudun ก็ถึงคราล่มสลาย!
I was a devout Catholic and very secure in my faith. I knew I wasn’t making a pornographic film… although I am not a political creature, I always viewed The Devils as my one political film. To me it was about brainwashing, about the state taking over.
Ken Russell
สิ่งที่ผู้กำกับ Russell ให้ความสนใจนั้น ไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านคาทอลิก ต่อต้านบลา-บลา-บลา แต่ต้องการนำเสนอความอัปลักษณ์(ทั้งร่างกายและจิตใจ)ของมนุษย์ ที่นำเอาหลักคำสอนศาสนามาบิดเบือด ใช้ข้ออ้างศีลธรรมกำจัดบุคคลครุ่นคิดเห็นต่าง
เกร็ด: สำหรับคนอยากรับชมภาคต่อ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นภาคต่อ เพราะถูกการสร้างขึ้นก่อนหน้าหลายปี Mother Joan of the Angels (1961) กำกับโดย Jerzy Kawalerowicz (เป็นหนึ่งในลิสหนัง Martin Scorsese Presents 21 Polish Film Masterpieces) นำเสนอเหตุการณ์หลังจากบาทหลวง Urbain Grandier ถูกแผดเผาไหม้เสียชีวิต เรื่องราวของแม่อธิการ Sister Jeanne des Anges ที่ก็ยังคงเป็นแม่ชี แสร้งว่าถูกซาตานเข้าสิง จนกระทั่งเลิกบ้าสี่ปีให้หลัง
เมื่อตอนเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Venice แม้เสียงตอบรับจะย่ำแย่ติดดิน แต่ยังสามารถคว้ารางวัล Pasinetti Award: Best Foreign Film (เทศกาลหนัง Venice ช่วงระหว่างปี 1969-79 จะเพียงจัดฉายภาพยนตร์ ไม่มีการมอบรางวัล Golden Lion แต่สาขานักวิจารณ์และอื่นๆยังคงปกติ)
กาลเวลาทำให้หนังได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น เมื่อปี 2012 ค่ายหนัง British Film Institute (BFI) ได้ออกสองแผ่น DVD ฟื้นฟูต้นฉบับดั้งเดิม ‘theatrical cut’ ความยาว 111 นาที ยังไม่เห็นออกแผ่น Blu-Ray แต่สามารถหารับชมจาก Archive.com (รวมถึง Delete Scene ด้วยนะครับ)
อาจเพราะผมไม่ใช่ชาวคริสต์ จึงสามารถรับชม The Devils (1971) โดยไร้ซึ่งอคติใดๆ ค้นพบความเหนือจริง สามารถครบครุ่นคิดนัยยะความหมาย และที่ต้องปรบมือให้คือความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้กำกับ Ken Russell เป็นบุคคลมีความเชื่อศรัทธาศาสนาอย่างแรงกล้า (ไม่ต่างจากบาทหลวง Urbain Grandier) คงมีแต่พวกปีศาจร้ายที่ตีตราภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ‘blasphemous’
ปล. เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ชื่อของ Ken Russell ถูกตีตราว่าเป็นผู้กำกับทำหนังต่อต้านศาสนา (Anti-Religious) นำมาล้อเล่นกันอย่างเอาจริงเอาจัง
คนที่จะสามารถรับชม The Devils (1971) ควรต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าทั้งหมดที่พบเห็นคือลัทธิเหนือจริง (Surrealist) อย่าแค่ใช้สายตามองแล้วเกิดอารมณ์ความรู้สึก ต้องใช้มันสมองขบครุ่นคิดวิเคราะห์ ค้นหาว่าแต่ละช็อตฉากผู้สร้างต้องการสื่อนัยยะอะไร ถ้าคุณสามารถรับชมผลงานของ Luis Buñuel, Alejandro Jodorowsky, Andrzej Żuławski, David Lynch ฯลฯ ค่อยลองหาภาพยนตร์เรื่องนี้มาเชยชมดูนะครับ
The Flowers of St. Francis (1950) : Roberto Rossellini ♥♥♥♡
คำสอนแปลกๆของนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี (Saint Francis of Assisi) ได้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้หอมหวน ตลบอบอวล ด้วยกลิ่นดอกไม้งาม ทั้งผู้กำกับ Pier Paolo Pasolini และ François Truffaut ต่างยกให้ ‘the most beautiful film in the world’
Pier Paolo Pasolini: among the most beautiful in Italian cinema. François Truffaut: the most beautiful film in the world.
พัฒนาบทร่วมกับ Federico Fellini แล้วสรรค์สร้างด้วยแนวคิดของ Italian Neorealist ถ่ายทำจากสถานที่จริง ใช้เพียงนักแสดงสมัครเล่น (มีนักแสดงอาชีพเพียงคนเดียวเท่านั้น!) ผลลัพท์ทำให้หนังมีความบริสุทธิ์ ดูเป็นธรรมชาติ ราวกับสามารถพบเห็น ‘จิตวิญญาณ’ ของบรรดาคณะบาทหลวง และภาพยนตร์เรื่องนี้ … เป็นแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าต่อ Jean-Luc Godard สรรค์สร้างผลงานชิ้นเอก Vivre Sa Vie (1962)
แต่ผมมีความรู้สึกสองแง่สองง่ามในการรับชมพอสมควร เพราะคำสอนแปลกๆของ Saint Francis แม้ทำให้เปิดมุมมองโลกทัศน์ใหม่ๆ แต่ศรัทธาต่อพระเจ้านั้นดูงมงายในสายตาคนนับถือศาสนาอื่น ถูกทุบตีกระทำร้ายแล้วเรียกว่านั่นคือความสุขสูงสุด มาโซคิสม์หรือเปล่า?
Roberto Gastone Zeffiro Rossellini (1906-77) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอิตาเลี่ยน เกิดที่กรุง Rome, ครอบครัวอพยพมาจาก Pisa, Tuscany บิดาเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้าง ต่อมาสร้างโรงภาพยนตร์แห่งแรก(ในกรุงโรม)ชื่อว่า Barberini ทำให้ตั้งแต่เด็กชายเกิดความหลงใหลสื่อประเภทนี้ พอโตขึ้นก็สานต่อกิจการ จากนั้นเริ่มสรรค์สร้างสารคดี Prélude à l’après-midi d’un faune (1937), มีโอกาสช่วยงานผู้กำกับ Goffredo Alessandrini ถ่ายทำ Luciano Serra, pilota (1938), สำหรับภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นแนวชวนเชื่อ The White Ship (1941) ติดตามด้วย A Pilot Returns (1942) และ The Man with a Cross (1943) รวมเรียกว่า Fascist Trilogy
หลังจากกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตทำลาย Italian Fascist อย่างราบคาบ ทำให้ Rossellini เป็นอิสระต่อพันธนาการ เตรียมงานสร้างภาพยนตร์ Anti-Fascist เรื่องแรก Rome, Open City (1945) แต่ไปไกลกว่านั้นตรงที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นยุคสมัย Italian Neorealism บันทึกสภาพปรักหักพัก ผลกระทบจากสงคราม ใช้นักแสดงสมัครเล่น เรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ดิ้นรน นำเสนอความทุกข์ยากลำบากของสามัญชนทั่วๆไป
ผลงานเด่นๆ อาทิ Rome, Open City (1945), Paisan (1946), Germany, Year Zero (1948), Stromboli (1950), Europe ’51 (1952), Journey to Italy (1954) ฯลฯ
Saint Francis ชื่อจริง Giovanni di Pietro di Bernardone (1811-1226) เกิดที่เมือง Assisi, Holy Roman Empire เป็นบุตรชายของพ่อค้ารํ่ารวย ขณะยังหนุ่มชื่นชอบเที่ยวเล่นสนุกสนาน ไม่จริงจังอะไรกับชีวิต จนกระทั่งล้มป่วยหนักแล้วได้ยินเสียงตรัสพระเยซู เรียกท่านให้สละความสุขทางโลกแล้วหันมาติดตามพระองค์ จึงบริจาคสมบัติมรดกทั้งหมด ออกเที่ยวขอทาน ทำงานรับใช้คนโรคเรื้อน จนมีผู้เลื่อมใสศรัทธา สอนให้ศิษยานุศิษย์เป็นคนสุภาพถ่อมตน ร่าเริง จริงใจ เป็นอันหนึ่งเดียวกับพระเจ้า สรรพสัตว์ ธรรมชาติและเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เชิงว่าเป็นอัตชีวประวัติ Saint Francis มุ่งเน้นนำเสนอคำสอนที่มีสาระประโยชน์ เน้นความบันเทิงแฝงข้อคิด นำแรงบันดาลใจจากหนังสือสองเล่ม เขียนขึ้นช่วงศตวรรษที่ 14
Fioretti Di San Francesco แปลว่า Little Flowers of St. Francis รวบรวม 53 เรื่องสั้นเกี่ยวกับชีวิตของ Saint Francis คาดกันว่าจดบันทึกโดย Ugolino Brunforte (1262-1348)
La Vita di Frate Ginepro แปลว่า The Life of Brother Ginepro/Juniper ไม่ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับ Saint Francis ตรงๆ แต่คือศิษยานุศิษย์คนโปรด Brother Ginepro ได้รับฉายา God’s Jester (หรือ Jester of the Lord)
เริ่มต้นที่คณะ Franciscan นำโดย Saint Francis พร้อมศิษยานุศิษย์ เดินตากฝน ย่ำโคนเลน มาจนถึงกระท่อมหลังหนึ่ง (ที่พวกเขาสร้างขึ้นสำหรับพำนักอาศัย) แต่กลับถูกยึดครองโดยชาวบ้านพร้อมเจ้าลา แถมกล่าวหาว่านักบวชเหล่านี้คือขโมยกะโจร ถึงอย่างนั้น Saint Francis กลับรู้สึกยินดีเปรมปรีดา เชื่อว่านั่นคือประสงค์ของพระเป็นเจ้า ให้พวกเขาได้เข้าใกล้ชิดพระองค์
How Brother Ginepro returned naked to St. Mary of the Angels, where the Brothers had finished building their hut.
ภารดา Ginepro บริจาคเสื้อผ้าให้ขอทานคนหนึ่ง เลยได้รับคำสั่งจาก Saint Francis ไม่อนุญาตให้บริจาคเสื้อผ้าแก่ผู้ใด
How Giovanni, known as “the Simpleton”, asked to follow Francis and began imitating him in word and gesture.
ชายสูงวัย Giovanni ต้องการอุทิศตนเองให้ Saint Francis แม้มีท่าทางเลอะๆเลือนๆ แต่ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นศิษยานุศิษย์
Of the wonderful meeting between St. Clare and St. Francis at St. Mary of the Angels.
บรรดาศิษยานุศิษย์ นัดหมายแม่ชี Saintess Clare ให้มาพบเจอกับ Saint Francis
How Brother Ginepro cut off a pig’s foot to give to a sick brother.
ภารดา Ginepro หั่นขาหมูเพื่อมาทำเป็นอาหารแก่พี่น้องที่ล้มป่วย พอเจ้าของหมูมาเห็นเขาก็เลยตำหนิด่าทอ Saint Francis เลยสั่งให้ Ginepro ขอโทษด้วยจริงใจ แม้ดูเหมือนไม่เต็มใจแต่เจ้าของก็ยินยอมมอบหมูทั้งตัวให้
How Francis, praying one night in the woods, met the leper.
ยามค่ำคืน Saint Francis สวดอธิษฐานพระเป็นเจ้า และได้พบกับผู้ป่วยโรคเรื้อนที่พยายามตีตนออกห่าง แต่เขาแสดงความรู้สึกสงสารเห็นใจ และพยายามเข้าหาชิดใกล้
How Brother Ginepro cooked enough food for two weeks, and Francis moved by his zeal gave him permission to preach.
Saint Francis ได้รับบริจาคทานจากชาวบ้านจำนวนมาก ภารดา Ginepro จึงตัดสินใจทำอาหารทั้งหมดในคราเดียวซึ่งสามารถเลี้ยงคนได้สองสัปดาห์ นั่นทำให้ Saint Francis อนุญาติให้ Ginepeo ออกไปเผยแพร่ศาสนา แต่ด้วยข้อตกลงบางอย่า
How Brother Ginepro was judged on the gallows, and how his humility vanquished the ferocity of the tyrant Nicalaio.
How Brother Francis and Brother Leon experienced those things that are perfect happiness.
Saint Francis ให้คำแนะนำภารดา Leon ถึงสิ่งที่สามารถสร้างความสุขสูงสุด นั่นคือการถูกเพื่อนมนุษย์พูดขับไล่ กระทำร้ายร่างกาย เพราะนั่นคือวิธีการจะทำให้ใกล้ชิดความเจ็บปวดของพระเยซูคริสต์มากที่สุด
How St. Francis left St. Mary of the Angels with his friars and traveled the world preaching peace.
ถึงเวลาแยกทาง Saint Francis มอบคำสอบสุดท้ายกับศิษยานุศิษย์ ก่อนแยกย้ายไปเผยแพร่ศาสนายังทิศทางที่พระเป็นเจ้ากำหนดไว้
ถ่ายภาพโดย Otello Martelli (1902-2000) ตากล้องระดับตำนาน สัญชาติอิตาเลี่ยน เกิดที่กรุง Rome เริ่มมีผลงานภาพยนตร์ตั้งแต่ยุคหนังเงียบ จนกระทั่งเริ่มมามีชื่อเสียงจากการร่วมงาน Roberto Rossellini ตั้งแต่ Paisà (1946), Stromboli (1950), The Flowers of St. Francis (1950) และยังเป็นขาประจำยุคแรกๆของ Federico Fellini อาทิ I Vitelloni (1953), La Strada (1954), La Dolce Vita (1960) ฯลฯ
ความสำเร็จของ Neorealist Trilogy (Rome, Open City (1945), Paisan (1946), Germany, Year Zero (1948)) ทำให้ผู้กำกับ Rossellini พยายามจะวิวัฒนาการแนวคิดของ ‘Neorealist’ ไม่ใช่แค่การบันทึกภาพวิถีชีวิต หรือสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันเท่านั้น … The Flowers of St. Francis (1950) คือการทดลองใช้แนวคิดของ ‘Neorealist’ กับภาพยนตร์แนวย้อนยุค (Period) พื้นหลังศตวรรษที่ 13 แต่เอาจริงๆก็แค่ถ่ายทำยังชนบทห่างไกลเท่านั้นเอง
Rossellini said that his film was a humble and austere work, realistically describing the spirit of the story. … In the cinema, biblical and evangelical subjects took the form of big American films. Think of a film like The Bible by John Huston, The Robe, King of Kings, The Greatest Story Ever Told. The rhetoric of these films interferes with the spiritual message.
ตัดต่อโดย Jolanda Benvenuti ขาประจำผู้กำกับ Roberto Rossellini ตั้งแต่ Stromboli (1950), The Flowers of St. Francis (1950), Europe ’51 (1952), Journey to Italy (1954) ฯลฯ
แม้หนังจะมี Saint Francis คือศูนย์กลาง แต่เรื่องราวมักเกี่ยวข้องกับศิษยานุศิษย์ โดยเฉพาะภารดา Ginepro มักกระทำสิ่งต่างๆด้วยความบริสุทธิ์ หน้าตาใสซื่อ ไม่รู้ประสีประสา ก่อสร้างปัญหาจนต้องได้รับคำสั่งสอนจาก Saint Francis นับครั้งไม่ถ้วน
เรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่คณะ Franciscan ออกเดินทางมาตั้งรกรากยังท้องถิ่นธุรกันดารห่างไกล จุดประสงค์เพื่อเป็นฐานที่มั่นสำหรับการศึกษาเรียนรู้ของศิษยานุศิษย์ใหม่ๆ ทำความเข้าใจแนวคิด หลักคำสอน Saint Francis และท้ายที่สุดสามารถแยกย้ายออกไปเผยแพร่ศาสนาตามทิศทางประสงค์ของพระเป็นเจ้า
As the title indicates, my film wants to focus on the merrier aspect of the Franciscan experience, on the playfulness, the ‘perfect delight,’ the freedom that the spirit finds in poverty and in an absolute detachment from material things.
I believe that certain aspects of primitive Franciscanism could best satisfy the deepest aspirations and needs of a humanity who, enslaved by its greed and having totally forgotten the Poverello’s lesson, has also lost its joy of life.
Roberto Rossellini
ขณะที่ Saint Francis คือบุคคลผู้พานผ่านอะไรมามาก เคยใช้ชีวิตเตร็ดเตร่ สำมะเลเทเมา ไม่ยี่หร่าอะไรใคร ก่อนได้ค้นพบความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงสามารถเทศนาสอนสั่ง ให้คำแนะนำต่อลูกศิษย์ลูกหา มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาก็เพื่อเรียนรู้เข้าใจความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์
Brother Ginepro เป็นคนละอ่อนเยาว์วัย ยังไม่รู้เดียงสาใดๆต่อโลกกว้าง เลยมักกระทำสิ่งผิดพลาดพลั้งบ่อยครั้ง เพื่อให้ได้รับบทเรียน คำสอนสั่งจาก Saint Francis แต่ก็ไม่เคยหักห้ามปราม มอบอิสรภาพในการครุ่นคิดตัดสินใจ เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งอย่างพระเป็นเจ้ากำหนดไว้แล้ว คือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ ยินยอมรับ และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่องใส เผชิญหน้าเหตุการณ์ร้ายๆด้วยรอยยิ้ม เบิกบานหฤทัย มองโลกในแง่ดีเข้าไว้
The innocent one will always defeat the evil one. I am absolutely convinced of this. And in our own era we have a vivid example in Gandhism.
The Flowers of St. Francis (1950) ในปัจจุบันได้กลายสภาพเป็นภาพยนตร์แห่งอุดมคติ นิทานก่อนนอนสำหรับเด็ก นั่นเพราะค่านิยมโลกยุคสมัยใหม่ได้ปรับเปลี่ยนแปลงไป เรื่องราวต่างๆไม่สามารถจับต้องได้ เพ้อเจ้อไร้สาระ ศรัทธาศาสนาก็เสื่อมถดถอย น้อยคนถึงสัมผัสถึงความหอมหวน ตลบอบอวล รับชมแล้วรู้สึกเบิกบานหฤทัย
ผมไม่แปลกใจเลยว่าหนังเรื่องนี้สร้างอิทธิพลให้ผู้กำกับ Jean-Luc Godard ที่แม้ไม่ได้มีความเชื่อศรัทธาศาสนา/พระเจ้า แต่วิธีการสอนของ Saint Francis คือพลิกกลับตารปัตรความคิด มองโลกในทิศทางตรงข้าม! แม้คณะบาทหลวงถูกตำหนิต่อว่า กระทำร้ายร่างกาย แต่พวกเขากลับครุ่นคิดว่านั่นคือสุขที่สุด เพราะได้สัมผัสถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ (เมื่อตอนถูกตรึงไม้กางเขน)
ชื่อหนังภาษาอิตาเลี่ยน Francesco, giullare di Dio แปลตรงตัวว่า Francis, God’s Jester ไม่ได้หมายความว่า Saint Francis คือตัวตลกหรืออย่างไร แต่เป็นการสื่อถึง Francis และ Brother Ginepro ผู้ได้รับฉายา God’s Jester นำความร่าเริงสนุกสนาน แฝงข้อคิด คติสอนใจให้คริสตชน บังเกิดศรัทธาแรงกล้าในคริสตศาสนา
แม้ส่วนตัวจะไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดของศาสนาคริสต์ ยินยอมรับความเจ็บปวดเพื่อให้สัมผัสถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ แต่ถ้ามองข้ามหลักคำสอนศาสนา ภาพรวมผมค่อนข้างชื่นชอบหนัง ในความซื่อตรงของ Saint Francis และจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของ Brother Ginepro รู้สึกเบ่งบานสะพรั่งหัวใจ โดยเฉพาะการเอาชนะสิ่งชั่วร้ายเพียงแค่รอยยิ้ม ช่างเป็นอุดมคติที่ยิ่งใหญ่ นิทานก่อนนอนให้หลับฝันดี
แนะนำชาวคริสเตียน นี่(น่าจะ)เป็นหนังสอนศาสนาเรื่องเยี่ยม, นักประวัติศาสตร์ สนใจศึกษาเรื่องราวของ Saint Francis of Assisi ผู้ให้กำเนิดคณะ Franciscan, นักเรียน/นักศึกษาภาพยนตร์ กำลังค้นคว้าวิวัฒนาการของ Neorealist กับผลงานที่ Robert Rossellini มีความโปรดปรานมากที่สุด
จัดเรต pg กับพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของมนุษย์โลก
คำโปรย | ผู้กำกับ Roberto Rossellinin ได้ทำให้ The Flowers of St. Francis ส่งกลิ่นหอมหวน ตลบอบอวล ดอกไม้เบ่งบานสะพรั่ง คุณภาพ | ตลบอบอวล ส่วนตัว | เบ่งบานสะพรั่ง
The Horse Thief (1986) เป็นภาพยนตร์ที่แทบไม่มีเนื้อเรื่องราวใดๆ เพียงนำเสนอวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อศรัทธาชาวธิเบต ในลักษณะ ethnic film หรือ race film (ภาพยนตร์แนวชาติพันธุ์) แต่ความงดงามของธรรมชาติกว้างใหญ่ ขุนเขาลำเนาไพร รวมถึงวัดเก่าแก่ในทิเบต จักสร้างความตื่นตาตะลึง อึ้งทึ่ง และยิ่งได้รับการบูรณะคุณภาพ 4K การันตีโดยผู้กำกับ Martin Scorsese ยกย่องว่าคือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สุดเคยรับชมช่วงทศวรรษ 90s (Best Films of the 1990s)
แซว: ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะคือเหตุผลหนึ่งที่ Martin Scorsese ตัดสินใจสรรค์สร้าง Kundun (1997)
ผมมีความสนใจในสองผลงานชิ้นเอกของผู้กำกับเทียนจวงจวง The Horse Thief (1986) และ The Blue Kite (1993) มาสักพักใหญ่ๆ เรื่องแรกเห็นข่าวการบูรณะคุณภาพ 4K พร้อมๆกับ Yellow Earth (1984) แสดงว่ามันต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ ส่วนเรื่องหลังคือหนึ่งใน Great Movie ของนักวิจารณ์ Roger Ebert จะพลาดได้อย่างไร!
แม้เกิดในครอบครัวภาพยนตร์ แต่เทียนจวงจวงก็ไม่เคยคิดติดตามรอยเท้า จนกระทั่งระหว่างอาสาสมัครกองทัพปลดปล่อยประชาชน (People’s Liberation Army) ณ มณฑลเหอเป่ย อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กองงานศิลปะและการแสดง มีโอกาสพบเจอช่างภาพสงคราม ให้คำแนะนำการถ่ายรูปจนเกิดความชื่นชอบหลงใหล หลังปลดประจำการได้งานผู้ช่วยตากล้อง Beijing Agricultural Film Studio จนกระทั่ง Beijing Film Academy เปิดรับนักศึกษาใหม่ ยื่นใบสมัครต้องการเป็นช่างภาพแต่กลับถูกบังคับให้ร่ำเรียนสาขากำกับ ถ่ายทำหนังสั้นนักศึกษา Our Corner (1980) ถือว่าจุดเริ่มต้นภาพยนตร์เรื่องแรกของผู้กำกับรุ่นห้า (Fifth Generation)
เกร็ด: เทียนจวงจวง ได้รับเลือกเป็นประธานรุ่น Beijing Film Academy ’78 คงไม่ผิดอะไรจะกล่าวว่าคือผู้นำกลุ่มผู้กำกับรุ่นห้าด้วยเช่นกัน!
หลังสำเร็จการศึกษา ได้รับมอบหมายให้ทำงานอยู่ยัง Beijing Film Studio เริ่มจากร่วมกำกับ Red Elephant (1982), ภาพยนตร์เรื่องแรก September (1984), สารคดีแนวทดลอง On the Hunting Ground (1985), ภาพยนตร์ The Horse Thief (1986) สองเรื่องหลังแม้ไม่ประสบความสำเร็จในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่เมื่อนำออกฉายต่างประเทศกลับได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม, Li Lianying: The Imperial Eunuch (1991) คว้ารางวัล Honourable Mention จากเทศกาลหนังเมือง Berlin, The Blue Kite (1993) ถูกทางการจีนสั่งแบนแต่ยังแอบลักลอบนำไปฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes ทำให้เทียนจวงจวงโดนห้ามยุ่งเกี่ยวภาพยนตร์อยู่หลายปี ก่อนหวนกลับมา Springtime in a Small Town (2002), The Go Master (2006) และผลงานทิ้งท้าย The Warrior and the Wolf (2009)
I want to make film for the audience in the 21th century.
เทียนจวงจวง
สำหรับ The Horse Thief ต้นฉบับมาจากนวนิยาย 盗马贼的故事 (1984) แปลว่า The Story of the Horse Thief แต่งโดย Zhang Rui, 张锐 ตีพิมพ์ลงนิตยสารเฟยเทียน,飞天 สามารถคว้ารางวัล Youth Literature Award ครั้งที่ 4 ประจำปี 1984
ผู้กำกับ/โปรดิวเซอร์ อู๋เทียนหมิง, 吴天明 ขณะนั้นเป็นหัวหน้าสตูดิโอ Xi’an Film Studio สามารถติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์นวนิยายจาก Zhang Rui แล้วมอบหมายให้ผู้กำกับเทียนจวงจวง เพราะความประทับใจจากผลงานก่อนหน้า On the Hunting Ground (1985) มอบความเชื่อมั่น อิสรภาพเต็มที่ในการดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์
ถ่ายภาพมีสองเครดิต ทั้งสองต่างเป็นเพื่อนร่วมรุ่น Beijing Film Academy ประกอบด้วย
โฮ่วหยง, Hou Yong (เกิดปี 1960) ตากล้อง/ผู้กำกับชาวจีน หลังสำเร็จการศึกษาจาก Beijing Film Academy เริ่มต้นร่วมงานผู้กำกับเทียนจวงจวง The Horse Thief (1986), The Blue Kite (1993), และผู้กำกับจางอี้โหมวเรื่อง Not One Less (1999), The Road Home (1999), Hero (2002) ฯลฯ
เจาเฟย, Zhao Fei (เกิดปี 1961) ตากล้องชาวจีน เกิดที่ซีอาน มณฑลส่านซี, หลังสำเร็จการศึกษาจาก Beijing Film Academy เริ่มต้นร่วมงานผู้กำกับเทียนจวงจวง The Horse Thief (1986), The Last Eunuch (1991), ผลงานเด่นๆ อาทิ Raise the Red Lantern (1992), The Emperor and the Assassin (1998), The Sun Also Rises (2007), Let the Bullets Fly (2010) ฯ
ผมละแอบเกาหัวเล็กๆ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ไฟไหม้แท่นบูชา Mountain God แล้วทำไมพวกเขาถึงอพยพย้ายมาตั้งเต้นท์บนเนินเขา? หรือเพราะอยู่ในช่วงระหว่างการเดินทางผ่าน กำลังมองหาสถานที่ตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานใหม่? แต่ภูเขาหิมะที่อยู่ด้านหลังอันตรายมากเลยนะ ไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสมต่อการย้ายบ้านเลยสักนิด!
ไม่ต้องอธิบายฉากนี้ก็น่าจะรับรู้ได้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไร สังเกตว่าพื้นหิมะขาวช่วยขับเน้นสีแดงเลือดให้มีความเด่นชัด สามารถสื่อถึงความตายของผู้บริสุทธิ์ ประชาชนชาวจีนไม่รู้เท่าไหร่ที่เสียชีวิตในช่วงรัชสมัยประธานเหมาเจ๋อตุง จากการออกนโยบายไร้สาระอะไรก็ไม่รู้ Anti-Right Campaign (1957-59), Great Leap Forward (1958-62), Cultural Revolution (1966-76) ฯลฯ มีบทความหนึ่งตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ New York Times ตั้งชื่อได้น่าสนใจมากๆว่า Who Killed More: Hitler, Stalin, or Mao?
เพลงประกอบโดยฉวีเสี่ยวซุง, 瞿小松 (เกิดปี 1952) คีตกวีชาวจีน หลังสำเร็จการศึกษาจาก Central Conservatory of Music ได้รับทุนแลกเปลี่ยน Columbia University เลยปักหลักอาศัยอยู่สหรัฐอเมริกา มีผลงานออร์เคสตรา, โอเปร่า, Chamber Music, เพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ Sacrificed Youth (1986), The Horse Thief (1986), Samsara (1988), King of the Children (1988), Life on a String (1991), Pushing Hands (1991) ฯลฯ
The Horse Thief is a story about belief, death, and how to survive. No matter which generation you’re from, you’ll always have to think about that. Because at the time, I just experienced the biggest political movement at the time, The Cultural Revolution, of course I was thinking about these themes. Using a Tibetan story is easier to tell than using a Han Chinese story, which would be more complex.
I try to make films for this century. No director doesn’t want their films to be seen by the people of their age. But sometimes you’ll create films that have completely different tastes from your general audience. That is fate. That’s fate’s problem, and there’s nothing you can do about it.
หลังจากหนังสร้างเสร็จสิ้น กลับไม่ได้รับอนุญาตจากทางการจีนให้นำออกฉาย เพราะนักแสดงพูดภาษา Tibetan เลยต้องนำมาพากย์เสียงทับ Mandarin โชคดีว่ามีสตูดิโอจัดจำหน่ายสัญชาติฝรั่งเศส Les Films de l’Atalante ได้ติดต่อขอซื้อฟีล์มต้นฉบับ จึงยังสามารถหารับชมภาษา Tibetan ที่ฝรั่งเศสและหลายๆประเทศในยุโรป/สหรัฐอเมริกา
ขณะที่ฉบับบูรณะคุณภาพ 4K Digital Restoration ได้รับทุนสนับสนุนจาก China Film Archive ซึ่งทางการจีนอนุญาตให้ฟื้นฟูเสียงต้นฉบับ (ภาษา Tibetan) ภายใต้การดูแลของผู้กำกับเทียนจวงจวง และตากล้องโฮ่วหยง แล้วเสร็จสิ้นเมื่อปี 2018 จัดฉายรอบปฐมทัศน์ยัง Beijing International Film Festival ติดตามด้วยเทศกาลหนังเมือง Cannes Classic
I shall not fail to uphold my reputation. I am particularly pleased by all the protests and whistles directed at me this evening, and if you do not like me, I can say that I do not like you either.
Maurice Pialat กล่าวตอนขึ้นรับรางวัล Palme d’Or
ถือเป็นปีที่มีความดราม่าอันดับต้นๆของเทศกาลหนังเมือง Cannes เพราะชัยชนะของ Under the Sun of Satan (1987) เกิดจากเสียงโหวตอันเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการ แต่ผู้ชม/นักวิจารณ์ส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะตัวเต็งอย่าง Repentance (1984) และ Wings of Desire (1987) โดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด และต่างเหนือกาลเวลาด้วยกันทั้งสองเรื่องเลยนะ!
ถ้าผมเข้าร่วมเทศกาลหนังเมือง Cannes ปีนั้น เชื่อว่าก็คงเป็นหนึ่งในคนที่ส่งเสียงโห่ไล่ แต่เหตุผลน่าจะแตกต่างจากผู้ชมชาวยุโรป (ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวคริสเตียน) คล้ายๆโคตรผลงาน Ordet (1955) ของผู้กำกับ Carl Theodor Dreyer เป็นภาพยนตร์แห่งศรัทธาของคริสตชน แต่ถ้าคุณนับถือศาสนาอื่น ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ก็จักเต็มไปด้วยอคติ ครุ่นคิดเห็นต่าง สนทนาอะไรก็ไม่รู้ เสียเวลารับชมชะมัด!
ขอเหมารวมอีกสองผลงาน Diary of a Country Priest (1951) และ Mouchette (1967) ของผู้กำกับ Robert Bresson ที่ก็ดัดแปลงจากนวนิยายของ Georges Bernanos (1888-1948) นักเขียนชาวฝรั่งเศส เคยเป็นทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เลยได้พบเห็นหายนะจากสงคราม ส่งอิทธิพลต่อผลงานประพันธ์ มักสร้างโลกเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดร้าย แต่ท่ามกลางความท้อแท้สิ้นหวังนั้น อาจยังมีประกายแห่งแสงสว่างนำทางสู่สรวงสวรรค์ … เป็นอีกสองผลงานระดับวิจิตรศิลป์ แต่อิงศรัทธาศาสนามากเกินพอดี
เนื้อหาสาระของ Under the Sun of Satan (1987) คือการตั้งคำถามเกี่ยวกับศรัทธา(คริสต์)ศาสนา ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดร้าย ภายใต้รัศมีของซาตาน -ผู้บริสุทธิ์ถูกใส่ร้าย คนชั่วลอยนวล- เรายังสามารถพบเห็นแสงสว่างแห่งความหวัง พระเป็นเจ้านำทางสู่สรวงสวรรค์ได้หรือไม่?
Maurice Pialat (1925-2003) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Cunlhat, Puy-de-Dôme ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน (Working Class) บิดาเป็นช่างไม้ ขายไวน์ ขุดถ่านหิน แต่หลังจากมารดาเสียชีวิต เลยถูกส่งไปอาศัยอยู่กับย่าที่ Villeneuve-Saint-Georges, วัยเด็กมีความเพ้อฝันอยากเป็นจิตรกร เข้าศึกษายัง École Nationale Supérieure des Arts Décoratifs แต่ช่วงขณะนั้นคาบเกี่ยวสงครามโลกครั้งที่สอง เลยไม่สามารถหาหนทางประสบความสำเร็จ จึงล้มเลิกความตั้งใจ มองหางานรับจ้างทั่วๆไปที่จับต้องได้ อาทิ เซลล์แมนขายเครื่องพิมพ์ดีด, นักแสดงละครเวที, เก็บหอมรอมริดจนสามารถซื้อกล้องถ่ายทำหนังสั้น กระทั่งเข้าตาโปรดิวเซอร์ Pierre Braunberger ได้รับงบประมาณสรรค์สร้าง L’amour existe (1960) ส่งเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Venice คว้ารางวัล Prix Lumière (ของหนังสั้น)
หนังสั้น L’amour existe (1960) สร้างความประทับใจผู้กำกับ François Truffaut อาสาจัดหาทุนภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Naked Childhood (1968) จากนั้นโอกาสก็ไหลมาเทมา ติดตามด้วย We Won’t Grow Old Together (1972), The Mouth Agape (1974), Graduate First (1978), Loulou (1980), Under the Sun of Satan (1987) ** คว้ารางวัล Palme d’Or, Van Gogh (1991) ฯลฯ
ระหว่างการสรรค์สร้าง The Mouth Agape (1974) ภาพยนตร์อัตชีวประวัติผู้กำกับ Pialat นำเสนอวาระสุดท้ายของมารดา ล้มป่วยนอนซมซาน ทนทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงจนเสียชีวิต ช่วงเวลาดังกล่าวย่อมสร้างความเจ็บปวดรวดร้าว คือจุดเริ่มต้นทำให้เขาตระหนักถึงความเหี้ยมโหดร้ายของโลกใบนี้! ซึ่งคงค้นพบความสนใจนวนิยาย Sous le soleil de Satan (1926) ผลงานชิ้นเอกของ Georges Bernanos ครุ่นคิดอยากดัดแปลงมานาน แต่ยังหาโอกาส งบประมาณ นักแสดงที่เหมาะสมไม่ได้
หลังเสร็จจาก À Nos Amours (1983) ในที่สุดผู้กำกับ Pialat ก็ตระหนักว่าถึงเวลา ค้นพบทุกสิ่งอย่างพยายามติดตามหา, Gérard Depardieu เพื่อนสนิท/นักแสดงขาประจำ สามารถเล่นเป็นอวตารของตนเอง, ส่วนเด็กสาวหน้าใส Sandrine Bonnaire เหมาะสมอย่างยิ่งกับตัวละคร Mouchette
It has stuck with me for ten years, Father Donissan, one has the impression that it was written for Depardieu . He could be surprising in there. As for Sandrine Bonnaire, although she doesn’t have that ‘skinny cat’ side, she would surely make an interesting Mouchette.
Maurice Pialat
ร่วมพัฒนาบทภาพยนตร์โดย Sylvie Danton (เกิดปี 1960) สัญชาติฝรั่งเศส วัยเด็กเพ้อฝันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยหันมาเอาดีด้านภาพยนตร์ เริ่มจากทำงานในกองถ่าย Le Destin de Juliette (1982), ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานสร้างฉาก À nos amours (1982) ถูกเกี้ยวพาราสีโดยผู้กำกับ Maurice Pialat ตอบตกลงอาศัยครองคู่ มีบุตรชายร่วมกันหนึ่งคน และช่วยเหลืองานสามีอยู่บ่อยครั้ง
เกร็ด: ก่อนหน้านี้นวนิยาย Sous le soleil de Satan เคยได้รับการดัดแปลงเป็น Téléfilm เมื่อปี 1971, กำกับโดย Pierre Cardinal, นำแสดงโดย Maurice Garrel และ Catherine Salviat
Gérard Xavier Marcel Depardieu (เกิดปี 1948) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Châteauroux, Indre บิดาเป็นช่างตีเหล็ก ฐานะยากจน มีพี่น้องห้าคน ตัดสินใจออกจากโรงเรียนตอนอายุ 13 ปี ทำงานเป็นช่างพิมพ์ ฝีกหัดต่อยมวย ค้าขายของโจร เคยถูกส่งตัวเข้าสถานพินิจหลายครั้ง พออายุ 20 เห็นเพื่อนสนิทเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ เลยตัดสินใจละทอดทิ้งการเป็นอันธพาลข้างถนน เดินทางมุ่งสู่กรุง Paris เริ่มทำงานตัวตลกยัง Café de la Gare, จากนั้นแสดงละคร โทรทัศน์ สมทบภาพยนตร์ เริ่มมีชื่อเสียงจาก Les Valseuses (1974), ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Maurice Pialat ประกอบด้วย Loulou (1980), Police (1985), Sous le soleil de Satan (1987), Le Garçu (1995), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ 1900 (1976), The Last Metro (1980), Cyrano de Bergerac (1990), Green Card (1991), 1492: Conquest of Paradise (1992), Hamlet (1996), Life of Pi (2012) ฯลฯ
Sandrine Bonnaire (เกิดปี 1967) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Gannat, Allier ในครอบครัวชนชั้นทำงาน (Working Class) มีพี่น้อง 11 คน, เมื่ออายุ 16 ปี เข้าตาผู้กำกับ Maurice Pialat ได้รับเลือกแสดงนำ À nos amours (1983) แจ้งเกิดคว้ารางวัล César Award: Most Promising Actress, สองปีถัดมาโด่งดังระดับนานาชาติกับ Sans toit ni loi (1985), ตามด้วย Under the Sun of Satan (1987), Monsieur Hire (1989), La Cérémonie (1995), East/West (1999), The Final Lesson (2015) ฯ
ปล. ผมเองเมื่อได้ยินชื่อตัวละคร Mouchette ก็ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์ Mouchette (1967) ของผู้กำกับ Robert Bresson ที่ก็ดัดแปลงจากนวนิยายของ Georges Bernanos แต่พวกเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไร อุปนิสัยก็แตกต่างตรงกันข้าม ยกเว้นตอนจบต่างลงเอยด้วยการกระทำอัตวินิบาต
หลังร่วมงาน À nos amours (1983) ผู้กำกับ Pialat มีความประทับใจในความบริสุทธิ์-แรดร่านของ Bonnaire ใกล้เคียงที่สุดสำหรับตัวละคร Mouchette … สมัยก่อนถือเป็นอีกบทบาทต้องห้าม เพราะกระทำสิ่งขัดต่อหลักศีลธรรม(ศาสนา)ทั้งๆอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่หลังจากการปฏิวัติทางสังคม Mai ’68 แนวคิดของคนรุ่นใหม่ก็เปิดกว้าง เสรีทางเพศมากขึ้น
Sous le soleil de Satan was the most unique as we weren’t allowed to improvise, at least with regard to the text.
Sandrine Bonnaire
แม้ส่วนตัวจะยังประทับใจ Bonnaire จากเรื่อง À nos amours (1983) แต่ก็ต้องยอมรับว่าบทบาท Mouchette ทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงระดับยอดฝีมือ ด้วยลีลาคำพูด-อารมณ์ที่ผันแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา กลับกลอกปลอกลอกแทบจะทุกประโยคสนทนา ชวนให้ผมนึกถึง Jeanne Moreau ตอนยังสาวๆสวยๆเล่นหนัง Jules et Jim (1962) ก็กวัดแกว่งเดี๋ยว Jules เดี๋ยว Jim ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
ถ่ายภาพโดย Willy Kurant (1934-2021) เกิดที่ Liège, Belgium บิดา-มารดาเป็นผู้อพยพชาว Polish เชื้อสาย Jewish, วัยเด็กชื่นชอบอ่านนิตยสาร Cinematographer เริ่มจากทำงานเป็นช่างภาพนิ่ง จากนั้นได้ถ่ายทำสารคดี มีโอกาสฝึกงานที่ Pinewood Studios แล้วมาแจ้งเกิดภาพยนตร์ Masculin Feminin (1966), The Creatures (1966), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Immortal Story (1968), Under the Sun of Satan (1987) ฯ
แซว: เดิมนั้น Kurant เป็นตากล้อง À Nos Amours (1983) แต่ถูกไล่ออกหลังถ่ายทำได้สองสัปดาห์ ไม่รู้ทำไมผู้กำกับ Pialat ถึงหวนกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง??
อาจเพราะความถนัดของ Kurant คือการถ่ายภาพขาว-ดำ (เรียกสองผลงานแจ้งเกิด Masculin Feminin และ The Creatures ว่าคือ ‘signature’ ของตนเอง) จึงไม่ค่อยเหมาะ À Nos Amours (1983) ที่เต็มไปด้วยความสว่างสดใส ผิดกับ Under the Sun of Satan (1987) ที่มักปกคลุมด้วยความมืดมิด ภายใต้รัศมีของซาตาน
เกร็ด: โดยปกติแล้วซาตานคือสัญลักษณ์ของความมืดมิด การใช้ชื่อ Under the Sun of Satan เพื่อสื่อถึงวิถีกลับตารปัตรตรงกันข้ามจากที่ควรเป็น แต่หนังก็ถ่ายทำฉากสำคัญๆตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่
ฉากการฟื้นคืนชีพของเด็กชาย แวบแรกผมครุ่นคิดถึงโคตรภาพยนตร์ Ordet (1955) ของผู้กำกับ Carl Theodor Dreyer แต่พออ่านความคิดเห็นของนักวิจารณ์หลายๆสำนัก ถึงค้นพบการโต้ถกเถียงเหตุการณ์นี้เป็นอิทธิฤทธิ์ของใคร พระเจ้าหรือซาตาน? นี่เป็นการสร้างความคลุมเครือที่ทรงพลังมากๆ ท้าทายความเชื่อศรัทธาของผู้ชมชาวคริสเตียนอย่างชัดเจน
ตัดต่อโดย Yann Dedet (เกิดปี 1946) สัญชาติฝรั่งเศส เริ่มจากเป็นผู้ช่วยตัดต่อ The Bride Wore Black (1968), แล้วกลายเป็นขาประจำ François Truffaut ตั้งแต่ Two English Girls (1971), ส่วนผู้กำกับ Maurice Pialat เริ่มที่ผลงาน Loulou (1980) จนถึง Van Gogh (1991)
เรื่องราวของ Under the Sun of Satan นำเสนอ ‘มุมมอง’ วิถีแห่งโลก (ต้องนับตั้งแต่ Georges Bernanos เขียนนวนิยายเล่มนี้เมื่อปี ค.ศ. 1926) พบเห็นสิ่งต่างๆกำลังพลิกกลับตารปัตร จิตสามัญสำนึกมนุษย์ได้ปรับเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริสุทธิ์ถูกใส่ร้ายป้ายสี ขณะที่คนทำชั่วได้ดิบได้ดี โลกใบนี้ถูกซาตานเข้ายึดครอบครองแทนพระเป็นเจ้าแล้วหรือไร?
At Cannes, I said I was an atheist, which makes no sense. The word ‘atheist’ means nothing to me. You can’t be against something you don’t believe in. No, although I’d been into religion up to 14, and had dabbled in and out of it afterwards. For young people, the patronages had two attractions: first, that’s where you went to have fun; second, you could put on amateur theatre. So I stayed close to all that till I was 19. So I mean… If you believe what psychoanalysis has to say, that these are the years that leave the biggest impression on you… Later on, there was rebellion. There’s no-one better than those in the know, for figuring out where you went wrong. I basked in the aforementioned spirituality, but it didn’t mean anything.
เมื่อเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes ถูกมองข้ามจากองค์กรศาสนา SIGNIS (World Catholic Association for Communication) มอบรางวัล Prize of the Ecumenical Jury ให้ภาพยนตร์เรื่อง Repentance (1984) แต่คณะกรรมการปีนั้นนำโดยนักร้อง/นักแสดง Yves Montand ประกาศรางวัล Palme d’Or อย่างเป็นเอกฉันท์ให้แก่ Under the Sun of Satan (1987)
Palme d’Or had been given unanimously, because we considered that the work had succeeded Pialat was a work which put the cinema on another level, on another floor. One can inevitably — myself, I am like that — be sensitive to films that are perhaps a little more affordable, easier, but fortunately there are Pialats, Godards, Resnais, to bring cinema to another height.
Yves Montand กล่าวถึงการมอบรางวัล Palme d’Or ให้กับ Under the Sun of Satan (1987)
เกร็ด: ชัยชนะรางวัล Palme d’Or ของ Under the Sun of Satan (1987) ถือเป็นภาพยนตร์สัญชาติฝรั่งเศสเรื่องแรกในรอบ 21 ปี โดยครั้งล่าสุดคือ A Man and a Woman (1966) ของผู้กำกับ Claude Lelouch ฟังดูก็ไม่น่าเชื่อที่ประเทศเจ้าภาพจะห่างหายการเป็นผู้ชนะรางวัลใหญ่เทศกาลหนังเมือง Cannes เยิ่นยาวนานขนาดนั้น!
François Mitterrand ประธานาธิบดีฝรั่งเศสขณะนั้น ยังอดไม่ได้ต้องเขียนชื่นชมชัยชนะของภาพยนตร์เรื่องนี้
This Palme d’or of the fortieth Cannes Film Festival has symbolic force. It rewards the work of a filmmaker who was able to draw inspiration from one of our great writers. He designates cinema as a land of writing and beauty. He shows the vitality that French cinema can and must experience.
François Mitterrand
แม้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์/ผู้ชมทั่วไปจะไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็มียอดจำหน่ายตั๋วในฝรั่งเศสสูงถึง 815,748 ใบ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และยังเข้าชิง César Awards ถึง 7 สาขา (แต่ไม่ได้สักรางวัล) พ่ายให้ Au Revoir les Enfants (1987) ของผู้กำกับ Louis Malle
Best Film
Best Director
Best Actor (Gérard Depardieu)
Best Actress (Sandrine Bonnaire)
Best Cinematography
Best Editing
Best Poster
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะคุณภาพ 2K มีความสวยสด คมชัดกริบ แล้วเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี 2015 สามารถหาซื้อแผ่น Blu-Ray ได้ทั้งของ Gaumont (ฝรั่งเศส/ยุโรป) และ Cohen Media Group (สหรัฐอเมริกา)
มองผิวเผิน Simon of the Desert (1965) น่าจะเป็นเรื่องราวชีวประวัติอิงศาสนา ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากนักบุญ/นักพรต Simeon Stylites หรือ Symeon the Stylite (390-459) สัญชาติ Syrian ว่ากันว่ายืนอยู่บนแท่นหิน (ตอนแรกสูงเพียง 3 เมตร ก่อนย้ายไป 15 เมตร) ใกล้ๆกับ Aleppo (ปัจจุบันคือประเทศ Syria) เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ อุทิศทั้งชีวิตต่อพระเจ้า และมักเทศนาสั่งสอนศิษยานุศิษย์ที่มาเดินทางมาแสวงบุญ ยาวนานถึง 37 ปี!
แต่ภาพยนตร์เรื่อง Simon of the Desert (1965) ของ Luis Buñuel กลับนำเสนอในลักษณะ Dark Comedy เต็มไปด้วยการล้อเลียนเสียดสี ชี้นำทางให้เห็นว่า การปฏิบัติดังกล่าวเป็นสิ่งไร้สาระ! ขำกลิ้งสุดก็คือเอาซาตานในคราบหญิงสาวมายั่วราคะ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดนักพรต Simón ก็พ่ายแพ้ภัยพาล (ในหนังอ้างว่า Simón เป็นบุตรหลานของ Simeon Stylites) แล้วตัดกลับมาปัจจุบันพบเห็นความสุดเหวี่ยงของมนุษย์ราวกับวันสิ้นโลก
แม้ผมรู้สึกว่าหนังค่อนข้างน่าสนใจในแนวคิด ไดเรคชั่น และภาพสวยๆของ Gabriel Figueroa แต่เมื่อดูจบแล้วกลับรู้สึกเวิ้งว่างเปล่ายังไงชอบกล เรื่องราวดำเนินไปอย่างล่องลอย ไร้จุดหมาย เหมือนมีเพียง Dark Comedy แค่ต้องการล้อเลียนเสียดสีความเชื่อศรัทธา ฉุดคร่านักบุญ/นักพรตให้ตกลงมาเบื้องล่าง และสะท้อนยุคสมัยปัจจุบันนี้-นั้น เท่านั้นเองฤา?
มันอาจเพราะว่า Simon of the Desert (1965) มีความตั้งใจดั้งเดิมให้เป็นหนังยาว (Feature Length) แต่ด้วยข้อจำกัดอย่างที่เกริ่นนำ เนื้อหาสาระแท้จริงเลยปลิดปลิวไปกับสายลม
เกร็ด: Simon of the Desert (1965) คือภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของ Luis Buñuel ที่สร้างขึ้นในช่วง Mexican Period (1956-64)
Luis Buñuel Portolés (1900 – 1983) สัญชาติ Spanish เกิดที่ Calanda, Aragon เป็นบุตรคนโตมีน้อง 6 คน, เมื่อตอนอายุได้ 4 ขวบครี่ง ครอบครัวอพยพย้ายสู่ Zaragoza ถิ่นที่อยู่อาศัยของคนมีฐานะ ชนชั้นกลาง ถูกส่งไปศีกษาร่ำเรียนเป็นบาทหลวงยัง Colegio del Salvador แต่หลังจากได้พานพบเห็นอะไรบางอย่าง จึงหมดสิ้นเสื่อมศรัทธาในศาสนา, อายุ 16 เข้าเรียนต่อยัง University of Madrid แรกเริ่มคณะเกษตร เปลี่ยนมาวิศวะ สุดท้ายคือปรัชญา, ความสนใจในภาพยนตร์เมื่อโอกาสรับชม Der müde Tod (1921) ของผู้กำกับ Fritz Lang, เมื่อปี 1925 มุ่งสู่กรุง Paris ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Jean Epstein, สรรค์สร้างผลงานเรื่องแรก Un Chien Andalou (1929), L’Age d’Or (1930)
การมาถึงของจอมพล Francisco สงครามกลางเมือง Spanish Civil War (1936-39) และภาพยนตร์/สารคดี Las Hurdes (1933) ถูกแบนห้ามฉายในสเปน ทำให้ Buñuel ตัดสินใจเดินทางมุ่งสู่ Hollywood ครุ่นคิดพัฒนาหลากหลายโปรเจคแต่ก็ไม่เป็นรูปเป็นร่าง เป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งได้รับชักชวนจากโปรดิวเซอร์ Oscar Dancigers อพยพย้ายมาประเทศ Mexico ตั้งแต่ปี 1946 เริ่มต้นสรรค์สร้าง Gran Casino (1947) ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ แต่ยังได้รับโอกาสอีกครั้ง El Gran Calavera (1949) คราวนี้สามารถทำเงินถล่มทลาย จากนั้นก็สรรค์สร้างภาพยนตร์ในช่วง Mexican Period (1946-64) มีผลงานทั้งหมด 20 เรื่อง
Buñuel ได้แรงบันดาลใจ Simon of the Desert (1965) หลังจากมีโอกาสอ่านหนังสือ Golden Legend (ภาษาละติน Legenda aurea หรือ Legenda sanctorum) รวมรวบชีวประวัตินักบุญ/นักพรต (เรียกว่า Encyclopaedia ก็ไม่ผิดอะไร) เรียบเรียงโดย Jacobus de Varagine (1230-98) นักบวชชาวอิตาเลี่ยน และเป็นอัครมุขนายก (Archbishop) ประจำเมือง Genoa ซึ่งฉบับดั้งเดิมเขียนเสร็จช่วงปี 1259-66 แต่ก็ได้มีการเพิ่มเติมบุคคลสำคัญๆในประวัติศาสตร์มาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน
Claudio Brook ชื่อจริง Claude Sydney Brook Marnat (1927-95) นักแสดงสัญชาติ Mexican เกิดที่ Mexico City บิดาเป็นนักการทูตชาวอังกฤษ แต่งงานมารดาเชื้อสาย French-Mexican เลยสามารถพูดคล่องแคล่วทั้งสามภาษา โตขึ้นเริ่มจากเป็นนักพากย์หนัง ตามด้วยละครเวที และภาพยนตร์ ผลงานเด่นๆ อาทิ The Exterminating Angel (1962), Simon of the Desert (1965), รับบท Jesus Christ เรื่อง La vida de nuestro Señor Jesucristo (1986) ฯ
Silvia Pinal Hidalgo (เกิดปี 1931) นักแสดงสัญชาติ Mexican เกิดที่ Guaymas, Sonora, วัยเด็กมีความสนใจภาพยนตร์ ภาพยนตร์ ชื่นชอบการเขียน บทกวี พอโตขึ้นได้เข้าประกวดเวทีนางงาม ได้รับรางวัล Student Princess of Mexico, ตัดสินใจร่ำเรียนการขับร้องโอเปร่า แต่พอออดิชั่นไม่ผ่านได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนมาด้านการแสดง Instituto Nacional de Bellas Artes ไม่นานนักก็มีผลงานละครเวทีที่ Ideal Theater, ภาพยนตร์เรื่องแรก Bamba (1949), The Doorman (1949), El rey del barrio (1949), ได้รับคำชมล้นหลามกับ Un rincón cerca del cielo (1952), โด่งดังระดับนานาชาติจากการได้ร่วมงาน Luis Buñuel ถึงสามครั้ง Viridiana (1961), El ángel exterminador (1962) และ Simón del desierto (1964)
Pinal หลังร่วมงานผู้กำกับ Buñuel มาแล้วสองครั้ง มีความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ พร้อมทำทุกสิ่งอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ให้เปลือยอก แต่งกายล้อเลียนพระเยซู ฯ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่โอกาสได้ร่วมงานกันอีก … จริงๆ Pinal หมายมั่นปั้นมือจะเล่น Diary of a Chambermaid, Belle de Jour และอีกหลายโปรเจค แต่ก็มีเหตุให้ถูกขัดขวาง (โดยโปรดิวเซอร์ที่อยากได้นักแสดงมีชื่อเสียงมากกว่า) ซึ่งหลังจากเลิกราโปรดิวเซอร์ Gustavo Alatriste ก็ไม่มีใครสนับสนุนผลักดันให้ได้รับโอกาสแบบนี้อีก
ถ่ายภาพโดย Gabriel Figueroa (1907-97) ตากล้องระดับตำนาน สัญชาติ Mexican เกิดที่ Mexico City, โตขึ้นร่ำเรียนการวาดรูป Academy of San Carlos และไวโอลิน National Conservatory แต่เมื่อครอบครัวประสบปัญหาการเงิน ทำให้ต้องลาออกมาทำงานยังสตูดิโอ Colonia Guerrero แรกเริ่มออกแบบสร้างฉาก จากนั้นกลายเป็นผู้ช่วยช่างภาพนิ่ง Juan de la Peña, José Guadalupe Velasco, ก่อนออกมาเปิดสตูดิโอ(ถ่ายภาพนิ่ง) แล้วได้รับคำชักชวนให้เข้าสู่วงการภาพยนตร์ มีโอกาสเดินทางไป Hollywood ศึกษาการทำงานของ Gregg Toland จากเรื่อง Splendor (1935) เลยมุ่งมั่นเอาดีด้านนี้ แจ้งเกิดโด่งดังทันทีกับ Allá en el Rancho Grande (1936), ผลงานเด่นๆ อาทิ María Candelaria (1944), The Fugitive (1947), The Pearl (1947), The Unloved Woman (1949), Los Olvidados (1950), Nazarín (1959), The Exterminating Angel (1962), The Night of the Iguana (1964) ** ได้เข้าชิง Oscar: Best Cinematography
หนังปักหลักถ่ายทำยัง Los Médanos หรือ Samalayuca Dune Fields ตั้งอยู่บริเวณ Samalayuca, Chihuahua ทางตอนเหนือของประเทศ Mexico ติดกับชายแดนรัฐ New Mexico ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยปกติแล้วหนังของ Buñuel จะไม่เน้นการถ่ายภาพให้มีความสวยงามตระการตา เพราะมันจะไปแก่งแย่งความสนใจจากเนื้อหาสาระที่ต้องการนำเสนอ แต่คงยกเว้นกับ Simon of the Desert (1965) เพราะท้องฟากฟ้า ทะเลทราย ล้วนมีอิทธิพลต่อตัวละครเป็นอย่างยิ่ง
Simon of the desert, you may not believe it, but you and I are very much alike. Like you, I believe in God the Father Almighty, because I’ve been in his presence.
The Devil
แซว: ผู้กำกับ Luis Buñuel เขียนบทรำพันย่อหน้าสุดท้ายในหนังสือชีวประวัติ Mon Dernier Soupir (1982) ให้ความรู้สีกคล้ายๆฉากนี้เลยนะ ถ้าเลือกได้อยากฟื้นคืนชีพทุกๆสิบปี ลุกขี้นมาซื้อหนังสือพิมพ์ อ่านข่าวสารความเป็นไปของโลก ก่อนกลับลงโลงหลับสบายอย่างปลอดภัย ไร้สิ่งกังวลอีกต่อไป
ตัดต่อโดย Carlos Savage (1919-2000) สัญชาติ Mexican ขาประจำของ Luis Buñuel ตั้งแต่ Los Olvidados (1950), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ La guerra santa (1979), El principio (1973) ฯ
Rebelde Radioactivo (1965) แต่ง/บรรเลงโดย Los Sinners วงดนตรี Rock and Roll สัญชาติ Mexican ซี่งก็มารับเชิญแสดงสดช่วงท้ายของหนัง, หนี่งในสมาชิกวง Federico Arana เล่าว่า Buñuel แค่รู้จัก/เคยได้ยินบทเพลงของวง (ไม่ได้เป็นแฟนคลับแต่อย่างใด) ต้องการร่วมงานเพราะมองว่านี่คือสไตล์เพลงแห่งยุคสมัยนั้น ขอแค่ดนตรีจังหวะสนุกสุดมันส์ ‘tremendous rock’ ไม่ต้องการเนื้อคำร้องใดๆ เสนอบทเพลงนี้ซี่งเขาก็มีความชื่นชอบมากๆ ถีงขนาดจะนำมาตั้งชื่อหนัง แต่ถูกโปรดิวเซอร์ Gustavo Alatriste ทัดทานเพราะกลัวต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์สูงขี้นกว่าเดิม
Buñuel came to us asking. He needed a suitable song for the final scene and he arrived at Café Milleti and where we performed. Don Luis asked us to play tremendous rock. I asked him if he wanted something sung or instrumental? And he said that it was instrumental but very strong. He meant very sinister and very beast. I offered him ‘Rebelde Radioactivo’ and not only did he find the piece suitable, but he also communicated his intention to name the film after the not very fine and inspired melody. The bad thing is that Gustavo Alatriste, producer on duty, said no because then they would have to pay me a lot more for the rights.
Special Jury Prize ร่วมกับ I Am Twenty (1965) และ Modiga mindre män (1965)
FIPRESCI Prize ร่วมกับ Gertrud (1964)
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ (hi-def restoration) แปลงเป็นไฟล์ digital โดย Criterion และสามารถหารับชมได้ทาง Criterion Channel
Simon of the Desert (1965) เป็นภาพยนตร์ที่มีความน่าสนใจมากๆในช่วงแรกๆ แต่พอรับชมไปได้สักพักผมก็รู้สึกว่ามันไม่อะไรให้น่าติดตามสักเท่าไหร่ 45 นาทียังยาวไปเสียด้วยซ้ำ! ถึงแม้ Buñuel จะพยายามแทรกใส่ซาตาน การต่อสู้/ขัดแย้งภายในจิตใจ เรียกเสียงหัวเราะขบขัน Dark Comedy แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึง และทำให้ภาพรวมของหนังถูกตีตราว่าคือ การล้อเลียนเสียดสีความเชื่อศรัทธาเท่านั้นเอง
แนะนำเฉพาะกับคอหนัง Dark Comedy, มีความสนใจในนักบุญ/นักพรต Simeon Stylites, และแฟนๆหนัง Luis Buñuel ที่ไม่มีอคติต่อผลงานของเขา ถึงค่อยลองหามารับชมนะครับ
จัดเรต pg แต่เด็กๆอาจดูไม่รู้เรื่องสักเท่าไหร่
คำโปรย | Simon of the Desert ของ Luis Buñuel มีเพียง Dark Comedy ที่ดำเนินไปอย่างไร้เป้าหมาย คุณภาพ | แค่น่าสนใจ ส่วนตัว | ชวนสับสน