In the Heat of the Night (1967) : Norman Jewison ♥♥♥♥
“They call me Mister Tibbs!” และการตบหน้าคนขาวของ Sidney Poitier ถือเป็นหมุดไมล์ของชาวผิวสี (African-American) ในยุคสมัยการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมือง Civil Rights Movement (1954-68), สามารถคว้า 5 รางวัล Oscar รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี
แม้ว่า Hays Code จะล่มสลายในปี ค.ศ. 1968 แต่บรรดาสตูดิโอ/ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างเริ่มไม่เห็นหัว ปฏิเสธร่วมสังฆกรรมมาตั้งแต่ Who’s Afraid of Virginia Woolf? (1966), หมุดไมล์สำคัญคือปี ค.ศ. 1967 เต็มไปด้วยผลงานที่ท้าทายขนบขนบกฎกรอบทางสังคมสมัยนั้น Bonnie and Clyde, Guess Who’s Coming to Dinner, In the Heat of the Night ฯ
ถ้าผมเป็นคณะกรรมการ Academy Award ปีนั้นคงปวดขมับอย่างแน่นอน นอกจากสามเรื่องนี้ยังมี The Graduate และ Doctor Dolittle เลือกยากมากๆว่าภาพยนตร์เรื่องไหนสมควรคว้ารางวัล Best Picture สุดท้ายตกเป็นของ In the Heat of the Night ที่อาจไม่ค่อยถูกใจใครหลายคน แต่ต้องถือเป็นอีกหมุดไมล์สำคัญ … ครั้งแรกของภาพยนตร์ที่มีนักแสดงผิวสีรับบทนำและคว้ารางวัล Oscar: Best Picture
แม้ว่า Sidney Poitier เข้าชิง Oscar: Best Actor ครั้งแรกกับ The Defiant Ones (1958) และคว้ารางวัลจาก Lilies of the Field (1963) แต่ผลงานที่ทำให้กลายเป็นดาวดาราค้างฟ้ากลับคือ In the Heat of the Night (1967) หลายคนอาจสะดุ้งตอนตบหน้าคนขาว แต่ยังมีประโยค “They call me Mister Tibbs!” คำว่า Mister ใช้กับบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือ นี่ถือเป็นการตบหน้า(เชิงนามธรรม)คนขาวในรัฐทางตอนใต้ Deep South ได้อย่างเจ็บแสบกระสันต์!
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือบทเพลง In the Heat of the Night แต่งโดย Quincy Jones, คำร้องโดยสามี/ภรรยา Alan & Marilyn Bergman, ขับร้องโดย Ray Charles ท่วงทำนองมีจังหวะช้าเนิบ และมักเอื้อยคำร้อง In the Heatttt of the Night มอบสัมผัสลุ่มร้อน มอดไหม้ทรวงใน นี่ฉันจะมาอดรนทน(อากาศร้อน)อยู่ทำไม? แฝงนัยยะถึงการอยู่ผิดที่ผิดเวลา แต่ค่ำคืนนี้อีกไม่นานก็ผ่านไป
Norman Frederick Jewison (1926-2024) ผู้กำกับ/นักแสดง สัญชาติ Canadian เกิดที่ Toronto, Ontario ตั้งแต่เด็กฉายแววด้านการแสดง ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อาสาสมัครทหารเรือ Royal Canadian Navy หลังปลดประจำการออกเดินทางท่องเที่ยว American South หวนกลับมาเรียนต่อ Victoria College แล้วย้ายสู่ London เขียนบทรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก หวนกลับมาแคนาดาทำงานยัง CBC Television ได้เป็นผู้ช่วย กำกับเกมโชว์ วาไรตี้ เข้าตานักแสดง Tony Curtis ชักชวนมากำกับภาพยนตร์เรื่องแรก 40 Pounds of Trouble (1962), แจ้งเกิดกับ The Cincinnati Kid (1965), The Russians Are Coming, the Russians Are Coming (1966), เคยเข้าชิง Oscar: Best Director จำนวนสามครั้ง แต่ไม่เคยได้สักรางวัล In the Heat of the Night (1967), Fiddler on the Roof (1971) และ Moonstruck (1987)
เกร็ด: คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า Norman Jewison เป็นชาว Jews (เพราะนามสกุล) แต่แท้จริงแล้วนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestant) กลุ่มเคลื่อนไหว Methodists
แม้ทศวรรษนั้นกลุ่มการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิพลเมือง Civil Rights Movement (1954-68) กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ผกก. Jewison ไม่ได้มีความสนใจในประเด็นเหล่านั้น เพียงได้รับมอบหนังสือจากโปรดิวเซอร์ Walter Mirisch แนะนำให้รู้จักกับนักเขียน John Ball อ่านแล้วเกิดสนใจอยากสรรค์สร้างภาพยนตร์ เท่านั้นเอง!
I don’t think people in the arts are that political, but I do think they have strong ideas of how the world should be and how society should be.
Norman Jewison
นวนิยาย In the Heat of the Night (1965) แนว Mystery แต่งโดย John Dudley Ball Jr. (1911-88) สัญชาติ African-American เกิดที่ Schenectady, New York แล้วไปเติบโต Milwaukee, Wisconsin หลังเรียนจบ Carroll College ทำงานเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ เขียนบทความลงนิตยสาร และครั้งหนึ่งเคยรักษาการนายอำเภอ (Reserve Deputy) ณ Los Angeles County Sheriff’s Office
เกร็ด: นวนิยาย In the Heat of the Night นอกจากขายดีเทน้ำเทท่าจนมีภาคต่อติดตามมามากมาย ยังสามารถคว้ารางวัล Edgar Award: Best First Novel
ดัดแปลงบทภาพยนตร์โดย Stirling Silliphant (1918-96) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Detroit, Michigan แล้วมาเติบโตยัง Glendale, California หลังเรียนจบ University of Southern California ทำงานเป็นนักเขียนรายการทอล์คโชว์ บทละคร ซีรีย์โทรทัศน์ Naked City (1958-63), Route 66 (1960-64), ภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ In the Heat of the Night (1967), The Poseidon Adventure (1972), The Towering Inferno (1974) ฯ
บทหนังมีความซื่อตรงต่อต้นฉบับนวนิยายอย่างมากๆ แต่ให้อิสระนักแสดงในการดั้นสด (Improvised) และปรับเปลี่ยนสถานที่พื้นหลังมาเป็น Sparta, Mississippi (ถ่ายทำยัง Sparta, Illinois) เพราะไม่สามารถยกกองไปถ่ายทำยังรัฐทางตอนใต้ (Deep South) ทศวรรษนั้นยังมีความเสี่ยงอันตรายมากเกินไป!
Sir Sidney Poitier (1927-2022) นักแสดงเชื้อสาย Bahamian แต่บังเอิญคลอดที่ Miami, Florida เลยได้รับสัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติ แล้วมาเติบโตยัง Bahamas จนกระทั่งย้ายมาอยู่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุ 15 ปีถัดมาเข้าร่วม American Negro Theater แรกๆไม่ได้รับการยอมรับเพราะ Tone Deaf ร้องเพลงไม่ได้ แต่ก็ฝึกหัดการแสดงด้วยตนเองจนกระทั่งได้รับบทนำละครเวที Broadways เข้าตาโปรดิวเซอร์ Darryl F. Zanuck จับเซ็นสัญญาแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก No Way Out (1950), โด่งดังกับ The Defiant Ones (1958), กลายเป็นนักแสดงผิวสีคนแรกที่คว้ารางวัล Oscar: Best Actor จากเรื่อง Lilies of the Field (1963), ผลงานเด่นอื่นๆ A Patch of Blue (1965), In the Heat of the Night (1967), Guess Who’s Coming to Dinner (1967) ฯ
รับบท Virgil Tibbs เดินทางมาเยี่ยมมารดา ระหว่างรอรถไฟเดินทางกลับ ถูกเข้าใจผิดว่าคือฆาตกร โดนดูถูกเหยียดหยามจากตำรวจ/ผู้กำกับการ Bill Gillespie อดกลั้นฝืนทนจนความจริงเปิดเผยว่าคือนักสืบจาก PPD (Philadelphia Police Department) ก็นึกว่าคงหมดเวรหมดกรรม หัวหน้าปลายสายแนะนำให้ช่วยเหลือตำรวจท้องถิ่น อยากปฏิเสธใจแทบขาด ก็มิอาจละทอดทิ้งภาระหน้าที่ ศักดิ์ศรีความเป็นตำรวจค้ำคอ
Poitier มีความกระตือลือร้นอยากรับบทบาทนี้ตั้งแต่อ่านนวนิยายต้นฉบับ เป็นตัวเลือกแรก ตัวเลือกเดียว แต่ด้วยข้อแม้ไม่ขอเดินทางข้ามเขตแดน Mason-Dixon Line ไปถ่ายทำยังรัฐทางตอนใต้ (South Deep) เพราะประสบการณ์เคยไปโปรโมทภาพยนตร์ แล้วถูกเพ่งเล็งจาก KKK (Ku Klux Klan) เสี่ยงอันตรายเกินไป … แต่ไม่แตกต่างจาก Gillespie สามารถโน้มน้าว Tibbs ให้ตัดสินใจอยู่ทำความคดีความ, ผกก. Jewison เกลี้ยกล่อม Poitier ยินยอมเดินทางไปถึงยัง Tennessee
บทบาท Virgil Tibbs ได้สร้างภาพจำอันเป็นเอกลักษณ์ของ Poitier ดูสุขุม เยือกเย็น สุภาพอ่อนน้อม แต่งตัวภูมิฐาน เฉลียวฉลาดปราชญ์เปรื่อง จนได้รับนับหน้าถือตา ‘Mister Tibbs’ แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความอดกลั้น เก็บกดอารมณ์เกรี้ยวกราดไว้ภายใน เมื่อไหร่ถูกกระทำร้ายก็พร้อมโต้ตอบกลับ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ไม่ยินยอมศิโรราบก้มหัวให้กับผู้ใด (โดยเฉพาะคนขาว)
ตรงกันข้ามกับ Steiger ที่มีความลุ่มร้อน ฉุนเฉียว หยาบโลน บทบาทของ Poitier ถือเป็น ‘น้ำกับไฟ’ จึงมักถูกมองข้าม (หลุดโผไม่ได้เข้าชิง Oscar: Best Actor) เพราะคิดเห็นว่าไม่ได้ต้องแสดงอะไรออกมามากมาย แต่แท้จริงแล้วลุ่มลึกกว่ามากๆ ต้องเก็บกด อดกลั้น เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน อีกทั้งการเป็นคนดำในรัฐทางใต้ไม่ใช่เรื่องปลอดภัย หวาดระแวง วิตกจริต หวาดกลัวความตาย แต่ยังสามารถสำแดงมนุษยธรรม พิสูจน์ตนเองต่อพวกคนขาว
Rodney Stephen Steiger (1925-2002) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Westhampton, New York ในครอบครัว Lutheran อาศัยอยู่กับมารดาเป็นนักร้อง นักแสดง ก่อนติดเหล้าจนสูญเสียทุกสิ่งอย่าง ปล่อยให้บุตรชายวัยห้าขวบถูกข่มขืน ทำร้ายร่างกาย พออายุสิบหกออกจากบ้านเข้าร่วมกองทัพเรือ (US Navy) ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ปลดประจำการออกมารับจ้างทั่วไป ก่อนตัดสินใจเข้าโรงเรียนการแสดง New School for Social Research เป็นลูกศิษย์ของ Erwin Piscator ทำให้ค้นพบความสามารถด้านนี้ เริ่มจากมีผลงานละครเวที เข้าร่วม Actors Studio รุ่นเดียวกับ Marlon Brando, Kal Malden, Eli Wallach ฝึกฝนเทคนิค Method Acting แจ้งเกิดกับภาพยนตร์ On the Waterfront (1954), Oklahoma! (1955), Al Capone (1959), The Pawnbroker (1964), Doctor Zhivago (1965), In the Heat of the Night (1967) **คว้ารางวัล Oscar: Best Actor, Waterloo (1970), Duck, You Sucker! (1971), The Lion of the Desert (1980) ฯ
รับบทผู้กำกับการ Bill Gillespie แผนก Sparta Police Department เป็นคนใจร้อน อารมณ์ฉุนเฉียว ใครทำอะไรไม่พึงพอใจก็ด่ากราด ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น นั่นรวมถึงนักสืบ Virgil Tibbs แม้รับรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร ก็ไม่อยากยินยอมรับว่าตนเองต่ำต้อย โง่เขลา พยายามหาข้อสรุปคดีความด้วยตนเอง จนแล้วจนรอดเอาแต่จับกุมผิดคน
เห็นว่า Steiger มีความสนิทสนมกับ Poitier มองหาโอกาสร่วมงานภาพยนตร์กันสักครั้ง แต่สไตล์การแสดงของพวกเขาแตกต่างตรงกันข้าม โดยไม่รู้ตัวสอดคล้องเข้ากันได้ดีอย่างกลมกล่อม (Steiger มาจากสำนัก Method Acting, Poitier เน้นการแสดงออกมาโดยธรรมชาติ)
หนึ่งในบทบาทการแสดงยอดเยี่ยมที่สุดของ Steiger มีความดิบ เถื่อน กล้าพูด กล้าแสดงความรู้สึก ไม่สามารถหยุดยับยั้งชั่งใจ ครุ่นคิดว่าฉัน(อวด)เก่ง โลกต้องหมุนรอบตนเอง แต่กลับทำอะไรไม่เป็นสักสิ่งอย่าง สะท้อนความฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะของตำรวจ(ทางตอนใต้) และตบหน้าพวกคลั่งขาว (White Supremacy) เหยียดผิว (Racism) ดูไม่ค่อยเหมือนมนุษย์มนาสักเท่าไหร่
เอาจริงๆถ้า Steiger คว้ารางวัล Oscar จากบทบาทอื่นอย่าง On the Waterfront (1954) หรือ The Pawnbroker (1964) เชื่อว่าน่าจะได้รับการจดจำมากกว่านี้ เพราะบทบาทของ In the Heat of the Night (1967) คือตำรวจจอมเหยียด มันจึงเป็นความกระอักกระอ่วน ขัดย้อนแย้งต่อสามัญสำนึก ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถแยกแยะระหว่างการแสดง-ชีวิตจริง
ถ่ายภาพโดย Haskell Wexler (1922-2015) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Chicago, Illinois ในครอบครัวเชื้อสาย Jews สำเร็จการศึกษาจาก University of California, Berkeley อาสาสมัครเป็นลูกเรือ Merchant Marine ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปลดประจำการทำงานบริษัทของบิดา Allied Radio ก่อนเปิดสตูดิโอถ่ายภาพของตนเอง รับงานฟรีแลนซ์ช่างภาพ ผลงานเด่นๆ อาทิ America America (1963), Who’s Afraid of Virginia Woolf? (1966), In the Heat of the Night (1967), The Thomas Crown Affair (1968), One Flew Over the Cuckoo’s Nest (1993) ฯ
งานภาพของหนังคละคลุ้งกลิ่นอาย Neo-Noir แต่ไม่ใช่แค่เงามืดหรือสีสันยามค่ำคืน, ตากล้อง Wexler ยังจัดแสงโดยพิจารณาถึงสีผิวของ Poitier พยายามทำให้ดูละมุน นุ่มนวล (สะท้อนตัวตนที่มีความสุภาพอ่อนน้อม) ตรงกันข้ามกับพวกตำรวจ แสงขาวหยาบกระด้าง (จิตใจต่ำทราม พฤติกรรมหยาบโลน) … เห็นว่าคือครั้งแรกๆของ Hollywood ที่การถ่ายภาพคำนึงถึงสีผิวนักแสดง
ด้วยความที่ฉากส่วนใหญ่ถ่ายทำตอนกลางคืนบนท้องถนน ยุคสมัยนั้นยังมีความยุ่งยาก ท้าทาย อุปกรณ์ถ่ายทำมีข้อจำกัดมากมาย ผกก. Jewison เลยตัดสินใจไม่ใช้การบันทึกเสียง Sound-On-Film แล้วค่อยให้นักแสดงพากย์ทับเอาภายหลัง (Post-Production) นี่จะช่วยลดงาน ลดงบประมาณ และการถ่ายทำสะดวกรวดเร็วขึ้นด้วย … ใช้เวลาโปรดักชั่น 10-12 สัปดาห์ ระหว่างกลางเดือนกันยายน ถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 1966
แม้ในนวนิยาย Wells, South Carolina จะคือเมืองสมมติ แต่ยุคสมัยนั้นไม่มีทางที่โปรดักชั่นภาพยนตร์เกี่ยวกับคนผิวสีจะสามารถเดินทางไปถ่ายทำยังรัฐทางตอนใต้ (Deep South) ทีมงานจึงต้องมองหาสถานที่ที่มีความใกล้เคียง ใช้เวลานานถึงสามเดือนกว่าจะพบเจอ Sparta, Illinois เลยเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองสมมติ Sparta, Mississippi เพราะจะได้ไม่ต้องแก้ไขป้ายชื่อที่อยู่อาศัย … แต่โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว Sparta, Mississippi กลับเป็นเมืองที่มีอยู่จริง! คนท้องถิ่นรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้เลยเกิดความสับสน เพราะไม่สักช็อตถ่ายทำละแวกนั้น
แม้ว่า Sidney Poitier ยืนกรานเสียงขันแข็งว่าจะไม่ข้ามเขตแดน Mason-Dixon Line (เส้นแบ่งเขตเหนือ-ใต้ เข้าสู่ Deep South) แต่ผกก. Jewison ก็พยายามโน้มน้าวจนยินยอมเดินทางสู่ Dyersburg และ Union City, Tennessee ซีเควนซ์ฟาร์มฝ้ายและเรือนกระจก (บ้านพักของ Eric Endicott) ถึงอย่างนั้นบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด นอกจากเวลาถ่ายทำ Poitier ไม่เคยออกจากห้องพักไปไหน … นี่ช่วยเสริมเติมซีเควนซ์นี้ให้ตัวละครมีความหวาดระแวง วิตกกังวล โชคดีไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายใดๆเกิดขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้สังเกตคือการใช้สัมผัส จับต้องร่างกาย โดยปกติแล้วพวกคลั่งขาวทางตอนใต้ มักไม่ยินยอมแตะเนื้อต้องตัวคนผิวสี ด้วยเหตุนี้การตบหน้าจึงเป็นฉากรุนแรง บางรัฐถึงขั้นผิดกฎหมาย สามารถโต้ตอบ เข่นฆ่าให้ตกตายโดยทันที!
- Mrs. Colbert ปฏิกิริยาแรกเริ่มคือต่อต้านขัดขืน แต่ไม่ใช่เพราะรังเกียจเดียดฉันท์ แค่ยังยินยอมรับการสูญเสียสามีไม่ได้ สัมผัสของ Tibbs แสดงความห่วงใย เป็นกำลังใจ ทำอย่างละมุน นุ่มนวล เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เธอไม่รู้สึกอึดอัด ตะขิดตะขวงใจ
- การชันสูตรศพ Philip Colbert มือของ Tibbs สัมผัสจับต้องด้วยความคล่องแคล่ว เชี่ยวชำนาญ มากด้วยประสบการณ์ แสดงถึงความเป็น ‘มืออาชีพ’
- ไฮไลท์ช่วงท้าย Gillespie เป็นผู้ยื่นมาขอจับมือด้วยตนเอง นั่นแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ให้ความเคารพ ยินยอมรับกันและกัน
สถานีรถไฟ สถานที่สำหรับการเดินทาง สลับสับเปลี่ยนราง/ขบวนรถไฟ
- หลายคนอาจไม่ทันสังเกตตอน Opening Credit ขบวนรถไฟมาจอดเทียบยัง Sparta, Mississippi กล้องถ่ายมุมก้มติดพื้น (ไม่เห็นหน้า) ชายคนหนึ่งเดินลงมา หรือก็คือนักสืบ Tibbs เพื่อรอการสลับสับเปลี่ยนขบวนรถไฟ
- ระหว่างกำลังนั่งรอคอยรถไฟ นายตำรวจ Sam Wood เกิดความเข้าใจผิด ครุ่นคิดว่าหมอนี่คือฆาตกร จึงควบคุมตัวไปไปยังโรงพัก ใช้ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
- ช่วงระหว่างกลางเรื่อง นักสืบ Tibbs มิอาจอดรทนต่อพฤติกรรมดูถูกเหยียดหยามของ Gillespie เลยต้องการเดินทางกลับบ้าน แต่อีกฝ่ายเพราะถูกบีบบังคับจึงเข้ามาพูดคุย โน้มน้าว งอนง้อคืนดี ท้าทายอีกฝ่ายด้วยข้ออ้างหน้าที่ และการพิสูจน์ตนเองของชาติพันธุ์
- ซีเควนซ์นี้ถ้ามองในเชิงนามธรรม จะเหมือนการสลับสับเปลี่ยนรางรถไฟ = นักสืบ Tibbs ปรับเปลี่ยนความตั้งใจ
- และการร่ำจากลา Gillespie เป็นคนยื่นขอจับมือ ให้การยินยอมรับ อำนวยอวยพรให้เขาไปดี
- มิตรภาพ ความสัมพันธ์ Bromance ของทั้งสอง อาจทำให้หลายคนจิ้นไปไกล จับมือไม่ต่างอะไรจากการจุมพิต (เพราะยุคสมัยนั้นการสัมผัสจับต้องเนื้อตัวยังเป็นสิ่งต้องห้ามระหว่างชาติพันธุ์)
การเดินทางไปยังฟาร์มฝ้ายเพื่อพบเจอกับ Eric Endicott อย่างที่บอกไปว่าสถานที่แห่งนี้ถ่ายทำยัง Tennessee ซึ่งอยู่ข้ามเขตแดน Mason-Dixon Line ในตอนแรกผกก. Jewison ครุ่นคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่เจ้าโรงแรมกลับแนะนำว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ให้หลีกเลี่ยง … นั่นทำให้ Poitier กักขังตนเองอยู่ในห้องพัก ออกมาเฉพาะตอนถ่ายทำ
สารพัดสิ่งอย่างในคฤหาสถ์หรูหราของ Eric Endicott ล้วนเต็มไปด้วยความขาวผ่อง ทั้งสีบ้าน เรือนกระจก รสนิยมดอกกล้วยไม้ รวมถึงหุ่นปั้นคนดำ(ทำหน้าตาตลกๆ)ยังสวมใส่ชุดสีขาว เหล่านี้บอกใบ้ถึงธาตุแท้ตัวตน คนคลั่งขาว (White Supremacy) ทุกสิ่งอย่างอ้างว่าทำเพื่อคนดำ เบื้องหลังกลับดูถูกเหยียดหยาม ไม่เคยให้การยินยอมรับนับถือ
ปล. ระหว่างทางที่ Gillespie ขับรถพานักสืบ Tibbs มาถึงยังคฤหาสถ์หลังนี้ คลอประกอบพื้นหลังด้วยบทเพลง In the Heat of the Night แต่ทั้งๆซีเควนซ์ไม่ใช่ตอนกลางคืน สภาพอากาศไม่ร้อนระอุ นั่นแสดงว่าต้องการสื่อถึงสถานที่แห่งนี้ บ้านหรูหราของ Eric Endicott มันมีบางสิ่งอย่างที่สร้างความลุ่มร้อนทรวงใน (แก่ชาวผิวสี)
ช็อตสุดท้ายของหนัง ลงทุนใช้ Helicopter เริ่มถ่ายจากนักสืบ Tibbs นั่งในตู้โดยสาร แล้วกล้องค่อยๆเคลื่อนถอยหลังเห็นขบวนรถไฟ ทิวทัศนียภาพกว้างใหญ่ นี่ลักษณะของการเปลี่ยนแปรสภาพ จากจุลภาคสู่มหภาค เหตุการณ์เกิดขึ้นในภาพยนตร์จักกลายเป็นสิ่ง “larger than life” ขยับขยาย สร้างอิทธิพลให้กับผู้คนต่างๆมากมาย
ตัดต่อโดย Hal Ashby (1929-88) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Ogden, Utah โตขึ้นเดินทางสู่ Los Angeles ทำงานเป็นผู้ช่วยตัดต่อ ก่อนแจ้งเกิดกับ The Loved One (1965), The Russians Are Coming, the Russians Are Coming (1966), In the Heat of the Night (1967), The Thomas Crown Affair (1968), จากนั้นผันตัวมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ The Landlord (1970), Harold and Maude (1971), Shampoo (1975), Being There (1979) ฯ
หนังดำเนินเรื่องผ่านคู่หูต่างสีผิว ผู้กำกับการ Bill Gillespie และนักสืบ Virgil Tibbs จาก PPD เพื่อสืบเสาะค้นหาใครคือฆาตกรสังหารโหดนักธุรกิจ Phillip Colbert แล้วทิ้งศพไว้กลางถนน
- อารัมบท, นายตำรวจ Sam Wood ระหว่างขับรถสายตรวจยามค่ำคืน บังเอิญพบศพนักธุรกิจ Phillip Colbert ถูกทิ้งศพไว้กลางถนน
- แนะนำนักสืบ Virgil Tibbs
- ผู้กำกับการ Bill Gillespie มอบหมายให้นายตำรวจ Sam Wood ออกสำรวจยังสถานที่ต่างๆ พบเจอกับชายผิวสีนั่งอยู่ในสถานีรถไฟ จึงควบคุมตัวมายังสถานีตำรวจ
- หลังจากซักไซร้ไล่เรียง ถึงค้นพบว่าชายผิวสีคนนั้นคือนักสืบ Virgil Tibbs จาก PPD
- หัวหน้าของ Tibbs โน้มน้าวให้เขาช่วยเหลือทำคดี ทีแรกพยายามบอกปัดปฏิเสธ Gillespie ก็ไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่สุดท้ายเดินทางไปชันสูตรศพผู้เสียชีวิต
- ผู้ต้องสงสัย Harvey Oberst
- Gillespie ทำการล้อมจับผู้ต้องหาหลบหนี Harvey Oberst พร้อมยัดข้อหาฆาตกร
- Tibbs เดินทางกลับมายังโรงพักเพื่อส่งมอบผลการชันสูตร ตรวจสอบคร่าวๆพบว่า Harvey Oberst ไม่ใช่ฆาตกร แต่ทว่าผู้กำกับกลับพยายามยัดข้อกล่าวหา สร้างความไม่พึงพอใจต่อ Mrs. Colbert (ภรรยาของผู้เสียชีวิต)
- Tibbs ปฏิเสธที่จะร่วมสังฆกรรมใดๆกับ Gillespie เตรียมตัวขึ้นรถไฟกลับ Philadelphia
- แต่ทว่า Mrs. Colbert กล่าวตำหนินายกเทศมนตรี เลยโน้มน้าวให้ Gillespie พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ Tibbs ยินยอมกลับมาทำคดี
- ผู้ต้องสงสัย Eric Endicott
- ณ สถานีรถไฟ Gillespie พูดโน้มน้าว Tibbs จนยินยอมหวนกลับมาทำคดีความ
- Tibbs ค้นพบเบาะแสสำคัญ ร่วมกับ Gillespie เดินทางไปยังฟาร์มฝ้าย พบเจอ Eric Endicott ยังเรือนกระจก
- Tibbs ถูกบรรดานักเลงหัวรุนแรง ที่มีความจงเกลียดจงชังคนผิวสี ขับรถไล่ล่า ต้อนจบมุม โชคยังดีได้รับความช่วยเหลือจาก Gillespie
- คราวนี้ Gillespie พยายามขับไล่ ผลักไส เรียกร้องขอให้ Tibbs เดินทางกลับ แต่เจ้าตัวตอบปัดปฏิเสธ ขอเวลาค้นหาข้อเท็จจริง
- ผู้ต้องสงสัย Sam Wood
- Tibbs ขอให้นายตำรวจ Sam Wood ขับรถตามเส้นทางสายตรวจ แวะเวียนร้านอาหารของ Ralph Henshaw แต่หลังจากนั้นกลับพาออกนอกเส้นทาง
- เช้าวันถัดมา Gillespie เดินทางไปธนาคาร ก่อนค้นพบเงินก้อนโตในบัญชีนายตำรวจ Sam Wood เลยครุ่นคิดว่าหมอนี่ต้องคือฆาตกร
- แต่ไม่ทันไร Lloyd Purdy พาน้องสาว Delores มายังโรงพัก เพื่อแจ้งจับกุมนายตำรวจ Sam Wood ว่าคือต้นเหตุให้เธอตั้งครรภ์
- Tibbs เดินทางไปยังสถานที่ตั้งโรงงานยังไม่ได้สร้างของ Phillip Colbert ขอโอกาสสุดท้ายจาก Gillespie
- ฆาตกรตัวจริง
- ค่ำคืนนั้น Tibbs เดินทางไปหา Mama Caleba เพื่อสืบค้นว่าใครคือคนรักของ Delores
- บังเอิญว่า Delores เดินทางมาหา Mama Caleba เพื่อจะทำแท้ง ทำให้ค้นพบว่าใครคือคนรักของเธอ
- เผชิญหน้าระหว่างพี่ชาย Lloyd ถูกยิงโดยคนรักของ Delores
- กลับมาที่โรงพัก คนร้ายรับสารภาพผิด
- ณ สถานีรถไฟ Gillespie เดินทางมาส่ง Tibbs
หนึ่งในลายเซ็นต์ของผกก. Jewison มักนำเสนอเรื่องราวในทิศทางวกไปวนมาอยู่บ่อยครั้ง อย่างในช่วงแรกๆ Gillespie ไม่ต้องการร่วมงานกับ Tibbs แต่ต่อมาถูกบีบบังคับให้ต้องกลืนน้ำลายตนเอง อ้อนวอนร้องขอ โน้มน้าวให้ช่วยอยู่ทำคดี และพอครึ่งหลังจากการตบหน้าครั้งนั้น Gillespie ก็พยายามขับไล่ ผลักไส แต่คราวนี้ Tibbs ไม่ยินยอมกลับ ฝืนทำคดีจนกว่าจะเสร็จสิ้น!
เพลงประกอบโดย Quincy Delight Jones Jr. (เกิดปี 1933) นักแต่งเพลง American Jazz เกิดที่ Chicago, Illinois เมื่อตอนอายุ 14 พบเห็น Ray Charles (ขณะนั้นอายุ 16 ปี) เล่นดนตรีในไนท์คลับ Black Elks Club เกิดความชื่นชอบหลงใหล ตัดสินใจเอาจริงจังด้านนี้ ได้รับทุนการศึกษาต่อ Berklee College of Music แต่ไม่นานก็ลาออกเพื่อเข้าร่วมทัวร์คอนเสิร์ตกับ Lionel Hampton, และยังเดินทางท่องยุโรปกับ Harold Arlen, จากนั้นมีโอกาสร่วมงานศิลปินชื่อดังมากมาย จนกระทั่งผู้กำกับ Sidney Lumet ชักชวนมาทำเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแรก The Pawnbroker (1964), ผลงานเด่นๆ อาทิ Walk, Don’t Run (1966), The Deadly Affair (1967), In Cold Blood (1967), In the Heat of the Night (1967), The Italian Job (1969), The Getaway (1972), The Color Purple (1985) ฯ
งานเพลงของ Jones แน่นอนว่าเลือกใช้สไตล์ดนตรี Blues Jazz บรรยากาศ Funky Mood ผมอ่านเจอว่ายังมีกลิ่นอาย Southern (ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไง) สร้างบรรยากาศตึงๆระหว่างสองตัวละครหลัก และมอบสัมผัสอันตราย ดินแดนไม่ปลอดภัยสำหรับชาวผิวสี
บทเพลงไคลน์แม็กซ์ Mama Caleba’s Blues บรรเลงเปียโนโดย Ray Charles ถ่ายทอดสัมผัสทางอารมณ์ที่เก็บกด ซุกซ่อนเร้น เต็มไปด้วยความอัดอั้น เสียงฮาร์โมนิก้าสะท้อนความวังเวงชีวิต การเป็นคนดำในดินแดนตอนใต้สหรัฐอเมริกัน มันช่างทุกข์ทรมาน ลำบากแสนเข็น
ค่ำคืนดึกดื่น สภาพอากาศร้อนระอุ เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้นยังรัฐทางตอนใต้ (Deep South) ของสหรัฐอเมริกา ดินแดนของพวกคลั่งขาว (White Supremacy) ดูถูกเหยียดหยามคนผิวสี (Racism) แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับต้องขอความช่วยเหลือนักสืบคนดำ นั่นไม่ใช่สิ่งน่าอภิรมณ์ใจเลยสักนิด!
มองผิวเผิน In the Heat of the Night (1967) นำเสนอกระบวนการสืบสวนสอบสวน (Police Procedural) เพื่อค้นหาตัวฆาตกรสังหารโหด แต่เหตุการณ์คู่ขนานบังเกิดขึ้นคือการเผชิญหน้าระหว่างผู้กำกับการ Bill Gillespie vs. นักสืบ Virgil Tibbs, ต่างเป็นตัวแทนความขัดแย้งระหว่างคนขาว vs. ผิวสี, ฟากฝั่งหนึ่งเอาแต่ใช้อารมณ์ แสดงออกผ่านคำพูด ภาษากาย vs. อีกฝ่ายครุ่นคิดด้วยเหตุผล แล้วยังต้องพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ภายใน
สหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษ 50s-60s เต็มไปด้วยการชุมนุมประท้วง เดินขบวนต่อต้าน เรียกร้องสิทธิโน่นนี่นั่นมากมาย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสองฝั่งฝ่าย สถานการณ์ร้อนระอุ บางครั้งลุกลามบานปลาย รุนแรงถึงขนาดฆ่าปิดปากเลยก็พบเห็นได้ทั่วไป (Political Assassination)
ความขัดแย้งระหว่างคนขาว vs. ผิวสี ช่วงทศวรรษนั้นน่าจะถือว่าเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันเลยก็ว่าได้ (ยิ่งกว่าตอนเลิกทาสเสียอีก!) เพราะพวกคลั่งขาวไม่สามารถยินยอมรับข้อเรียกร้อง สิทธิ เสมอภาคเท่าเทียม (ตอนเลิกทาสยังแค่ปลดแอกสถานะทางสังคม ยังไม่ได้ให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างคนขาว-ดำ) จึงเกิดการต่อสู้ โต้ตอบด้วยความรุนแรง เข่นฆ่าแกง ลอบสังหารทางการเมืองนับครั้งไม่ถ้วน!
In the Heat of the Night (1967) สะท้อนบรรยากาศความขัดแย้งระหว่างคนขาว vs. ชาวผิวสี โดยเฉพาะรัฐทางตอนใต้ที่ยังรุนแรง คุกรุ่น แม้กฎหมาย Jim Crow Laws เพิ่งถูกล้มล้างเมื่อปี ค.ศ. 1965 แต่ใช่ว่าคนเคยเต็มไปด้วยอคติ รังเกียจเหยียดหยาม ฟากฝั่งอนุรักษ์นิยม จะให้การยินยอมรับได้โดยทันที
ผมอธิบายไปตอนต้นว่าผกก. Jewison ไม่ได้มีความสนใจด้านการเมือง หรือเรื่องเรียกร้องสิทธิพลเมือง เพียงมือปืนรับจ้าง ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากโปรดิวเซอร์ แค่บังเอิญว่าผลงานเรื่องนี้ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญให้กับกลุ่มเคลื่อนไหว Civil Rights Movement ตบหน้าพวกคลั่งขาวทางร่างกาย วาจา และจิตใจ
ความสนใจจริงๆของผกก. Jewison เปรียบตนเองดั่งนักสืบ Virgil Tibbs ต่างเป็นคนต่างที่ต่างถิ่น จับพลัดจับพลู ถูกโน้มน้าวให้มาช่วยทำงานยังต่างแดน (ผกก. Jewison เป็นชาว Canadian เดินทางมาสรรค์สร้างภาพยนตร์ยัง Hollywood) … สังเกตว่าผกก. Jewison ซึ่งเป็นคนขาว เปรียบตนเองกับนักสืบผิวสี นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้สนใจความแตกต่างอะไรเลย จะมีก็แต่พวกอเมริกันที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่อง(ชาติ)พันธุ์นี้
สำหรับผู้แต่งนวนิยาย John Ball หลายคนมองเรื่องราวนี้คือการระบายอารมณ์เกรี้ยวกราด โกรธเกลียดแค้น หรือกระทั่งคลั่งดำ (Black Supremacy) [กลุ่มเคลื่อนไหวที่ล้อกับพวกคลั่งขาว] ถึงพยายามออกแบบตัวละครคนผิวสี ให้มีความเฉลียวฉลาด เก่งกาจ เหนือกว่าพวกคนขาวในทุกๆด้าน! แต่การจับมือ(ที่ไม่ต่างจากจุมพิต)ตอนจบ มันคือการให้การเกียรติ ยินยอมรับกันและกัน แสดงถึงความคาดหวังต่อเหตุการณ์ขัดแย้งชาติพันธุ์ จะสามารถหยุดยับยั้ง คลายความรังเกียจชังลงได้เสียที … ออกไปทางประณีประณอมเสียมากกว่า ใช้สติปัญญาเผชิญหน้าอารมณ์
ด้วยทุนสร้าง $2 ล้านเหรียญ ได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม สามารถทำเงินประมาณ $24.4 ล้านเหรียญ แต่บางเมืองต้องรีบนำออกจากโรงภาพยนตร์ เพราะมีการชุมนุมประท้วง (โดยคนขาว) จาก Newark, Milwaukee และ Detroit
หนังเข้าชิง Oscar จำนวน 7 สาขา สามารถคว้ามา 5 รางวัล แต่สิ่งน่าผิดหวังที่สุดก็คือ Sidney Poitier และ Quincy Jones (เพลงประกอบ) ไม่ได้รับโอกาสแม้จะเข้าชิง! ส่วนสาขาผู้กำกับ Jewison ก็ถูกแก่งแย่งไปโดย Mike Nichols เพราะปีก่อนพลาดรางวัลจาก Who’s Afraid of Virginia Woolf? (1966)
- Academy Award
- Best Picture **คว้ารางวัล
- Best Director
- Best Actor (Rod Steiger) **คว้ารางวัล
- Best Adapted Screenplay **คว้ารางวัล
- Best Film Editing **คว้ารางวัล
- Best Sound **คว้ารางวัล
- Best Sound Effects
- Golden Globe Awards
- Best Motion Picture – Drama **คว้ารางวัล
- Best Director
- Best Actor in a Motion Picture – Drama (Sidney Poitier)
- Best Actor in a Motion Picture – Drama (Rod Steiger) **คว้ารางวัล
- Best Supporting Actress (Quentin Dean)
- Best Supporting Actress (Lee Grant)
- Best Screenplay **คว้ารางวัล
ความสำเร็จของหนังทำให้มีการเข็นสองภาคต่อ แต่แค่เพียง Sidney Poitier ยินยอมหวนกลับมา แนะนำว่าไม่ต้องเสียเวลารับชมก็ได้มั้งนะ They Call Me Mister Tibbs! (1970), The Organization (1971)
กาลเวลาทำให้หนังได้รับการโหวตจากสถาบัน American Film Institite ติดอันดับหลายชาร์ททีเดียว
- AFI’s 100 Years…100 Movies (10th Anniversary Edition): #75
- AFI’s 100 Years…100 Cheers: #21
- AFI’s 100 Years…100 Heroes & Villains: #19 Virgil Tibbs (Hero)
- AFI’s 100 Years…100 Movie Quotes: #16 “They call me Mister Tibbs!”
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ 4K Ultra HD สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray จาก Criterion Collection และ Kino Lorber (แนะนำของ Kino Lorber เพราะยัดสองภาคต่อเข้ามาในของแถม) ส่วนของค่าย MGM ตั้งแต่ขายต่อให้ 20th Century Fox แล้วควบรวมกิจการ Walt Disney ก็ไม่รู้โชคชะตาร้ายดี
จริงๆผมตั้งใจจะรวบรวมเขียนถึงผลงาน Sidney Poitier ตั้งแต่เมื่อปีก่อน ตอนที่เพิ่งเสียชีวิต น่าเสียหายหาเวลาลงไม่ได้ จนกระทั่งเดือนที่แล้วถึงคราของผกก. Norman Jewison มันเลยจำเป็นต้องเขียนถึงภาพยนตร์เรื่องเสียที!
ส่วนตัวมีความชื่นชอบประทับใจหนังอย่างมากๆ สัมผัสบรรยากาศตึงเครียด ต่อต้านคนผิวสีใน Deep South ที่น่าหวาดสะพรึงกลัวยิ่งนัก! ต้องชื่นชมความหาญกล้าบ้าบิ่นของผกก. Norman Jewison การแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ Sidney Poitier (ขอละ Rod Steiger ไว้ในฐานที่เข้าใจ) และบทเพลงอันไพเราะเพราะพริ้ง Quincy Jones สร้างความลุ่มร้อน มอดไหม้ หมุดไมล์แห่งวงการภาพยนตร์ Hollywood
จัดเรต 15+ กับถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม (Racism) คดีฆาตกรรม บรรยากาศต่อต้านคนผิวสีใน Deep-South