The Blue Kite (1993) : Tian Zhuangzhuang ♥♥♥♥
ว่าวสีฟ้าไม่สามารถต่อต้านทานกระแสแรงลม ล้วนถูกมรสุมทางการเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่การรณรงค์ต่อต้านพวกความคิดเอียงขวา (1957-59), การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า (1958-62) และการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (1966-76) รวมถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ไม่รอดพ้นการถูกแบนห้ามฉายในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่กลับได้รับยกย่องมาสเตอร์พีซในระดับนานาชาติ
The Blue Kite (1993) เป็นภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวของครอบครัวบ้านๆ ธรรมดาสามัญ มารดาและบุตรชายที่ยังไม่ค่อยรับรู้ประสีประสา เติบโตขึ้นพานผ่านสามช่วงเวลาสถานการณ์การเมืองอันคลุ้มบ้าคลั่ง Hundred Flowers Campaign & Anti-Rightist Campaign (1957-59), Great Leap Forward (1958-62) และ Cultural Revolution (1966-76) ต้องการเพียงชีวิตที่เรียบง่าย สุขสบาย เป็นอยู่ปลอดภัย แต่ไฉนกลับประสบแต่เหตุการณ์อันเลวร้าย
มนุษย์โหยหาความจริง แต่ความจริงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อยากยินยอมรับ
มีภาพยนตร์สามเรื่องของผู้กำกับรุ่นห้า (Fifth Generation) สร้างขึ้นในช่วงเวลาไล่ๆเลี่ยๆกัน จับต้องประเด็นอ่อนไหวที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน เลยได้รับผลกรรมแตกต่างกันไป
Farewell My Concubine (1993) กำกับโดยเฉินข่ายเกอ เพราะสามารถคว้ารางวัล Palme d’Or ทำให้หนังถูกแบนเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนทางการจีนยินยอมประณีประณอม เพียงตัดทอนบางฉากแล้วนำกลับออกฉาย เพื่อเรียกคะแนนโหวตเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกปี 2000
To Live (1994) กำกับโดยจางอี้โหมว แม้ไปคว้าหลายรางวัลจากเทศกาลหนังเมือง Cannes (Grand Prize, Best Actor, Prize of the Ecumenical Jury) กลับถูกแบนถาวรห้ามฉายในจีนแผ่นดินใหญ่ (แต่ปัจจุบันเหมือนจะหารับชมได้แล้วทางออนไลน์) และผู้กำกับก็โดนใบสั่งไม่ให้ยุ่งเกี่ยววงการภาพยนตร์นานถึง 5 ปี (แต่แค่ไม่ถึงปีก็ผ่อนปรนให้แล้ว)
แต่สำหรับ The Blue Kite (1993) อาจเพราะผู้กำกับเทียนจวงจวง เริ่มมีปัญหากองเซนเซอร์มาตั้งแต่ Unforgettable Life (1988) [หนังโดนแบน 17 ปี!] มาคราวนี้หลังถ่ายทำเสร็จ ระหว่างช่วงกระบวนการตัดต่อ มีการทดลองฉายให้หน่วยงานต่างๆจนได้ข้อสรุปว่าหนังมี ‘ปัญหา’ ขณะกำลังจะแทรกแซงไม่ให้สร้างเสร็จ โปรดิวเซอร์ลักลอบขนฟีล์มต้นฉบับไปทำ Post-Production ต่อที่ญี่ปุ่น แล้วส่งออกฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes สร้างความไม่พึงพอใจให้ทางการจีนอย่างรุนแรง สั่งแบนถาวรห้ามฉายในจีนแผ่นดินใหญ่ (ปัจจุบันก็หารับชมออนไลน์ไม่ได้) และผู้กำกับห้ามยุ่งเกี่ยววงการภาพยนตร์นานถึง 7 ปี แบบไม่มีผ่อนปรนใดๆ
I finished shooting The Blue Kite in 1992. But while I was involved in post-production, several official organizations involved with China’s film industry screened the film. They decided that it had a problem concerning its political ‘leanings,’ and prevented its completion. The fact that it can appear today seems like a miracle… The stories in the film are real, and they are related with total sincerity. What worries me is that it is precisely a fear of reality and sincerity that has led to the ban on such stories being told.
ผู้กำกับเทียนจวงจวง
สาเหตุที่ The Blue Kite (1993) ตกอยู่ในสภาพเลวร้ายขนาดนั้น เพราะผู้กำกับเทียนจวงจวง พยายามแทรกใส่การวิพากย์วิจารณ์นโยบายต่างๆของรัฐ ผ่านการแสดงออกของเด็กชาย และตัวละครอื่นๆในเชิงสัญลักษณ์ คล้ายๆภาพยนตร์ The Tin Drum (1979) ที่ไอ้เด็กเวรสามขวบมักตีกลองร้องป่าว เมื่อพบเห็น/บังเกิดปฏิกิริยาไม่พึงพอใจต่อเหตุการณ์ใดๆ … นึกถึงประเทศสารขัณฑ์ที่แค่สวมชุดไทย พิมพ์เบอร์สั่งพิซซ่าผิด ก็มีคนระริกระรี้แจ้งความหมิ่น
แต่ความทรงพลังระดับมาสเตอร์พีซของหนัง ไม่ได้เกิดจากความสลับซับซ้อนในเชิงสัญลักษณ์ คือการนำเสนอที่สุดแสนเรียบง่าย ธรรมดาสามัญ บันทึกเรื่องราวความทรงจำ ผู้ชมสามารถสัมผัสถึงความบริสุทธิ์ใจของผู้สร้าง แต่ไฉนทางการจีนกลับไม่ยินยอมรับความจริง นั่นเป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
เทียนจวงจวง, 田壮壮 (เกิดปี 1952) ผู้กำกับ/โปรดิวเซอร์ชาวจีน เกิดที่กรุงปักกิ่ง เป็นบุตรของนักแสดงชื่อดังเทียนฟาง, 田丰 ที่ต่อมากลายเป็นหัวหน้าสตูดิโอ Beijing Film Studio, ส่วนมารดาคือนักแสดงหญิงชื่อดังอวี้หลัน, 于蓝 ทั้งสองงานยุ่งมากจึงต้องฝากบุตรชายไว้กับคุณย่า จนกระทั่งการมาถึงของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (1966-76) พบเห็นพ่อ-แม่ถูกพวกยุวชนแดงทุบตีต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่นั้นมาก็หมกตัวอยู่กับกองหนังสือ ไม่สนใจโลกภายนอก หลังเรียนจบมัธยมก็ได้เข้าร่วม ‘ปัญญาชนอาสาพัฒนาชนบท’ ที่อำเภอเจิ้นไล่ มณฑลจี๋หลิน
เกร็ด: เทียนจวงจวงเป็นเพื่อนสนิทวัยเด็กกับเฉินข่ายเกอ วิ่งเล่นในกองถ่ายด้วยกัน แต่การมาถึงของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เฉินข่ายเกอเลือกสมัครเข้าร่วมยุวชนแดง กล่าวประณามบิดา-มารดา ส่วนเทียนจวงจวงติดตามครอบครัวไปยังมณฑลจี๋หลิน
แม้เกิดในครอบครัวภาพยนตร์ แต่เทียนจวงจวงก็ไม่เคยคิดติดตามรอยเท้า จนกระทั่งระหว่างอาสาสมัครกองทัพปลดปล่อยประชาชน (People’s Liberation Army) ณ มณฑลเหอเป่ย อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กองงานศิลปะและการแสดง มีโอกาสพบเจอช่างภาพสงคราม ให้คำแนะนำการถ่ายรูปจนเกิดความชื่นชอบหลงใหล หลังปลดประจำการได้งานผู้ช่วยตากล้อง Beijing Agricultural Film Studio จนกระทั่ง Beijing Film Academy เปิดรับนักศึกษาใหม่ ยื่นใบสมัครต้องการเป็นช่างภาพแต่กลับถูกบังคับให้ร่ำเรียนสาขากำกับ ถ่ายทำหนังสั้นนักศึกษา Our Corner (1980) ถือว่าจุดเริ่มต้นภาพยนตร์เรื่องแรกของผู้กำกับรุ่นห้า (Fifth Generation)
เกร็ด: เทียนจวงจวง ได้รับเลือกเป็นประธานรุ่น Beijing Film Academy ’78 คงไม่ผิดอะไรจะกล่าวว่าคือผู้นำกลุ่มผู้กำกับรุ่นห้าด้วยเช่นกัน!
หลังสำเร็จการศึกษา ได้รับมอบหมายให้ทำงานอยู่ยัง Beijing Film Studio เริ่มจากร่วมกำกับ Red Elephant (1982), ภาพยนตร์เรื่องแรก September (1984), สารคดีแนวทดลอง On the Hunting Ground (1985), ภาพยนตร์ The Horse Thief (1986) สองเรื่องหลังแม้ไม่ประสบความสำเร็จในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่เมื่อนำออกฉายต่างประเทศกลับได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม, Li Lianying: The Imperial Eunuch (1991) คว้ารางวัล Honourable Mention จากเทศกาลหนังเมือง Berlin, The Blue Kite (1993) ถูกทางการจีนสั่งแบนแต่ยังแอบลักลอบนำไปฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes ทำให้เทียนจวงจวงโดนห้ามยุ่งเกี่ยวภาพยนตร์อยู่หลายปี ก่อนหวนกลับมา Springtime in a Small Town (2002), The Go Master (2006) และผลงานทิ้งท้าย The Warrior and the Wolf (2009)
สไตล์หนังของเทียนจวงจวง มุ่งแสวงหาความเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่เน้นปรุงปั้นแต่งเรื่องราว/ตัวละครมากเกินพอดี ใช้ภาษาภาพยนตร์ในการสร้างมิติตื้นลึกหนาบาง และโดดเด่นกับมุมกล้องถ่ายภาพ (ก็แน่ละมาจากสายช่างภาพ แบบเดียวกับจางอี้โหมว)
สำหรับ The Blue Kite (1993) มีจุดเริ่มต้นจากผู้กำกับเทียนจวงจวง มีความประทับใจบทภาพยนตร์ของเหมาเสี่ยว, 肖矛 เรื่อง Someone Loves Just Me (1990) และ Bloody Morning (1992) เข้ามาพูดคุยแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเรื่องราวผ่านมุมมองเด็กชาย พานผ่านสามเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์จีน
Zhuangzhuang and I are about the same age as the Tietou in The Blue Kite (1993). The memory of childhood is actually a very complicated state for us children, but it is interesting that we experienced. It is very simple and happy at the time, and this feeling of suddenly dreaming is very wonderful.
นักเขียนเหมาเสี่ยว
เหมาเสี่ยวเป็นรุ่นน้องของเทียนจวงจวง ตอนเริ่มต้นการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (1966-76) ขณะนั้นยังเรียนชั้นประถม (ส่วนเทียนจวงจวงอยู่ชั้นมัธยม) แต่ความทรงจำถึงช่วงเวลานั้นยังคงเด่นชัด พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะไม่แตะต้องประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา เพียงนำเสนอผลกระทบ อิทธิพลต่อครอบครัว ผู้คนรอบข้าง และเหตุการณ์เคยประสบพบเห็นในช่วงเวลาดังกล่าว
When I was a child, I lived in the environment of a large courtyard, and I naturally recalled our family and living environment when we were young, as well as some past events of our relatives and neighbors. During that time, we remembered a lot of old stories and old stories. So when I think about it as an adult, I have some involuntary heart palpitations and sudden realizations, even some sadness and sadness. In the nearly one year of writing The Blue Kite, we seem to be salvaging some memories with the colander of time.
ระยะเวลาหนึ่งปีที่เหมาเสี่ยวร่วมพัฒนาบท The Blue Kite นอกจากหวนระลึกความทรงจำวัยเด็ก ยังทำให้เกิดความเข้าใจอะไรๆหลายสิ่งอย่างที่ตอนนั้นไม่รู้ประสีประสา ตระหนักถึงโชคชะตาของบุคคลเหล่านั้น มันช่างเป็นความโหดร้าย น่าเศร้าสลดเสียใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย
We can’t make one or two movies like The Blue Kite in our lifetime, because it’s too sad. This materialized environment is no longer able to allow the creation of such a film, and I cherish this cooperation from the bottom of my heart.
เรื่องราวนำเสนอผ่านมุมมองของเด็กชายเถี่ยเถา (แปลว่า Iron Head, หัวเหล็ก) เติบโตขึ้นพานผ่านสามครอบครัว/สามการแต่งงานของมารดาเฉินซู่เจียน (รับบทโดย ลฺหวี่ลี่ผิง) ที่ลงเอยด้วยการเป็นม่ายทั้งสามครั้งครา
- บิดาหลินเส้าหลง (รับบทโดย ผู่ฉวนซิน) เริ่มต้นกำลังเตรียมงานแต่งงานแต่ต้องเลื่อนไปสิบวันเพราะการเสียชีวิตของ Joseph Stalin (5 มีนาคม 1953) แล้วปีต่อมาพวกเขาให้กำเนิดบุตรชายเถี่ยเถา
- การมาถึงของการรณรงค์ร้อยบุปผา (1956-57) นำสู่การรณรงค์ต่อต้านพวกความคิดเอียงขวา (1957-59) ทำให้บิดาโดนส่งไปใช้แรงงานหนักต่างจังหวัด (ในฐานะแพะรับบาป) ประสบอุบัติเหตุระหว่างตัดต้นไม้ล้มทับเสียชีวิต
- ลุงหลี่กั่วตง (รับบทโดย หลี่เสวี่ยเจี้ยน) ภายหลังการเสียชีวิตของบิดา เลยเดินทางมาเยี่ยมเยียนมารดาและเถี่ยเถาอยู่บ่อยครั้ง ก่อนเปิดเผยความรู้สึกผิดที่เคยใส่ร้ายป้ายสีหลินเส้าหลง ทำให้ถูกส่งไปใช้แรงงานหนักจนเสียชีวิต
- การมาถึงของการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า (1958-62) ประสบปัญหาข้าวยากหมากแพง หลังลุงหลี่แต่งงานกับมารดาไม่นาน ทรุดล้มป่วยหนัก(จากโรคขาดสารอาหาร)จนเสียชีวิต
- พ่อบุญธรรมอู๋เสี่ยวเฉิง (รับบทโดย กัวเป่าชาง) ไม่มีพิธี ไม่มีงานแต่งงาน มารดาและบุตรชายเพียงย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านหรูสองชั้น แต่ความสุขสบายก็แลกมากับความโดดเดี่ยวเดียวดาย
- การมาถึงของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (1966-76) ทำให้บิดาบุญธรรมรับรู้ตัวว่าอาจไม่อยู่รอดปลอดภัย เลยขอหย่าร้างภรรยา ระหว่างกำลังถูกกล่าวยุวชนแดงประณามเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ
ลฺหวี่ลี่ผิง, 吕丽萍 (เกิดปี 1960) นักแสดงชาวจีน เกิดที่กรุงปักกิ่ง สำเร็จการศึกษาจาก Central Academy of Drama กลายเป็นนักแสดงในสังกัด Shanghai Film Studio เริ่มมีชื่อเสียงจาก Old Well (1986), No Regrets About Youth (1991), The Blue Kite (1993) ฯลฯ
รับบทเฉินซู่เจียน ทำงานเป็นครูสอนหนังสือ เพียงต้องการชีวิตที่เรียบง่าย สงบสุขสบาย อยู่รอดปลอดภัยร่วมกับบุตรชาย แต่กลับต้องสูญเสียสามี แล้วพอแต่งงานใหม่อีกสองครั้งล้วนมีเหตุให้กลายเป็นหม้าย จนสุดท้ายแทบมิอาจอดรนทนได้อีกต่อไป
ผมรู้สึกว่าลฺหวี่ลี่ผิง เป็นนักแสดงหน้าตาบ้านๆ ไม่ได้สวยเจิดจรัส ดูธรรมดาๆติดดิน แต่ฝีไม้ลายมือถือว่าหาตัวจับยากยิ่ง! รอยยิ้มของเธอสร้างความอบอุ่น พบเห็นแล้วรู้สึกเบิกบานหฤทัย เมื่อไหร่คิ้วขมวด สีหน้าตาบึ้งตึง ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความอึดอัดอั้น เจ็บปวดรวดร้าวทรวงใน รู้สึกสงสารเห็นใจ ทำไมชีวิตประสบพบเจอแต่เรื่องร้ายๆ
ในตอนแรกผมมองตัวละครนี้คือสัญลักษณ์ ‘มาตุภูมิ’ จีนแผ่นดินใหญ่ แต่งงานสามสามีก็คือสามนโยบายหลักของประธานเหมาเจ๋อตุง แต่หลังจากขบครุ่นคิดอยู่สักพัก มันก็ไม่จำเป็นต้องตีความให้ลึกซึ้งขนาดนั้น เพียงแค่หญิงสาวและมารดา ตัวแทนประชาชนทั่วๆไปที่โหยหาชีวิตที่เรียบง่าย สงบสุขสบาย อยู่รอดปลอดภัย ก็เพียงพอแล้วนะครับ!
สำหรับสามี/บิดาทั้งสาม ผมขอกล่าวถึงเพียงคร่าวๆนะครับ
- ผู่ฉวนซิน, 濮存昕 (เกิดปี 1953) นักแสดงชาวจีน เกิดที่ปักกิ่ง วัยเด็กป่วยเป็นโปลิโอเลยมักโดดเพื่อนล้อเลียน จนกระทั่งอายุ 9 ขวบเข้ารับการผ่าตัดจนสามารถเดินได้เหมือนปกติ, ความที่บิดาเป็นนักแสดงชื่อดัง โตขึ้นเลยติดตามรอยเท้าบิดา ผลงานส่วนใหญ่คือละครเวที มีผลงานภาพยนตร์ประปราย อาทิ The Blue Kite (1993) ฯ
- รับบทบิดาหลินเส้าหลง ทำงานบรรณารักษ์ห้องสมุด เริ่มต้นเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน ก่อนแปรสภาพสู่ความเก็บกด เคร่งขรึม เพราะหลังจากเพื่อนสนิทแสดงความคิดเห็นเอียงขวา แล้วเพื่อนอีกคนโยนความผิดข้อหาดังกล่าวให้ กลายเป็นความโชคร้ายหล่นใส่ (แถมเข้าห้องน้ำไม่รู้เวลาร่ำเวลา) เลยถูกส่งตัวไปใช้แรงงานหนัก เสียชีวิตแบบไม่มีใครคาดคิดถึง
- หลี่เสวี่ยเจี้ยน, 李雪健 (เกิดปี 1954) นักแสดงชาวจีน เกิดที่ Juye County มณฑลซานตง, ช่วงระหว่างอาสาสมัครกองทัพปลดปล่อยประชาชน ได้เข้าร่วมคณะการแสดง Kongzheng Art Troupe ตามด้วย Central Experimental Theatre จากนั้นมีผลงานละครเวที ซีรีย์โทรทัศน์ ภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ Unforgettable Life (1989), The Blue Kite (1993), The Emperor and the Assassin (1998), The Go Master (2006) ฯลฯ
- รับบทลุงหลี่กั่วตง เพราะความหวาดกลัวต่อการรณรงค์ต่อต้านพวกความคิดเอียงขวา ทำให้เขียนรายงานใส่ร้ายป้ายสีหลินเส้าหลง แม้ตนเองสามารถเอาตัวรอดพ้น แต่เพื่อนรักกลับต้องประสบอุบัติเหตุตกตาย กลายเป็นความรู้สึกผิดไม่เป็นอันกินอันนอน พยายามให้ความช่วยเหลือเฉินซู่เจียน และชอบตามใจเถี่ยเถา จนเธอยินยอมใจอ่อนตอบตกลงแต่งงาน ยังไม่ทันมีความสุขร่วมกันก็พลันจบชีวิต ล้มป่วยโรคขาดสารอาหาร
- กัวเป่าชาง, 郭寶昌 (เกิดปี 1940) นักแสดง/นักเขียน/ผู้กำกับชาวจีน เกิดที่ปักกิ่ง ที่บ้านมีฐานะยากจน เลยเติบโตขึ้นกับครอบครัวบุญธรรม วัยเด็กชื่นชอบการเขียนนวนิยาย พอโตขึ้นได้รับโอกาสเข้าเรียนสาขาการกำกับ Beijing Film Academy ด้วยความที่เป็นคนขวาจัดเลยถูกจับคุมขัง ช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่หลังจากพานผ่านช่วงเวลาดังกล่าว ก็ได้รับมอบหมายทำงานยัง Guangxi Film Studio มีผลงานทั้งการแสดง กำกับภาพยนตร์ เป็นหนึ่งในบุคคลเบื้องหลังช่วยผลักดันผู้กำกับรุ่นห้า
- รับบทพ่อบุญธรรมอู๋เสี่ยวเฉิง เป็นคนนิ่งเงียบ เคร่งขรึม วันๆเห็นแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน แทบไม่เคยพูดคุยกับเฉินซู่เจียน (ราวกับคนรับใช้) หรือเล่นสนุกสนานกับเถี่ยเถา (แม้ไม่ชอบหน้าสักเท่าไหร่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเปิดใจอ่อน) กระทั่งวันหนึ่งรับรู้ตัวว่าอาจไม่อยู่รอดปลอดภัย เลยขอหย่าร้างภรรยา และระหว่างกำลังถูกกล่าวประณามเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ
ส่วนเด็กชายเถี่ยเถา ต้องชมทีมคัดเลือกนักแสดง สามารถสรรหาเด็กสามคนที่หน้าตาเหมือนกันยังกะแกะได้อย่างไร ประกอบด้วย Yi Tan (เด็กเล็ก), Zhang Wenyao (เด็กชาย) และ Chen Xiaoman (เด็กหนุ่ม) แถมแสดงนิสัยแก่นแก้ว เอาแต่ใจ ยังโคตรๆน่าประทับใจมากๆ
ถ่ายภาพโดยโฮ่วหยง, 侯詠 (เกิดปี 1960) ตากล้อง/ผู้กำกับรุ่นห้า สำเร็จการศึกษาจาก Beijing Film Academy เมื่อปี 1982 เริ่มต้นร่วมงานผู้กำกับเทียนจวงจวง The Horse Thief (1986), The Blue Kite (1993), และผู้กำกับจางอี้โหมวเรื่อง Not One Less (1999), The Road Home (1999), Hero (2002) ฯลฯ
แน่นอนว่าชื่อหนัง The Blue Kite (1993) ก็ต้องพบเห็นน้ำเงินเข้มๆปรากฎอยู่แทบทุกช็อตฉาก (ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่) แต่เพราะมันไม่ใช่สีที่เจิดจรัส (เหมือนสีแดงหรือเหลืองทอง) และคุณภาพ DVD หารับชมได้ในปัจจุบันก็ไม่เลิศเลอสักเท่าไหร่ มันเลยรู้สึกกลมกลืนพื้นหลัง คอยสร้างบรรยากาศอึมครึม หนักอึ้ง เหมือนมีอะไรบางอย่างกดทับผู้ชม สะสมความอึดอัดอั้นไปพร้อมๆกับตัวละคร
อย่างที่อธิบายไปว่าสไตล์ของผู้กำกับเทียนจวงจวง เน้นความเรียบง่าย ธรรมดาๆสามัญ งานภาพของหนังก็ไม่ได้มีเทคนิคลูกเล่น ลีลาการนำเสนอหวือหวาประการใด แต่ก็ซุกซ่อนเร้นนัยยะเชิงสัญลักษณ์ผ่านการจัดองค์ประกอบฉาก ‘Mise-en-scène’ สำหรับชวนให้ขบครุ่นคิดไม่น้อยทีเดียว
ภาพแรก-สุดท้าย Opening-Closing Credit นำเสนอว่าวน้อยสีน้ำเงินในลักษณะแตกต่างตรงกันข้าม ถ่ายตามแสง-ย้อนแสง สว่างจร้า-เงามืด โบยบินบนท้องฟ้า-หยุดนิ่งติดอยู่บนยอดไม้
นี่ไม่ใช่การ ‘ชักว่าว’ แบบหนังของคุณเจ้ย แต่คือสัญลักษณ์ของความหวัง เพ้อใฝ่ฝัน อิสรภาพโบยบิน แต่ทุกครั้งที่พบเห็นตัวละครกำลังเล่นว่าว ล้วนมีเหตุให้มันต้องแล่นมาติดบนยอดไม้ ไม่สามารถนำกลับลงมาได้ ต้องปล่อยให้พังทลาย ย่อยสลาย แล้วค่อยเริ่มต้นสร้างว่าวอันใหม่
สังเกตว่าทุกครั้งที่ว่าวน้อยติดอยู่บนยอดไม้ มักเป็นจุดเปลี่ยนนำเข้าสู่หายนะในตอนนั้นๆ ความสุขที่เคยได้รับกำลังจะสูญเสียมันไป อันเป็นผลกระทบจากอิทธิพลยุคสมัย นโยบายใหม่ๆของประธานเหมาเจ๋อตุง ครุ่นคิดขึ้นมาสำหรับพัฒนาประเทศชาติ (ให้ก้าวถดถอยหลังลงคลอง)
งานแต่งงานต้องเลื่อนไปสิบวันเพราะการเสียชีวิตของ Joseph Stalin ใครก็ไม่รู้?? นี่เป็นการใบ้ถึงวิถีชีวิตชาวจีนยุคสมัยนั้น ถูกบีบบังคับให้ต้องยุ่งเกี่ยวประเด็นการเมือง ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้เรื่อง หรือมีความเข้าใจ กลับได้รับอิทธิพล ผลกระทบ ถึงขั้นเป็น-ตาย ชิบหายวอดวาย ไร้ซึ่งความสงบสุข ไม่มีใครอยู่รอดปลอดภัย
ของขวัญวันแต่งงานของ(ลุง)หลี่กั่วตง คือปูนปั้นปลาสเตอร์ม้า แพะ และลูกแกะ นี่น่าจะเป็นการอ้างอิงถึงผลงานก่อนหน้า The Horse Thief (1986) ซึ่งเจ้าม้าคือสัตว์สัญลักษณ์แทนจิตวิญญาณมนุษย์ ในบริบทนี้สามารถสื่อถึงบรรดาสามีทั้งสาม หลินเส้าหลง (ลุง)หลี่กั่วตง และอู๋เสี่ยวเฉิง ซึ่งระหว่างกำลังขับร้องเพลงแต่งงาน/สรรเสริญประธานเหมา ศีรษะของมันก็ตกหล่นคอขาด นี่มันลางบอกเหตุร้ายชัดๆ แถมแฝงอีกนัยยะโจ่งแจ้งเกินไปไหม???
สำหรับเจ้าแพะ(หรือแกะหว่า?)คือตัวแทนของภรรยา/มารดาเฉินซู่เจียน ส่วนลูกแกะเถี่ยเถาไม่รู้ทำไมถึงมีสองตัว?? อาจเป็นการอวยพรให้มีน้องสองคน แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จสมหวัง
เฉินซู่เซิง (พี่ชายของเฉินซู่เจียน) คือนักบินอนาคตไกล มีแนวโน้มได้รับเลือกเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แต่สายตากลับค่อยๆพร่ามัว ไม่สามารถเผชิญหน้าแสงแดดจร้า ซึ่งหลายครั้งหนังก็จงใจขณะเปิดประตู ทำให้แสงภายนอกดูฟุ้งๆ ขาวโพลน ทำให้เขาค่อยๆสูญเสียอนาคตจนมองไม่เห็นอะไร
แซว: ขณะที่เด็กๆทำได้แค่ละเล่นว่าว ผู้ใหญ่สามารถขับเครื่องบินไปไกลกว่า แต่สุดท้ายแล้วเฉินซู่เซิงกลับสูญเสียการมองเห็น ไม่สามารถทะยานขึ้นท้องฟ้าได้อีกต่อไป (=ว่าวติดอยู่บนยอดไม้)
ถึงผมจะอ่านข้อความไม่ออกสักคำ แต่การจัดฉากลักษณะนี้สร้างบรรยากาศช่วง Hundred Flowers Campaign (1956-57) และ Anti-Rightist Campaign (1957-59) ได้ดีนักแล! คาดว่ามันคงคือการแสดงความคิดเห็นของปัญญาชน กลายเป็นกฎกรอบห้อมล้อมโลกทัศน์ของประชาชน
ความพิลึกพิลั่นของสาธารณรัฐประชาชนจีนยุคสมัยนั้น คือเริ่มต้นออกนโยบายการรณรงค์ร้อยบุปผา, Hundred Flowers Campaign (1956-57) ตั้งใจส่งเสริมให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย แต่เบื้องลึกกลับเป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ นำสู่การรณรงค์ต่อต้านพวกความคิดเอียงขวา, Anti-Rightist Campaign (1957-59) เพื่อกำจัดบุคคลผู้เห็นต่างทางการเมือง … เอาจริงๆคือเกิดความขัดแย้งระดับผู้นำภายในพรรคคอมมิวนิสต์ ประธานเหมาซึ่งมีฐานเสียงมั่นคงกว่าจึงออกแคมเปญใหม่เพื่อกำจัดศัตรู(การเมือง)เหล่านั้น
นี่คือช็อตแห่งความซวยของหลินเส้าหลง เข้าห้องน้ำไม่รู้จักเวล่ำเวลา ระหว่างการประชุมเพื่อหาโควต้าส่งคนไปใช้แรงงานเกษตรกรรมต่างจังหวัด พอดิบพอดีเดินเข้าห้องประชุมช็อตนี้ กล้องถ่ายจากด้านหลัง(ของหลินเส้าหลง)เห็นผู้เข้าร่วมประชุมนั่งเรียงรายฝั่งขวา (ล้อกับชื่อช่วงเวลา Anti-Rightist อย่างตรงไปตรงมา)
แฟนสาวของเฉินซู่เซิง จากเคยเจิดจรัสนักแสดงนำละครเวที มีแนวโน้มจะได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เพราะปฏิเสธคำสั่งของหัวหน้า ต้องการเลือกดำเนินชีวิตอย่างเสรี สนองความพึงพอใจของตนเอง เลยถูกส่งไปโรงงานผลิตท่อ เปลอะเปลื้อน เกรอะกรัง แถมยังถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเอนเอียงฝั่งขวา โดนจับติดคุกติดตาราง สูญเสียสิ้นอิสรภาพ ชีวิตบัดซบโดยทันที!
การพองตัวของกบ/คางคก/อึ่งอ่าง มักเพื่อข่มขู่ศัตรูให้เกิดความหวาดกลัว มักใช้เป็นสัญลักษณ์ของการโอ้อวด (ระหว่างผสมพันธุ์ให้ตัวเมียหลงใหล) เย่อหยิ่งจองหอง หลงตนเอง ครุ่นคิดว่าฉันเก่ง แต่ถ้าไม่รู้จักประมาณตนย่อมระเบิดแตกตายก็เป็นได้!
เอาจริงๆผมค่อยแน่ใจว่าฉากนี้ต้องการสื่ออะไร? เพราะมันปรากฎขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มารดาต้องการขอโทษบุตรชายที่เข้าใจผิดเรื่องจดหมาย เลยยินยอมพับกบให้เป่าพองลม แต่มันสามารถล้อเลียนถึงรูปร่างอันอวบอ้วนของประธานเหมา รวมถึงการไม่รู้จักประมาณตนเองในหลายๆเรื่อยๆ
เฉินซู่เจียนอ่านจดหมายความตายของหลินเส้าหลง ท่ามกลางความมืดมิด ขณะนั้นไฟฟ้าดับสนิท จึงต้องเปิดไฟฉายสาดส่อง เป็นการสะท้อนสภาพจิตใจตัวละครขณะนี้ได้เป็นอย่างดี! ซึ่งระหว่างนี้จะมีปรากฎภาพหลุมฝังศพ ณ ป่าเบิร์ชแห่งหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าอยู่แห่งหนไหน (น่าจะทางตอนเหนือของประเทศจีน)
เกร็ด: เบิร์ช (Birch Tree) หนึ่งในต้นไม้ประจำชาติ จิตวิญญาณของชาวรัสเซีย แม้ภายนอกดูบอบบางแต่ก็มีความแข็งแกร่งภายใน ชื่นชอบอากาศหนาวจึงเติบโตแถบอเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น จีน และหลายๆประเทศที่มีหิมะตก, ชาว Celts/Celtic เชื่อว่าคือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ของการถือกำเนิด เริ่มต้นชีวิตใหม่ เรียกว่าวัฎจักรชีวิตก็ได้เช่นกัน
การมาถึงของลุงหลี่กั่วตง (เมื่อเข้าสู่องก์ที่สอง) กล้องถ่ายมุมเงยย้อนพระอาทิตย์ เหมือนต้องการสื่อว่าเขาจักกลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังใหม่ของครอบครัว และยังช่วยทำถ่านหิน(มั้งนะ) สิ่งสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาวรอบใหม่ที่กำลังย่างกรายมาถึง
เถี่ยเถาไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยเจ้านกกระจอก แต่มันบินออกจากมือของเขาไปเอง สามารถสื่อถึงสันชาตญาณทุกสรรพชีวิต ไม่มีใครไหนอยากโดนจับกุม คุมขัง หรือถูกควบคุมครอบงำ โดยเฉพาะถึงชาวจีนภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ ใครต่อใครย่อมโหยหาอิสรภาพชีวิต แต่น้อยนักจักสามารถดิ้นหลบหนีออกมา … ส่วนใหญ่คือลูกไก่ในกำมือ ถูกบีบก็ตาย ผ่อนคลายก็รอด
ใครเคยรับชม To Live (1994) น่าจะมักคุ้นกับการหลอมเหล็กในช่วง Great Leap Forward (1958-62) ซึ่งผมก็พยายามมองหาว่าหนังจะมีการนำเสนออะไรไหม แต่กลับไม่ปรากฎพบเจอเลยสักฉาก! นอกเสียจากเถี่ยเถากำลังเล่นกับธนูไม้ จริงอยู่มันไม่ได้ดูอันตรายใดๆ แต่ถือเป็นการวิพากย์วิจารณ์/ล้อเลียนยุคสมัยนี้ได้อย่างแนบเนียน เฉียบคมคาย!
การบริจาคเศษเหล็กเพื่อนำมาสร้างอาวุธ ฟังดูเป็นแนวคิดที่ดีแต่ความเป็นจริงแล้วมันกลับนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ (เพราะเศษเหล็กที่ได้จากการบริจาคมักมีธาตุอื่นผสมเจือปน จึงนำมาหลอมอาวุธไม่ได้!) กลายเป็นเศษขยะไร้ค่าหลายล้านตัน! เสียเวลา ไร้สาระ ไม่ต่างจากเด็กชายเถี่ยเถากำลังเล่นธนูไม้อย่างไร้ประสีประสา
ระหว่างที่ผู้ใหญ่กำลังสนทนาอะไรกันสักอย่าง เถี่ยเถาก็หยิบกล่องขึ้นมาตีฆ้องร้องเปล่า ราวกับรู้สึกไม่พึงพอใจ(เรื่องที่พวกผู้ใหญ่กำลังสนทนา) แม้เด็กชายยังไม่รู้ประสีประสา แต่มันคือการแสดงทัศนคติ/ความคิดเห็น/การวิพากย์วิจารณ์ของผู้กำกับเทียนจวงจวง (ต่อเรื่องราวที่บังเกิดขึ้น)
แซว: ฉากนี้นี่เองที่ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ The Tin Drum (1979) ไอ้เด็กเวรสามขวบนั่นชอบที่จะตีกลองเวลาไม่พึงพอใจอะไร ก็นัยยะคล้ายๆกันนี้แล
ลุงหลี่กั่วตงมาช่วยต่อท่อระบายอากาศ คงเป็นสัญลักษณ์ของการช่วยต่อลมหายใจ เพราะในช่วง Great Leap Forward (1958-62) ได้เกิดทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ (เกษตรกรถูกเกณฑ์มาหลอมเหล็ก จนต้องละทิ้งผลผลิตทางการเกษตร) อาหารการกินขาดแคลน ส่วนแบ่งที่ได้เพิ่มเติม (จากลุงหลี่) ทำให้แม่-ลูกไม่ต้องอดอยากปากแห้ง … แต่นั่นก็ให้ลุงหลี่เสียชีวิตจากโรคขาดสารอาหารแทน
หลี่กั่วตง พยายามสารภาพความผิดของตนเองที่ทำให้เฉินซู่เจียนต้องสูญเสียสามีหลินเส้าหลง แม้เธอไม่ได้แค้นเคืองโกรธประการใด แต่พยายามปฏิเสธความเห็นอกเห็นใจของเขา ลุกขึ้นยืนเห็นเพียงเงา ฉันไม่ใช่ขอทาน สามารถดูแลตนเองได้ แต่เขายังคงยืนกราน ไม่นานก็เอ่ยปากขอแต่งงาน แบบงงๆ … ในช่วงเวลาที่เถี่ยเถากำลังล้มป่วย นอนซมซานอยู่บนเตียง
โคมไฟของเถี่ยเถา ผมพยายามสังเกตจนเห็นว่ามันคือรูปม้า แน่นอนว่าล้อกับ The Horse Thief (1986) ที่เคยอธิบายไปแล้วว่าคือสัญลักษณ์แทนจิตวิญญาณ ซึ่งหลังจากมันมอดไหม้ (เพราะถูกกลั่นแกล้งจนตกใจ) เด็กชายวิ่งกลับบ้านพบเห็นลุงหลี่ระหว่างกำลังถือถาดเกี๋ยว (dumpling) จู่ๆทรุดล้มลงเข้าโรงพยาบาลแล้วเสียชีวิตจากไป
แซว: มันเป็นความบังเอิญไปไหมที่ To Live (1994) ก็ใช้เกี๋ยว เป็นสัญลักษณ์แทนการเสียชีวิตในช่วงเวลา Great Leap Forward (1958-62) น่าจะเพราะมันเป็นอาหารบ้านๆของชาวจีน สื่อถึงการตายที่เสียเปล่า เสียค่าโง่
การแต่งงานครั้งที่สามของมารดา ทำให้เถี่ยเถาย้ายมาอาศัยอยู่บ้านพ่อบุญธรรมอู๋เสี่ยวเฉิง แม้มีความหรูหรา ชนชั้นกลาง แต่กลับมอบสัมผัสเวิ้งว้าง เดียวดาย หลายช็อตมักถ่ายผ่านบานประตู ราวกับมีบางสิ่งอย่างมองไม่เห็นกีดกั้นขวางความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
เถี่ยเถาดูแล้วน่าจะเกิดอาการ ‘culture shock’ ล้อกับการกำลังมาถึงของ Cultural Revolution (1966-76) อย่างตรงไปตรงมา! ผู้ชมก็น่าจะสัมผัสได้เช่นเดียวกัน พบเห็นเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่แตกต่างขั้วตรงข้าม จากเคยมีเพียงห้องเช่าหลังเล็กๆ อาศัยอยู่ชิดใกล้มารดา สามารถวิ่งเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ พบปะผู้คนมากมาย กลายมาเป็นบ้านหลัง มีห้องส่วนตัว เริ่มเหินห่างจากมารดา (กลายสภาพเหมือนสาวใช้) ความสัมพันธ์กับบิดาบุญธรรมก็ยิ่งห่างไกล ไร้เพื่อนฝูง แทบไม่มีโอกาสรับรู้จักใครอื่น วันๆเลยต้องขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง
แซว: ไม่รู้ทำไมพอพบเห็นบ้านหลังนี้ ชวนให้ผมระลึกถึงภาพยนตร์ The Marriage of Maria Braun (1978) ของผู้กำกับ Rainer Werner Fassbinder โครงสร้างเรื่องราวก็ละม้ายคล้ายๆกันด้วยนะ
เถี่ยเถาขณะนี้น่าจะมีอายุประมาณ 11-12 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มอยากรู้อยากลอง มีความสนใจทางเพศ ‘sexual curiosity’ ฉงนสงสัยว่าบิดา-มารดาทำอะไรกันอยู่ชั้นบน แม้เป็นการแสดงออกที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา แต่มักสร้างความไม่พึงพอใจต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ชอบให้ลูกหลานมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องทางเพศของตนเอง
นอกจากพัฒนาการทางร่างกายจากเด็กเล็กสู่วัยรุ่ย ยังมีเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ อารมณ์ และสังคม กล่าวคือพวกเขาจักเริ่มครุ่นคิดว่า ตนเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กในปกครองของใครอีกต่อไป! ช่วงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสะท้อนพฤติกรรมของยุวชนแดง เมื่อวัยรุ่นหนุ่ม-สาวได้รับอำนาจ อภิสิทธิ์ชน มีสิทธิ์เสียงเหนือกว่าผู้ใหญ่ สิ่งที่พวกเขาจะแสดงออกก็คือ …
เถี่ยเถาพาน้องชาย (หลานของบิดาบุญธรรม) มาเล่นว่าวยังบริเวณที่มีสภาพปรักหักพังแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถสื่อถึงสภาพประเทศจีนในช่วง Cultural Revolution (1966-76) ด้วยอุดมการณ์ “ทำลายโลกเก่า สร้างโลกใหม่” มันก็เลยหลงเหลืออยู่แค่นี้แหละ!
เถี่ยเถากลับไปเยี่ยมเยียนบ้านพักหลังเก่า มีสภาพถูกทิ้งร้าง ปรักหักพัก นี่เช่นกันสะท้อนอุดมการณ์ของ Cultural Revolution (1966-76) “ทำลายโลกเก่า สร้างโลกใหม่” และเด็กชายก็กำลังจะได้ลิ้มลองรสชาติการสูบบุหรี่เป็นครั้งแรก!
มาถึงจุดนี้ผู้ชมคงคาดเดาได้ไม่ยากว่า บิดาบุญธรรมย่อมต้องประสบโชคชะตาเดียวกับบิดาและลุง/สามีสองคนก่อนหน้า แต่ฉากนี้ผมเอาแต่จับจ้องมองสมุดปกแดง สงสัยอยู่นานว่านำมาวางไว้ทำไม ก่อนเฉลยว่าเขาซุกซ่อนเงินเอาไว้ … นั่นทำเอาผมหลุดหัวเราะลั่น
เกร็ด: คติพจน์จากประธานเหมาเจ๋อตุง เป็นหนังสือรวบรวมคำแถลงการณ์จากสุนทรพจน์ และงานเขียนอื่นๆของเหมาเจ๋อตุง เริ่มตีพิมพ์ขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 ถึงประมาณปี ค.ศ. 1976 ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม โดยฉบับที่ได้รับความนิยมมากสุดคือการตีพิมพ์เล่มขนาดเล็ก พกพาสะดวก และปกสีแดงสด จึงมักเป็นที่รู้จักในระดับสากลว่า หนังสือเล็กแดง (Little Red Book)
ซึ่งการซุกซ่อนเงินในสมุดปกแดง บิดาบุญธรรมคงเชื่อว่าพวกยุวแดงคงไม่เปิดค้นหนังสือเล่มนี้ (เพราะราวกับหนังสือศักดิ์สิทธิ์/คัมภีร์ไบเบิ้ล เทิดทูนเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม) แต่แท้จริงแล้วมันก็แค่ถ้อยคำจอมปลอม หลอกลวง สร้างค่านิยมชวนเชื่อแบบผิดๆ จนกลายเป็นอีกความอัปยศของชาติบ้านเมือง
อิฐ คืออุปกรณ์พื้นฐานสำหรับการก่อสร้างบ้าน ซึ่งมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของการก่อสร้างประเทศชาติ(จีน) แต่เมื่อเถี่ยเถาถูกบรรดายุวแดงลุมกระทำร้าย ฉุดคร่ามารดา/บิดาบุญธรรม เขาเลยหยิบก้อนอิฐขึ้นมาทุบศีรษะใครคนหนึ่ง (ในจังหวะที่มุมกล้องถ่ายย้อนแสงอาทิตย์ด้วยนะ!) นี่เป็นการแสดงทัศนะอย่างเกรี้ยวกราด ไม่พึงพอใจอย่างรุนแรง รากฐานที่ควรมั่นคงเข้มแข็ง กลับใช้เป็นอาวุธในการทำลายตนเอง มันช่างเป็นความเจิดจรัสที่มืดมิดยิ่งนัก
ตัดต่อโดย Qian Lengleng, 錢泠泠
หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองเด็กชายเถี่ยเถา หวนระลึกความทรงจำโดยการเล่าจากเสียงบรรยาย (เหมือนว่าตัวละครเติบใหญ่จนสามารถรับรู้เรื่องราวทุกสิ่งอย่าง) ระหว่างเติบโตพานผ่านสามครอบครัว/สามการแต่งงานของมารดาเฉินซู่เจียน ที่ลงเอยด้วยการเป็นม่ายทั้งสามครั้งครา
- บิดาหลินเส้าหลง
- การรณรงค์ร้อยบุปผา, Hundred Flowers Campaign (1956-57) และการรณรงค์ต่อต้านพวกความคิดเอียงขวา, Anti-Rightist Campaign (1957-59) คือช่วงเวลาแห่งการทรยศหักหลัง อะไรๆก็สามารถบังเกิดขึ้นได้ หลินเส้าหลงไม่ได้ทำผิดอะไร ถูกใส่ร้าย และซวยชิบหาย!
- ลุงหลี่กั่วตง
- การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า, Great Leap Forward (1958-62) ก่อให้เกิดทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ ทำให้ข้าวยากหมากแพง นำไปสู่การเสียชีวิตด้วยของประชาชนนับล้านๆ รวมถึงลุงหลี่กั่วตงจากโรคขาดสารอาหาร
- พ่อบุญธรรมอู๋เสี่ยวเฉิง
- การปฏิวัติทางวัฒนธรรม, Cultural Revolution (1966-76) ช่วงเวลาที่คนหนุ่มสาวกล่าวประณามผู้หลักผู้ใหญ่ ทุบทำลายสิ่งข้าวของจากอดีต (เถี่ยเถาเลยโต้ตอบกลับด้วยการใช้ก้อนอิฐทุบพวกยุวชนแดง) จนหัวใจ/จิตวิญญาณของชาติพังทลายสูญสิ้น (อู๋เสี่ยวเฉิงหัวใจล้มเหลวเสียชีวิต
ลีลาการตัดต่อก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่สิ่งน่าทึ่งคือการเติบโตของเด็กชายเถี่ยเถา ทำเอาผมเข้าใจผิดไปสักพักเพราะใบหน้าพิมพ์เดียวกันเปี๊ยบ (เด็กๆทั้งสามไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆทางสายเลือด) ทีแรกแอบนึกว่าจะเป็นแบบ Boyhood (2014) จริงๆนะ!
คนที่เคยรับชม Farewell My Concubine (1993) และ To Live (1994) คงอดไม่ได้จะเกิดการเปรียบเทียบ ความแตกต่างคือ ‘มุมมอง’ การนำเสนอ The Blue Kite (1993) ใช้เด็กชายเถี่ยเถาซึ่งยังไม่ค่อยรู้ประสีประสา บิดาจากไปไหน? ลุงมาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้งทำไม? หรือแม้แต่ ‘sexual curiosity’ ระหว่างมารดากับพ่อบุญธรรม? และโดยเฉพาะช่วงท้าย เด็กชายน่าจะยังไม่รับรู้ตัว อะไรคือแรงผลักดันให้หยิบก้อนอิฐมาทุบศีรษะยุวชนแดงเหล่านั้น?
ความไร้เดียงสาของเด็กชายเถี่ยเถา น่าจะคือสิ่งที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์หวาดสะพรึงกลัวที่สุด เพราะหนังสามารถปลุกเร้า สร้างอารมณ์ร่วม แม้ตัวละคร(เถี่ยเถา)ยังไม่รับรู้เรื่องอะไร แต่ผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่จักบังเกิดความเข้าใจทุกสิ่งอย่าง!
เพลงประกอบโดย Otomo Yoshihide (เกิดปี 1959) นักกีตาร์/แต่งเพลง ชาวญี่ปุ่น เกิดที่ Yokohama แล้วไปเติบโตยยัง Fukushima ค้นพบความชื่นชอบดนตรี Jazz หลงใหลลีลากีตาร์ของ Masayuki Takayanagi, หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยร่วมก่อวงดนตรี Ground Zero แนว Expreimental Rock และมีผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ The Blue Kite (1993), Summer Snow (1995), Blue (2001), Inu-Oh (2022) ฯลฯ
งานเพลงของหนังมีลักษณะ Minimalist ท่วงทำนองไม่ได้สลับซับซ้อน ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้นแต่มีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ (กีตาร์, แบนโจ, เปียโน, เครื่องสังเคราะห์เสียง ฯ) ได้ยินเพียงสองสามครั้งก็สามารถจดจำได้ (มีต้นฉบับจาก Crow Song แล้วจะได้ยินท่วงทำนอง ‘nursery song’ นี้ตลอดทั้งเรื่อง) ล้วนเพื่อแต่งเติมเสริมบรรยากาศ คลอประกอบพื้นหลัง แทนอารมณ์ความรู้สึกที่หลบซ่อนอยู่เบื้องลึกในจิตใจ
ขอเริ่มต้นที่ Crow Song คุ้นๆว่าได้ยินทุกองก์ของหนังเลยนะ (มีทั้งพบเห็นเด็กชายขับร้อง, ท่วงทำนองดนตรี, Soundtrack ล่องลอยมา) ผมขี้เกียจหาข้อมูลรับรู้แค่ว่าคือเพลงสำหรับเด็ก ‘nursery song’ ก็เพียงพอแล้วกระมัง! ซึ่งเนื้อคำร้องเอาจริงๆเปลี่ยนจากอีกา (Crow) เป็นว่าวสีน้ำเงิน (Blue Kite) ก็ได้นัยยะไม่ต่างกันเลยนะ!
The crow on the tree,
The crow flying free.
The old crow flies no more,
Circling birds cry and caw.
Little birds look for food.
First feed mum and then the breed.
I wait for mine patiently,
For mum has always fed me.
Main Title (และ Ending Title) ล้วนนำท่วงทำนองจาก Crow Song มาเรียบเรียงดนตรีประกอบ Soundtrack ความแตกต่างมีเพียงจังหวะ/ความเร็ว (Tempo) และการใช้เครื่องดนตรีสลับสับเปลี่ยนแปลงไปมา (กีตาร์, แบนโจ, เปียโน, เครื่องสังเคราะห์เสียง ฯ) ซึ่งสามารถแทนความรู้สึก ห้วงอารมณ์ บรรยากาศเรื่องราวขณะนั้นที่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตวิทยาตัวละคร
สำหรับ Ending Title (ก็คือ Main Title นะแหละ) ทำการผสมผสานกีตาร์ + เปียโน ท่วงทำนองเบาๆ สร้างความเคลิบเคลิ้ม ให้รู้สึกผ่อนคลายจากไคลน์แม็กซ์อันตึงเครียด (แต่บางคนอาจท้อแท้หมดสิ้นหวังยิ่งขึ้นไปอีก) เหมือนต้องการนำพาผู้ชมหวนกลับสู่โลกความจริง ฟื้นตื่นขึ้นจากความเพ้อฝัน(ร้าย) หายนะของประเทศจีนก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทุกสิ่งอย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้เพียงแค่ความทรงจำเมื่อครั้นวันวาน
The Blue Kite (1993) ความทรงจำสีน้ำเงินเข้มๆของผู้กำกับเทียนจวงจวง และนักเขียนเหมาเสี่ยว (เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นของเหมาเสี่ยว แต่การแสดงทัศนะเชิงสัญลักษณ์น่าจะเป็นของเทียนจวงจวง) ในช่วงเวลาที่ชาวจีนส่วนใหญ่ต้องอดกลั้นฝืนทนต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะพวกเขายังละอ่อนเยาว์วัย ไม่รู้ประสีประสา เลยหลงเหลือเพียงความรู้สึก อารมณ์บางอย่างตราติดตรึงทรวงใน
ถ้านับจากการเสียชีวิตของ Joseph Stalin วันที่ 5 มีนาคม 1953 แล้วปีถัดมาให้กำเนิดเถี่ยเถา ถือว่าอยู่ในช่วงการประการรัฐธรรมนูญฉบับแรก (First Constitution) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 20 กันยายน 1954 นั่นแปลว่า
- เถี่ยเถาอายุเพียง 2-5 ขวบระหว่าง Hundred Flowers Campaign (1956-57) และ Anti-Rightist Campaign (1957-59) ถือว่ายังไม่รู้ประสีประสาอะไรทั้งนั้น
- อายุ 4-8 ขวบระหว่าง Great Leap Forward (1958-62) น่าจะพอจดจำอะไรๆได้บ้างแล้ว
- อายุ 12 ขวบเมื่อการมาถึงของ Cultural Revolution (1966-76) เริ่มที่จะรับรู้ เกิดอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ต่างๆ
อายุของเถี่ยเถาก็คืออายุของสาธารณรัฐประชาชนจีน! ในช่วงแรกๆต่างยังละอ่อนเยาว์วัย ออกนโยบายเหมือนเด็กไร้เดียงสา (Hundred Flowers Campaign & Anti-Rightist Campaign) อยากจะเร่งรีบเติบโตแบบก้าวกระโดด (Great Leap Forward) แล้วปฏิวัติโค่นล้มอำนาจผู้หลักผู้ใหญ่ (Cultural Revolution) แต่กลับทำให้ทุกสิ่งอย่างถดถอยหลังลงคลอง เพราะวุฒิภาวะขณะนั้นก็แค่เด็กอายุ 12 ขวบ!
แซว: ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่อายุ 22 ปี (สิ้นสุด Cultural Revolution) ถึงค่อยตระหนักรับรู้ว่าทุกสิ่งอย่างคือความผิดพลาด
ถ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างมารดาเฉินซู่เจียนกับสามสามี ก็จะพบเห็นการแสดงความคิดเห็น/วิพากย์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองในเชิงสัญลักษณ์ อย่างเจ็บปวดรวดร้าว สั่นสะท้านทรวงใน
- สามีหลินเส้าหลง ปฏิบัติต่อภรรยาอย่างเท่าเทียม มีทั้งมุมดีๆ-แย่ๆกับบุตรชาย ไม่เคยแสดงความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใด แต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี ตีตราว่าเอนเอียงฝั่งขวา เลยโดนส่งไปใช้แรงงานหนัก ซวยชิบหายตัดต้นไม้หล่นทับ!
- ลุงหลี่กั่วตง เพราะความรู้สึกผิดต่อเฉินซู่เจียนและเถี่ยเถา จึงยินยอมอดข้าวอดน้ำ ให้ความช่วยเหลือ นำสิ่งข้าวของมาปรนปรนิบัติ เอาอกเอาใจทั้งสอง นั่นทำให้เขาล้มป่วยเสียชีวิตจากโรคขาดสารอาหาร
- พ่อบุญธรรมอู๋เสี่ยวเฉิง เพราะมีลาภยศ ฐานะทางสังคม สองแม่ลูกจึงมีความเป็นอยู่สุขสบาย แต่ก็แลกมากับความเย็นชา เหินห่าง ไม่ต่างจากคนรับใช้ ถึงอย่างนั้นเขากลับยังถูกยุวชนแดงฉุดคร่า กล่าวประณาม จนหัวใจมิอาจอดรนทนไหว
ไม่เพียงเท่านี้ตัวละครรอบข้าง/ญาติพี่น้อง ต่างเคลือบแฝงนัยยะเชิงสัญญะไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ที่เจ็บจี๊ดสุดๆก็คือเฉินซู่เซิง แม้เคยเป็นทหารอากาศอนาคตสดใส แต่สายตากลับค่อยๆมืดบอด (สื่อถึงอนาคตของประเทศจีนที่ค่อยๆพร่าเลือนลางจนมองไม่เห็นอีกต่อไป) รวมถึงความสัมพันธ์กับแฟนสาวที่เหินห่างไกล (ความสุขที่ไม่มีวันได้รับ) ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากโศกนาฎกรรมสักเท่าไหร่
ผู้กำกับเทียนจวงจวง คือหนึ่งในบุคคลได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (1966-76) พบเห็นบิดา-มารดา ถูกพวกยุวชนแดงฉุดคร่า กล่าวประณามต่อหน้าสาธารณะ นั่นทำให้เขาเต็มไปด้วยอคติ ไม่เข้าใจ ไม่พึงพอใจ มันบังเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร? เมื่อกลายมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ก็มักสอดแทรกทัศนคติดังกล่าวลงไปในผลงานอยู่เรื่อยๆ September (1984), On the Hunting Ground (1985) โดยเฉพาะ The Horse Thief (1986) ที่เหมือนไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องอะไร แต่เคยให้สัมภาษณ์บอกว่า
The Horse Thief is a story about belief, death, and how to survive. No matter which generation you’re from, you’ll always have to think about that. Because at the time, I just experienced the biggest political movement at the time, The Cultural Revolution, of course I was thinking about these themes. Using a Tibetan story is easier to tell than using a Han Chinese story, which would be more complex.
เทียนจวงจวง
แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง การสรรค์สร้างผลงานที่เอาแต่หลบหลีก เบี่ยงเบนความสนใจ (จากกองเซนเซอร์) มันไม่เพียงพอตอบสนองความอึดอัดอั้นที่ฝังลึกทรวงในศิลปิน จึงกลายมาเป็นภาพยนตร์ The Blue Kite (1993) ที่พร้อมเผชิญหน้า ท้าต่อยตี แต่พยายามอย่างยิ่งในการหลีกเลี่ยงประเด็นละเอียดอ่อน แล้วซุกซ่อนความคิดเห็นผ่านนัยยะเชิงสัญญะ
ความโคตรน่าฉงนคือไม่ใช่แค่เทียนจวงจวง แต่ยังเฉินข่ายเกอ และจางอี้โหมว สามผู้กำกับร่วมรุ่นห้า (Fifth Generation) ไฉนถึงหาญกล้าเผชิญหน้ากองเซนเซอร์จีน สรรค์สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ในช่วงเวลาไล่เลี่ย เหมือนแอบนัดหมายกันล่วงหน้า … ผมก็คาดเดาว่าพวกเขาอาจนัดหมายกันจริงๆนะแหละ เพื่อว่ารวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย ถ้าไม่ตอนนี้แล้วจะตอนไหน!
ไคลน์แม็กซ์ของหนัง การแสดงออกทางอารมณ์ของเถี่ยเถา สังเกตไม่ยากว่าเขายังเด็กเกินจะรับรู้เข้าใจ เพียงพบเห็นมารดา(และบิดาบุญธรรม)ถูกกระทำร้ายโดยเหล่ายุวชนแดง ตระหนักถึงสิ่งเคยบังเกิดขึ้นกับครูใหญ่ (ที่เขาคงมีส่วนร่วมด้วยกระมัง) เลยพยายามเข้าไปหักห้าม หยุดยับยั้ง เมื่อพบว่าอับจนหนทางจึงหยิบก้อนอิฐ (สัญลักษณ์รากฐานพรรคคอมมิวนิสต์) ทุบศีรษะใครบางคน แต่นั่นก็ไม่สามารถแก้ไขปรับเปลี่ยนแปลงอะไร
ภาพยนตร์เรื่องนี้ The Blue Kite (1993) ก็ไม่ต่างจากอิฐก้อนนั้น ต้องการพูดบอกความคิดเห็น วิพากย์วิจารณ์ แสดงปฏิกิริยาอารมณ์ต่อช่วงเวลาดังกล่าวออกมา แต่ทำได้แค่สะกิดต่อมลูกหมากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้กำกับเทียนจวงจวงเลยโดนโต้ตอบกลับอย่างแสนสาหัส ไม่สามารถนำหนังออกฉาย หรือก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ขณะที่เจ้าว่าวน้อยสีน้ำเงิน ทุกครั้งเมื่อนำมาถลาเล่นลม ล้วนมีเหตุให้ร่อนติดอยู่บนยอดไม้ ราวกับว่าความสุขเล็กๆได้พังทลาย เพียงต้องการชีวิตที่เรียบง่าย อยู่รอดปลอดภัย ล้วนมีเหตุอันเป็นไป ไม่สามารถต่อต้านทานกระแสแรงลม ล้วนติดหล่มมรสุมทางการเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีน
โชคชะตาของผู้กำกับเทียนจวงจวง หลังจากถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยววงการภาพยนตร์นานถึง 7 ปี! มันช่างเลวร้ายรุนแรงมากๆ จำต้องลาออกจากตำแหน่งใน Beijing Film Studio พอหมดแบนก็แทบหมดสิ้นพละกำลังใจ ผลงานหลังจากนั้นล้วน ‘play safe’ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวประเด็นการเมือง มันจึงขาดความน่าหลงใหล ก่อนตัดสินใจรีไทร์หลังเสร็จสร้าง The Warrior and the Wolf (2009)
การลักลอกเข้าฉาย Directors’ Fortnight ในเทศกาลหนังเมือง Cannes ระหว่างถูกสั่งแบนในจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้มีหลายประเทศ/เทศกาลหนัง แสดงความสนใจนำไปจัดจำหน่าย และกวาดรางวัลความสำเร็จมากมายโดยเฉพาะ Tokyo International Film Festival คว้ามาถึง 3 รางวัล
- Tokyo Grand Prix
- Best Actress (ลฺหวี่ลี่ผิง)
- Special Mention ให้กับเด็กๆทั้งสาม Chen Xiaoman, Zhang Wenyao และ Yi Tan
แต่โอกาสที่หนังจะได้รับการบูรณะค่อนข้างน้อยยิ่งนัก ปัจจุบันพบเห็นเพียง DVD ของ Kino Video คุณภาพแค่พอใช้ ตามมีตามเกิด ไม่รู้จะมีค่ายไหนหาญกล้าทำ Blu-Ray ออกมาจัดจำหน่าย
ส่วนตัวมีความชื่นชอบหนังพอสมควร แต่น้อยๆกว่า Farewell My Concubine (1993) และ To Live (1994) เพราะหนังใส่อารมณ์ในการวิพากย์วิจารณ์อย่างรุนแรง พยายามบีบเค้นคั้นผู้ชมให้จิตใจแตกสลาย จริงอยู่การนำเสนอในเชิงสัญลักษณ์ทำให้มีความทรงคุณค่าทางศิลปะ แต่ความธรรดาๆของหนังก็น่าจะคืออีกเหตุผลหนึ่งที่เมื่อเปรียบเทียบสองผลงานอมตะ ทำให้ภาพรวมดูจืดจางลงไป ไม่ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่สร้างความประทับใจ เพียงความท้อแท้หมดสิ้นหวัง บอกตามตรงทำเอาผมไม่คิดอยากดูซ้ำสักเท่าไหร่
แนะนำคอหนังจีน ดราม่ารันทด ชีวิตครอบครัว เอาตัวรอดพานผ่านช่วงเวลาอันเลวร้าย, นักเรียน/นักศึกษา สาขารัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สนใจการวิพากย์วิจารณ์นโยบายการปกครองของรัฐ, และสำหรับคนที่ชอบครุ่นคิดวิเคราะห์นัยยะเชิงสัญลักษณ์ ว่าวที่แม้ไม่สามารถต้านกระแสแรงลม แต่จักคงอยู่ภายในจิตใจผู้ชมชั่วนิรันดร์
จัดเรต 15+ กับสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา