The Hourglass Sanatorium (1973) : Wojciech Has ♥♥♥♥
ในสถานพยาบาลแห่งนี้ เวลามีการผันแปรเปลี่ยนเหมือนนาฬิกาทราย อดีต-ปัจจุบัน โลกความจริง-จินตนาการเพ้อฝัน พลิกกลับไปกลับมาอย่างน่าฉงนสงสัย แต่ทุกสิ่งอย่างล้วนดูเสื่อมโทรม ปรักหักพัง สะท้อนเข้ากับสภาพประเทศโปแลนด์ยุคสมัยนั้น, คว้ารางวัล Jury Prize จากเทศกาลหนังเมือง Cannes
The Hourglass Sanatorium (1973) เรียกย่อๆว่า The Sandglass นาฬิกาทรายที่สามารถพลิกเวลากลับไปกลับมา เดี๋ยวย้อนอดีต เดี๋ยวกลับมาปัจจุบัน โลกความจริง-จินตนาการเพ้อฝัน เป็นภาพยนตร์โคตรท้าทายศักยภาพในการครุ่นคิด โปรดักชั่นงานสร้างสุดยิ่งใหญ่ จะว่าไปมีความเหนือจริงกว่า 8½ (1963) ดูจบสามสี่รอบก็อาจยังไม่ประสีประสา
โชคดีว่าผมรับชมผลงานของผกก. Has มาแล้วสามสี่เรื่อง เลยพอครุ่นคิดคาดเดาอะไรๆหลายเกี่ยวกับโครงสร้าง วิธีการนำเสนอ ราวกับวังวน เวียนวงกลม เขาวงกต ไร้หนทางออก ไม่มีทางดิ้นหลุดพ้น ‘บ่วงรัดคอ’ ของรัฐบาลคอมมิวนิสต์โปแลนด์
แต่เรื่องนี้ผมรู้สึกว่ามันสุดเหวี่ยง เหนือจริงยิ่งกว่าผลงานใดๆก่อนหน้า เพราะความเสื่อมโทรม ปรักหักพัง มันชัดเจนมากๆว่าต้องการสื่อถึงสภาพโปแลนด์ยุคสมัยนั้น ผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง และโดยเฉพาะเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุฆาตชาวยิว (Holocaust) ล้วนทำให้ปัจจุบันนั้นไม่ต่างจากวันสิ้นโลกาวินาศ
บทความนี้บอกไว้ก่อนว่าผมเองก็ไม่เข้าใจนัยยะเชิงสัญลักษณ์ทั้งหมด -ให้ความยากในการรับชมระดับ 5 ดาว (Veteran)- อาจมีรายละเอียดบางส่วนวิเคราะห์อย่างงงๆ ใครคิดเห็นต่างยังไงก็บอกเล่าได้ แต่ภาพรวมของหนังเชื่อว่าก็น่าจะใกล้เคียงที่สรุปเอาไว้นี้แหละ
ก่อนอื่นขอกล่าวถึง Bruno Schulz (1892-1942) จิตรกร นักเขียนนวนิยายชาว Polish เชื้อสาย Jewish เกิดที่ Drohobych, Austrian Galicia (ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของ Poland แต่ปัจจุบันแยกออกมาเป็น Ukraine) ตั้งแต่เด็กมีความสนใจวาดรูป เลือกเรียนสถาปนิก Lviv Polytechnic แล้วทำงานเป็นครูสอนศิลปะ, การมาถึงของสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกส่งตัวเข้าค่ายกักกัน Drohobycz Ghetto แต่สามารถเอาตัวรอดชีวิตเพราะผู้ดูแล Felix Landau ชื่นชอบผลงานภาพวาด ถึงอย่างนั้นกลับถูกยิงตายจาก Gestapo อีกคน เพราะความขัดแย้งที่มีต่อ Landau
Schulz เริ่มเขียนเรื่องสั้นตั้งแต่ปี 1925 สะสมรวบรวมจนมีโอกาสตีพิมพ์ The Street of Crocodiles (1934), ติดตามด้วย Sanatorium Under the Sign of the Hourglass (1937), น่าเสียดายที่ผลงานส่วนใหญ่ ถูกทำลาย สูญหายในช่วงการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
สำหรับนวนิยาย Sanatorium Pod Klepsydrą มีลักษณะรวมเรื่องเล่า ราวกับความเพ้อฝัน (dream-like) นำเสนออัตชีวประวัติของผู้แต่ง Schulz โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเสียชีวิตของบิดา แล้วใช้สัญลักษณ์ ‘นาฬิกาทราย’ ย้อนกลับหาช่วงเวลาวัยเด็ก ระหว่างพำนักอาศัยอยู่ Drohobycz ไล่ย้อนทบทวนตนเองจนกลับมาถึงปัจจุบัน … จะมองว่าเป็นวรรณกรรมค้นหารากเหง้า คงไม่ผิดอะไร
เกร็ด: นาฬิกาทราย ในบริบทของนวนิยายสื่อถึงเวลานับถอยหลังความตายของบิดา รวมถึงการล่มสลายของ Kingdom of Galicia and Lodomeria (ค.ศ. 1772-1918)
Wojciech Jerzy Has (1925-2000) ผู้กำกับสัญชาติ Polish เกิดที่ Kraków ค้นพบความชื่นชอบด้านการวาดรูปตั้งแต่เด็ก ช่วงระหว่าง Nazi Germany ยึดครอง Poland ในสงครามโลกครั้งที่สอง เข้าศึกษายัง Szkoła Handlowa w Krakowie แล้วต่อด้วยสาขาภาพยนตร์ Academia de Arte Frumoase Jan Matejko ระหว่างนั้นมีโอกาสเป็นผู้ช่วยตากล้อง ผู้ช่วยผู้กำกับ Two Hours (1946), แล้วเข้าร่วม Warsaw Documentary Film Studio กำกับสารคดี/หนังสั้น Harmonia (1948), และเมื่อกลายเป็นสมาชิกกลุ่ม Polish Film School สรรค์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก The Noose (1958)
If Wojciech Has had become a painter, he would surely have been a Surrealist. He would have redrawn antique objects with all their real accoutrements and juxtaposed them in unexpected ways.
นักวิจารณ์ Aleksander Jackiewicz ให้คำนิยามผู้กำกับ Wojciech Has
ผลงานของ Has อาจดูเหมือนพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นการเมือง มุ่งเน้นสร้างโลกส่วนตัว บรรยากาศเหนือจริง สะท้อนจิตวิทยา แต่ลึกๆแล้วตัวเขามีความสนใจในสถานการณ์ปัจจุบัน เพียงซุกซ่อนเร้นทุกสิ่งอย่างไว้ในวัตถุ สิ่งข้าวของเชิงสัญลักษณ์ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยในระบอบการปกครองพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์
I reject matters, ideas, themes only significant to the present day. Art film dies in an atmosphere of fascination with the present.
Wojciech Has
ผกก. Has มีโอกาสพบเจอ Sanatorium Under the Sign of the Hourglass (1937) ตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เกิดความลุ่มหลงใหล ใคร่สนใจ จนกลายมาเป็นโปรเจคในฝัน ที่แม้ใครต่อใครตีตราว่าไม่มีทางนำมาดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ แต่เขาตั้งใจว่าสักวันต้องมองหาโอกาสนั้นให้จงได้!
ประสบการณ์จากการสรรค์สร้าง The Saragossa Manuscript (1965) ซึ่งดัดแปลงหลากหลายเรื่องสั้น ผสมผสานคลุกเคล้าจนกลายเป็นภาพยนตร์หนึ่งเดียวกัน ได้สร้างความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อผกก. Has ทำให้ระหว่างสรรค์สร้างภาพยนตร์ The Doll (1968) นำโปรเจคนี้ไปพูดคุยกับ Jerzy Bossak ผู้จัดการของ Zespół Realizatorów Filmowych „Kamera” (Camera Film Studio) แม้ได้รับคำตอบตกลง แต่ยังไม่ทันเริ่มงานสตูดิโอแห่งนี้ก็ล้มละลายลงเสียก่อน
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1972 ผกก. Has จึงรวบรวมทีมงานขึ้นใหม่ นำไปพูดคุยกับโปรดิวเซอร์ Kazimierz Kutz ที่เพิ่งก่อตั้งสตูดิโอ Zespół Filmowy „Silesia” (Silesia Film Studio) ได้รับคำตอบตกลง พร้อมสรรหาทุนสร้างได้มากยิ่งกว่า The Saragossa Manuscript (1965)
บทหนังของ The Hourglass Sanatorium (1973) ไม่ได้มาจากแค่นวนิยาย Sanatorium Under the Sign of the Hourglass แต่ผกก. Has ยังทำการรวบรวมหลากหลายเรื่องสั้น และอัตชีวประวัติผู้เขียน มาผสมผสานคลุกเคล้าให้กลายเป็นภาพยนตร์หนึ่งเดียว
Schulz’s poetic prose was the reading of my early youth. It influenced my films. That is why the realization of The Hourglass Sanatorium was a must for me. My aim was not to make a literal adaption of the work, but rather to do justice to what we call the work’s poetics: its unique, isolated world, its atmospherics, colours and shapes.
Wojciech Has
เรื่องราวของ Józef (รับบทโดย Jan Nowicki) เดินทางโดยสารรถไฟเพื่อมาเยี่ยมเยียนบิดา ยังสถานพยาบาล ‘Sanatorium’ แห่งหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงกลับพบเห็นสภาพอันเสื่อมโทรม ปรักหักพัง แทบไร้บุคคลดูแล แถมยังพูดคุยงงๆกับหมอ อธิบายว่าสถานที่แห่งนี้จะมีการดำเนินไปของเวลาอย่างผิดปกติ!
ยังไม่ทันไร Józef ก็พบเห็นสิ่งต่างๆที่ดูเหมือนฝัน (dream-like) ภาพเหตุการณ์เมื่อสมัยวัยเด็ก (แต่ตัวเขายังคงเป็นผู้ใหญ่) สนิทสนมเพื่อนชายที่ชื่นชอบสะสมสแตมป์ บิดาไม่รู้หมกมุ่นอะไรกับนก พิธีกรรมแปลกๆของชาวยิว โสเภณีสาวแอบตกหลุมรัก สวมหมวกทหารออกเดินทางไปรบกับคนผิวสี เข้ามายังสถานที่เต็มไปด้วยหุ่นขี้ผึ้ง ฯลฯ
Jan Nowicki (1939-2022) นักแสดงสัญชาติ Polish เกิดที่ Kowal, Germany (ปัจจุบันคือ Kuyavian-Pomeranian Voivodeship, Poland) สมัยเด็กเป็นคนไม่ชอบเรียนหนังสือสักเท่าไหร่ แต่มีความสนใจด้านการแสดง สามารถสอบเข้า National Film School กลายเป็นลูกศิษย์ของ Henryk Modrzewski เลยได้รับคำแนะนำจนมีโอกาสแสดงละครเวที ภาพยนตร์ อาทิ Family Life (1971), The Third Part of the Night (1971), The HourGlass Sanatorium (1973), Spiral (1978), The Heiresses (1980), Diary for My Children (1984) ฯลฯ
รับบท Józef แรกเริ่มเมื่อเดินทางมาเยี่ยมเยือนบิดา เต็มไปด้วยสีหน้าสับสน ฉงนสงสัย สถานพยาบาลแห่งนี้ทำไมถึงมีสภาพผิดแผก แต่ยังไม่ทันไรเขาก็เริ่มพบเห็นภาพแปลกประหลาด พบเจอเพื่อนเคยรับรู้จัก หญิงสาว/โสเภณีเคยตกหลุมรัก บิดาไม่รู้หมกมุ่นอะไรกับนก ฯลฯ บางครั้งก็ทำตัวเหมือนเด็ก บางครั้งก็ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้
การแสดงของ Nowicki มีความเหนือจริงมากๆ นี่ไม่ใช่ลักษณะของ ‘Over-Acting’ แต่เป็นความจงใจให้ตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่ หลายๆครั้งทำตัวเหมือนเด็กน้อยละอ่อนเยาว์วัย ยังไม่สามารถควบคุมสติ-อารมณ์ แสดงออกทางสีหน้า ท่าทางอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสื่อถึงเหตุการณ์ขณะนั้นๆคือช่วงเวลาในอดีต (เมื่อครั้น Józef ยังเป็นเด็กน้อยและวัยรุ่น)
คงมีทั้งคนที่หลงใหลคลั่งไคล้ และไม่ประทับใจการแสดงเว่อๆของ Nowicki แต่เราต้องตระหนักว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือ Surrealist ทุกสิ่งอย่างถูกนำเสนอในเชิงสัญลักษณ์ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนต้องพบเห็นเหตุการณ์รุนแรง เหี้ยมโหดร้าย เติบโตขึ้นมาในสภาพอันเสื่อมโทรม ปรักหักพัก เหล่านี้คือปกติของชีวิตประจำวัน
ถ่ายภาพโดย Witold Sobociński (1929-2018) สัญชาติ Polish ช่วงระหว่างเข้าศึกษาการถ่ายภาพ Łódź Film School ยังชื่นชอบการตีกลอง ร่วมก่อตั้งวงดนตรี Jazz ชื่อว่า Melomani, หลังเรียนจบทำงานให้ Polish Television ตามด้วย Film Studios Czolowka ผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ Family Life (1971), The Third Part of the Night (1971), The Wedding (1972), The Hourglass Sanatorium (1973), The Promised Land (1975), Frantic (1986) ฯลฯ
แม้ว่าตอน The Doll (1968) จะถ่ายภาพฟีล์มสีด้วย Franscope (2.35:1) แต่สำหรับ The Hourglass Sanatorium (1973) กลับมีอัตราส่วน Widescreen (1.85:1) กระบวนการสี Eastmancolor สาเหตุเพราะการเลือกใช้เลนส์ไวด์ (wide-angle) ทำให้ขอบข้างมีความบิดเบี้ยวมากเกินไป (นี่เป็นปัญหาของหนังที่ใช้เลนส์ไวด์กับ Anamorphic อยู่แล้วนะครับ) ด้วยเหตุนี้ผกก. Has จึงตัดสินใจหั่นความยาวด้านข้างออกไป
ซึ่งการเลือกใช้อัตราส่วน Widescreen ที่แม้มีความคับแคบกว่า แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกรอบรูป/เฟรมผ้าใบ แล้วใส่รายละเอียด ระบายองค์ประกอบศิลป์ โดดเด่นกับการใช้แสงสีสัน แทบทุกช็อตจะถ่ายมุมเงยขึ้นเห็นเพดาน ท้องฟ้าเบื้องบน เพื่อสร้างบรรยากาศเหมือนฝัน (dream-like) หรือจะเรียกภาพวาดเหนือจริง (Surrealist) ก็ได้เช่นกัน
ขณะที่รายละเอียดทุกสิ่งอย่างในหนังนั้น เป็นการออกแบบ ก่อสร้างทั้งเมือง ทั้งคฤหาสถ์ ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดยังสตูดิโอ Wytwórnia Filmów Fabularnych ตั้งอยู่ Łódź (เพราะเมือง Drohobych ย่อยยับไปตั้งแต่ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง) พยายามทำออกมาให้มีลักษณะ ‘grotesque’ ไม่เน้นความสมจริง แต่ดูอัปลักษณ์ น่ารังเกียจขยะแขยง มีความเสื่อมโทรม ปรักหักพัง หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมด ซึ่งสามารถสะท้อนสภาวะจิตวิทยาตัวละคร และสภาพโปแลนด์ยุคสมัยนั้น (ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์)
แค่ภาพแรกของหนังก็สร้างบรรยากาศหลอนๆ เต็มไปด้วยความสับสน มึนงง ด้วยโทนสีหม่นๆ มุมเงยเห็นท้องฟากฟ้า ต้นไม้มีเพียงกิ่งก้านไร้ใบ ส่วนเจ้านกมันก็บินแปลกๆ กระพือปีกแต่กลับแทบไม่ขยับไปข้างหน้า ราวกับว่าเวลาไม่ได้ดำเนินไปตามวิถีปกติของมัน
จากนั้นกล้องค่อยๆแพนนิ่ง เคลื่อนถอยหลังอย่างช้าๆ ก่อนเปิดเผยว่าทิวทัศน์ที่พบเห็นนี้ถ่ายจากภายในขบวนรถไฟ (คาดว่าคงเป็น Rear Projection) พวกเขาคือใคร? กำลังเดินทางไปไหน? ทำไมถึงดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า สภาพท้อแท้สิ้นหวังเพียงนี้? สำหรับคนที่รับชมครั้งแรกอาจยังขบครุ่นคิดไม่ออก แต่คำตอบคือขบวนรถไฟชาวยิว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กำลังมุ่งสู่ค่ายกักกันนาซี เพื่อที่จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ … แค่คิดก็ขนหัวลุกแล้วละ
Józef ได้รับการปลุกตื่นจากเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วรถไฟ (ที่มีลักษณะเหมือนสัญลักษณ์ความตาย ‘Death’) เพื่อให้ลงกลางทางก่อนจะถึงเป้าหมาย นี่สามารถสื่อถึงตัวผู้แต่งนวนิยาย Bruno Schulz แม้เป็นชาวยิว กำลังถูกส่งไปค่ายกักกัน แต่ยังสามารถรอดชีวิตเพราะได้รับความช่วยเหลือจาก Gestapo ที่ชื่นชอบผลงานศิลปะของตน
ซีเควนซ์บนขบวนรถไฟ คาดเดาไม่ยากว่าเป็นส่วนที่ผกก. Has แต่งเพิ่มเติมขึ้นมาเพื่ออ้างอิงชีวประวัติของ Schulz และใช้ช่วงเวลาหลังจากนี้ (ระหว่างเป็นขี้ข้าทาสให้ Gestapo) ทบทวนหวนย้อนอดีต เล่าเรื่องราวความทรงจำที่ไม่ต่างจากจินตนาการเพ้อฝัน
สภาพสถานพยาบาล ‘sanatorium’ มีความเสื่อมโทรม ปรักหักพัง เต็มไปด้วยหยากไย่ สิ่งข้าวของวางเรียงราย กระจัดกระจาย ไม่มีใครทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถู นี่ไม่ได้ภาพโรงพยาบาลยุคสมัยนั้นนะครับ แต่สามารถสะท้อนสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจตัวละคร สภาวะจิตวิทยา(ของผู้แต่ง Schulz/ผกก. Has) และยังเหมารวมถึงประเทศโปแลนด์ยุคสมัยนั้น (ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์)
แซว: เหตุผลกองเซนเซอร์สั่งห้ามนำหนังออกฉายนอกโปแลนด์ เพราะสภาพโรงพยาบาลที่ดูเสื่อมโทรมทรามนี้ กลัวจะทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ –“
แทบทุกช็อตฉากของหนังจะถ่ายทำด้วยมุมเงย เพื่อแสดงให้เห็นถึงการตกอยู่ภายใต้บางสิ่งอย่าง
- ในกรณี Two-Shot (ภาพที่มีสองตัวละครอยู่ร่วมเฟรมเดียวกัน) บุคคลที่อยู่ตำแน่งสูงกว่ามักจะมีอำนาจ อิทธิพล คอยควบคุมครอบงำอีกฝั่งฝ่ายระดับต่ำกว่า
- แต่ถ้ามีเพียงตัวละครเดียว ก็มักพบเห็นเพดาน (กฎกรอบที่มนุษย์สร้างขึ้น) หรือท้องฟ้า (สิ่งเหนือธรรมชาติที่มิอาจควบคุม)
บิดาของ Józef นอนหลับอยู่บนเตียง (ในห้องโทนน้ำเงิน มอบสัมผัสอันหนาวเหน็บ เย็นยะเยือก) แต่อยู่ในสภาพไม่เป็น-ไม่ตาย ครึ่งหลับ-ครึ่งตื่น เดี๋ยวอ่อนแอ-เดี๋ยวเข้มแข็ง เดี๋ยวผมขาวโลนทั้งศีรษะ เดี๋ยวผิวหนังเต่งตึงเหมือนวัยรุ่น หรือแท้จริงแล้วนี่อาจเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มนอนหลับเพ้อฝันจินตนาการ ก็แล้วแต่ผู้ชมจะขบครุ่นคิดตีความ
Here, your father’s death hasn’t occurred yet. But he met with his death in your country.
ปล. แม้ครอบครัวของ Schulz จะอุตส่าห์หลบหนีสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสู่กรุง Vienna แต่ Austro-Hungarian Empire (ค.ศ. 1867-1918) กลับถูกโจมตีอย่างหนักจนใกล้ล่มสลาย เลยตัดสินใจหวนกลับมาตายรัง Drohobych แล้วบิดาก็พลันล้มป่วยเสียชีวิต ค.ศ. 1915
ประตูทางเข้าที่เคยปิดอยู่เมื่อตอน Józef เดินทางมาถึงสถานพยาบาลในตอนแรก แต่หลังจากได้รับฟังคำอธิบายสถานที่แห่งนี้ เมื่อเขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง กลับพบเห็นอีกตัวตนเองกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนสมัยเด็ก แล้วจู่ๆประตูบานนั้นก็สามารถเปิด นี่มันห่าเหวอะไรกัน???
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่า เรื่องราวหลังจาก Józef พบเจอบิดานอนอยู่บนเตียง จะมีลักษณะเหมือนฝัน (dream-like) ตัวละครกำลังดำดิ่งสู่โลกแห่งจินตนาการ ประตูบานนี้เลยถือเป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้น หวนระลึกความทรงจำ ตั้งแต่เมื่อครั้นยังเด็ก-วัยรุ่น-เติบใหญ่ โดยใช้ร่างกายในปัจจุบันที่เป็นผู้ใหญ่ผจญภัยในห้วงมิติที่กาลเวลาผันแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
สถานที่แรกหลังจาก Józef เดินเข้าประตูใหญ่ คือบ้านหลังเก่าที่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม พบเจอมารดา สอบถามว่าบิดาสูญหายตัวไปไหน? แต่ซีเควนซ์นี้จะเริ่มต้นสร้างความฉงนสงสัยให้ผู้ชมเมื่อเธอตั้งคำถามกับบุตรชาย ทำไมยังไม่ไปโรงเรียน? ผมเรียนจบมานานแล้ว จริงหรือ? เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน?
อย่างที่บอกไปว่าหนังใช้นักแสดงคนเดียว Jan Nowicki รับบททุกช่วงวัยของตัวละคร Józef มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแบ่งแยกแยะช่วงเวลาของหนัง (เอาจริงๆมันก็ไม่จำเป็นต้องไปครุ่นคิดหาว่าฉากนี้อยู่ในช่วงวัยไหน) แต่เราสามารถสังเกตจากพฤติกรรม ทำตัวเหมือนเด็ก แสดงออกเหมือนผู้ใหญ่ (จริงๆมันจะมีการใช้ภาษา ถ้อยคำพูดที่สามารถแบ่งแยกแยะ แต่เฉพาะสำหรับคนฟังภาษาโปแลนด์ออกเท่านั้นนะครับ)
ในบ้านหลังเก่าของ Józef จะมีบันไดสำหรับขึ้น-ลง ซึ่งราวกับประตูมิติไปโผล่ยังอีกสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วมันยังสามารถเวียนวงกลม หวนกลับมาบรรจบ เข้า-ออกสู่บ้านหลังนี้ได้อย่างงงๆ
- ห้องชั้นบน/ดาดฟ้า คือสถานที่อยู่อาศัยของบิดา เต็มไปด้วยกรงนก สรรพสัตว์ปีก และยังเชื่อมต่อกับห้องผู้ป่วยในสถานพยาบาล ‘sanatorium’
- ห้องชั้นล่าง/ใต้ดิน โผล่ยังร้านรวงของบิดา ในย่านชุมชนชาวยิว เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ผู้คนมากมาย มาถึงทีไรก็มีแต่ความวุ่นวาย ร้อง-เล่น-เต้น จัดเทศกาลโน่นนี่นั่น
Józef พยายามออกติดตามหาบิดา ภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘follow the footsteps’ สามารถสื่อถึงการดำเนินตามรอยเท้า คล้ายๆสำนวนไทยลูกไม้หล่นไม่ไกล ซึ่งเรื่องราวของหนังยังตีความได้ถึงการค้นหารากเหง้าของตัวละคร/ผู้แต่งนวนิยาย Schulz (และผกก. Has)
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมบ้านหลังนี้ถึงต้องทำออกมาให้ดูเสื่อมโทรม ปรักหักพัง รกรุงรัง? เพราะต้องการสื่อถึงความทรงจำอันเลือนลาง สะท้อนสภาพจิตวิญญาณของ Józef เต็มไปด้วยอาการเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้สิ้นหวัง แถมปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ก็ราบเรียบไปแล้วในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อตอน The Saragossa Manuscript (1965) มีเรื่องเล่าวีรกรรมปีนบันได แอบขึ้นห้อง เพื่อลับลอบคบชู้ สานสัมพันธ์กับหญิงสาว, The Hourglass Sanatorium (1973) ก็แทบไม่แตกต่างกัน ปีนบันไดขึ้นสู่สรวงสวรรค์ Józef แอบเข้าห้องพักของโสเภณี Adela ที่เคยชื่นชอบ แอบถ้ำมอง ก็ไม่รู้ว่าเคยมีเพศสัมพันธ์กันไหม (เพราะเธอคนนั้นปฏิบัติกับเขาราวกับเด็กน้อย ‘our little Józef’)
แทบทุกช็อตในห้องพักของ Adela จะต้องพบเห็นอะไรสักอย่างที่เป็นสีเขียว (ต้นไม้, แสงสีเขียว ฯลฯ) ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งชั่วร้าย กล่าวคือโสเภณีเป็นอาชีพผิดต่อหลักศีลธรรมศาสนาชาวยิว (กระมัง)
ปล. ผู้แต่งนวนิยาย Schulz เติบโตในชุมชนชาวยิวที่มีความเคร่งศาสนามากๆ แม้บรรยากาศดังกล่าวจะสร้างอิทธิพลให้กับชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้มีความเชื่อศรัทธาต่อพระเป็นเจ้าสักเท่าไหร่
แม้ว่าผู้แต่ง Schulz จะไม่เคยอาสาสมัครทหาร เข้าร่วมสู้รบสงคราม แต่หมวกใบนี้คือสัญลักษณ์การผจญภัย เมื่อสวมใส่ก็ทำให้แลดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ (แต่ยังแสดงพฤติกรรมแบบเด็กๆ) ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครอบครัวอพยพหลบหนีสู่กรุง Vienna (ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Austro-Hungarian Empire) แต่ไม่ทันไรก็ต้องหวนกลับมา Drohobych (เพราะจักรวรรดิ Austro-Hungarian โดนโจมตีอย่างหนักจนใกล้ล่มสลาย) คงจะเคยพานผ่านประสบการณ์หลบซ่อนใต้เตียงอยู่บ่อยครั้ง (ระหว่างได้ยินสัญญาณเตือนภัยโจมตีทางอากาศ)
รายละเอียดเล็กๆอย่างการรับประทานยา เพื่อสื่อถึงอาการป่วยของเด็กชาย Schulz ทำให้ต้องหยุดโรงเรียนเป็นปีๆ อาศัยอยู่แต่ในห้อง อ่าน-เขียนหนังสือ และเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
Jakub Schulz (บิดาของผู้แต่งนวนิยาย Bruno Schulz) เป็นพ่อค้าสิ่งทอ (Textile Merchant) เคยออกเดินทางไปทำการค้าขายยังสถานที่ต่างๆ Honduras, Nicaragua ฯลฯ และมีความชื่นชอบเก็บสะสมสิ่งของที่ระลึก วัตถุโบราณ แต่ผมไม่รู้ว่ารวมถึงพวกฟอสซิล ไข่นก สรรพสัตว์ปีกทั้งหลายแบบในหนังด้วยกระมัง
นั่นทำให้เทศกาลนกกลางจัตุรัส รวมถึงห้องพักของบิดาที่เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ปีก สามารถสื่อถึงอิสรภาพ การผจญภัย จินตนาการไม่รู้จักจบสิ้น ขณะที่ Józef ยังเปรียบได้แค่ไข่ ลูกไก่ กำลังค่อยๆเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่
Have you noticed that in some books flocks of swallows are flying between the verses? Stanzas of swallows. You should learn to read from the flight of these birds.
Jakub Schulz
ผีเสื้อตัวนี้ทำให้ผมครุ่นคิดถึง ‘buttlefly effect’ ทฤษฎีที่พยายามอธิบายเหตุผลความยุ่งเหยิง การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเล็กๆ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งใหญ่ๆอย่างไม่มีใครคาดคิดถึง ยกตัวอย่างคำอธิบายของผู้ครุ่นคิดทฤษฎี Edward Lorenz กล่าวว่า หากผีเสื้อขยับปีกหนึ่งครั้งแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศ สุดท้ายอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ให้เกิดพายุทอร์นาโดก็เป็นได้!
จะว่าไปผีเสื้อมันก็คือสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องนัยยะที่ผมอธิบายไปแล้ว แต่เพราะตัวมันขนาดกระจิดริด (เมื่อเทียบกับสัตว์ปีกของบิดา) และเหมือนจะถูกช้างเหยียบตาย จึงดูราวกับความฝันที่สูญสลาย Józef ไม่สามารถดำเนินตามรอยเท้าบิดาได้อีกต่อไป … กล่าวคือ ต่อจากเขาจะต้องมองหาวิถีทางดำเนินชีวิตที่เป็นของตัวตนเอง
Bianka หญิงสาวสวยอาศัยอยู่กับมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว นั่นน่าจะสื่อว่าเธอยังจมปลักอยู่กับความสูญเสีย ไม่ก็ถูกควบคุมขังดั่งนกในกรง … การผจญภัยของ Józef เริ่มต้นจากการ(ถ้ำ)มองลอด ตกหลุมรักเธอที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นปีนป่ายข้ามกำแพง เข้ามาในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง หลบหนีจากการถูกไล่ล่า และมาจนถึงห้องนอน
นี่เป็นซีเควนซ์ที่ต้องทำความใจภาพรวมให้ได้ก่อนว่า มีทิศทางดำเนินเรื่องเช่นไร ถึงค่อยสามารถลงรายละเอียดว่าแต่ละฉากแฝงนัยยะอะไร … ภายหลังพบเจอบิดา ตระหนักว่ามิอาจดำเนินตามรอยเท้า Józef จึงต้องมองหาเป้าหมายชีวิตใหม่ สิ่งแรกที่เขาค้นพบก็คือแฟนสาว Bianka
การปีนป่ายข้ามกำแพง สามารถตีความในเชิงสัญลักษณ์ของพฤติกรรมนอกรีตนอกรอย ไม่สนกฎระเบียบ แหกข้อบังคับ กระทำตามเสียงเพรียกเรียกร้องหัวใจ ในบริบทนี้อาจมองถึงการก้าวผ่านช่วงวัยเด็กสู่วัยรุ่น รวมถึงออกเดินทางค้นหาเป้าหมาย(ในจินตนาการ)ของตนเอง
หุ่นขี้ผึ้งเหล่านี้ ส่วนใหญ่คือนักแสดงคนจริงๆ คงจะป้ายขี้ผึ้งให้ดูแวววับ ออกสีเหลืองๆ สะท้อนแสง แต่ก็มีบางตัวที่ทำการสร้างโมเดลหุ่นขึ้นมา สำหรับล่อหลอกผู้ชมว่าสิ่งพบเห็นนั้นมีชีวิต หรือแค่จินตนาการเพ้อฝัน … นั่นน่าจะคือนัยยะของสถานที่แห่งนี้เลยนะ เก็บสะสมบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้ในความทรงจำ ดินแดนโลกหลังความตาย (มีเพียงเปลือกภายนอก แต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ/เนื้อหนังภายใน)
ผมตีความพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมีลักษณะคล้าย ‘Aryan quarter’ ที่พวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาซี นิยมเก็บสะสมสิ่งข้าวของ งานศิลปะเลิศหรูที่ยึดครอบครอง (หลังจากเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์) และยังรวมถึงชาวยิวส่วนตัว ‘personal jew’ อย่างเช่นผู้แต่งนวนิยาย Schulz
การหลบซ่อนตัวขณะถูกไล่ล่าจากทหารฝรั่งเศสผิวสีพร้อมสัตว์สต๊าฟ ทีแรกผมก็เกาหัวว่าหนังจะย้อนเวลาไปถึงจุดไหน (นี่คงเป็นช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง Austria-Hungary ถูกรุกรานโดยฝรั่งเศส) แต่พอครุ่นคิดไปมาเปรียบเทียบกับตอนที่ผู้แต่งนวนิยาย Schulz หลบหนีหัวซุกหัวซุนจาก Nazi Germany ก็ได้เช่นกัน!
สำหรับการใช้สัตว์สต๊าฟแทนสุนัขตัวเป็นๆ แต่ยังได้ยินเสียงเห่าหอน นี่ก็แค่การสร้างบรรยากาศ Surrealist (ที่ชวนขบขัน) ไม่ได้มีนัยยะอะไรไปมากกว่าสิ่งที่มันควรเป็น และอาจถือว่าล้อกับมนุษย์หุ่นขี้ผึ้งด้วยก็พอไหว
เมื่อสามารถหลบหนีจากการถูกไล่ล่า สถานที่ที่ Józef เดินทางมาถึงก็คือห้องนอนของ Bianka แม้ไม่มีฉากกอดจูบ เพศสัมพันธ์ แต่เรือนร่างอันเปลือยเปล่าของเธอนั้น ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดจินตนาการอะไร แน่นอนอยู่แล้วว่าชีวิตจริงพวกเขาต้องมีอะไรกัน … นำเสนอออกมาให้มันมีความเป็นศิลปะเท่านั้น!
แซว: บางคน(ผมเองแหละ)ตีความการมุดลอดใต้เตียงคือนัยยะของการมีเพศสัมพันธ์ แล้วพอตัวละครตะเกียกตะกายออกอีกฟากฝัง นั่นคือจุดสูงสุด ไคลน์แม็กซ์ ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ หรือคือสถานที่ในจินตนาการแห่งถัดไป
การมาถึงของพนักงานตรวจตั๋วโดยสาร (ในห้องนอนของ Bianka) นัยยะถึงจุดเปลี่ยน จุดหมุนของหนัง ครึ่งแรกคือการที่ Józef เดินติดตามรอยเท้าบิดา เพื่อค้นหาเป้าหมายชีวิตของตนเอง ครึ่งหลังคือการพังทลาย ทุกสิ่งอย่างล่มสลาย นำไปสู่จุดจบความตาย
แซว: ผมละชอบความเย้ายียวน ใคร่รู้ใคร่สงสัยของ Bianka พยายามแทรกตัวเข้ามาระหว่าง Józef กับพนักงานตรวจตั๋วโดยสาร แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจ … เพราะเรื่องราวกำลังดำเนินสู่ตอนต่อไป
Józef มุดลอดใต้เตียงมาถึงห้องใต้หลังคาของบิดา พยายามอธิบายถึงความสับสน งุนงง ไม่สามารถแบ่งแยกแยะอดีต-ปัจจุบัน โลกความจริง-จินตนาการเพ้อฝัน คำตอบที่ได้รับก็คือ
You can do it by grammatical analysis of sentences and tenses.
หลายคนอาจรู้สึกไร้สาระชิบหาย ไม่เห็นจะช่วยอะไร แต่สำหรับชาวโปแลนด์อาจเกิดความเข้าใจเพราะสามารถแยกแยะไวยากรณ์ (gramma) รวมถึงรูปเวลา (tense) จากประโยคคำพูดที่จะมีความแตกต่างออกไป เอาจริงๆก็ยังเหมารวมถึงภาษาภาพยนตร์สำหรับคนที่อ่านออก นั่นคือสังเกตบริบทรอบข้าง พฤติกรรมของตัวละคร การแสดงออกภาษากาย ฯลฯ
ผมลองค้นข้อมูลเล่นๆก็พบว่ามีอยู่จริง นกปักษาสวรรค์ใหญ่ (Greater Bird-of-paradise) เป็นนกในสกุล Paradisaea ตั้งชื่อว่า Paradisaea apoda ซึ่งแปลว่า ‘นกปักษาสวรรค์ไร้ขา’ เนื่องจากการส่งซากนกไปทวีปยุโรปเมื่อกาลก่อน แต่มันกลับไม่มีขาเนื่องจากการเตรียมซากของชาวพื้นเมือง นำไปสู่ความเข้าใจผิดคิดว่านกชนิดนี้มาจากสวรรค์ และไม่เคยสัมผัสพื้นดินจนกระทั่งตัวตาย พบเจอในป่าต่ำและป่าบนภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ New Guinea และหมู่เกาะ Aru Islands ในประเทศอินโดนีเซีย รับประทานผลไม้ เมล็ดพืช และแมลงขนาดเล็กเป็นอาหาร
นัยยะของเจ้านกตัวนี้ เปรียบตรงๆได้กับ Józef ล่องลอยไปตามกาลเวลา ในโลกแห่งจินตนาการ สิ่งต่างๆมีความเหนือจริง ราวกับอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ ไม่มีคราไหนที่ผู้ชมจะพบเห็นเขาบนโลกความจริง (หรือก็คือขาแตะพื้น)
ตรงกันข้ามกับตอนครึ่งแรกที่ Józef พยายามออกค้นหา ติดตามรอยเท้าบิดาด้วยความต้องการของตนเอง, ครานี้มารดาเป็นผู้ร้องขอ ออกคำสั่งให้นำอาหารและเครื่องดื่มไปส่งมอบยังห้องใต้หลังคา ถึงอย่างนั้นเขากลับแสดงอาการแข็งข้อต่อต้าน ด้วยการเดินลงบันไดชั้นล่าง แล้วบังเอิญพบเจอบิดากำลังครึกครื้นกับความวุ่นวายหน้าร้านขายผ้า
โสเภณีสาว Adela ที่เคยต้องปีนบันไดขึ้นชั้นบน มาคราวนี้กลับลงมารอคอยอยู่ชั้นล่าง ล้อเล่นสนุกสนานกับเด็กชาย Józef แถมแก่งแย่งผลแอปเปิ้ลไปรับประทาน (แอปเปิ้ลคือผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดน) นี่ก็แอบบอกใบ้ความสัมพันธ์ลับๆระหว่างพวกเขาทั้งสอง
ส่วนศีรษะปลอมของ Adela ผมคิดว่าน่าจะคือศีรษะของเธอเองนะแหละ แม้บอกว่าเอาไว้ใช้กลั่นแกล้งเล่น แต่ก็แอบบอกใบ้โชคชะตากรรมของเธอที่จะถูกตัดหัว ฆาตกรรม (จากทหารนาซี กระมัง)
Havdalah (ภาษาฮิบรูแปลว่า separation) พิธีกรรมทางศาสนา Jewish เกี่ยวกับไวน์ แสงเทียน และเครื่องเทศที่ใช้ในการทำเครื่องหมายจุดสิ้นสุดของวันสะบาโต (Shabbat) หรือคือวันพักผ่อนของชาวยิว ซึ่งก็คือวันเสาร์ (พระเจ้าสร้างโลกในหกวัน และหยุดพักวันที่เจ็ด)
กระบวนการสำหรับพิธี Havdalah
- จุดเทียน Havdalah
- ท่องบทสวดวรรคแรก และให้พรเหนือไวน์หรือน้ำองุ่น
- ส่งต่อถ้วยไวน์หรือน้ำองุ่นไปให้กับคนอื่นๆ และสวดพระพรเหนือเครื่องเทศ
- ส่งต่อเครื่องเทศไปให้กับคนอื่นๆเพื่อให้ได้รับกลิ่น
- กลับถ้วยไปยังบุคคลแรก และสวดพรเหนือเทียน
- พับนิ้วเข้าหาตัวคุณและหันไปทางแสง
- ท่องบทสวดย่อหน้าสุดท้าย
- ดื่มไวน์ที่เหลือ และดับเทียน Havdalah
วัตถุประสงค์ของพิธีกรรมนี้เพื่อเป็นการรำลึก(พระเป็นเจ้า) ร่ำลา(วันหยุด) และเริ่มต้น(สัปดาห์)ใหม่ นี่ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดความฝันของ Józef แต่คือการอารัมบทหายนะ วันสิ้นโลกาวินาศของชาวยิว ต่อจากนี้จะนำเข้าสู่สงคราม และการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
หลังจากพิธีกรรม Havdalah ก็คือช่วงเวลาแห่งการปลดแอก Józef มุดใต้โต๊ะมาโผล่ยังพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง จากนั้นเรียกรวมพลให้พวกเขาลุกขึ้นสู้ ต่อกรข้าศึก (นัยยะก็คือการทำสงครามนะแหละ) จนประสบชัยชนะ ได้รับอิสรภาพ บีบบังคับให้อีกฝ่ายสละราชบัลลังก์ (ลงจากอำนาจ)
ผมตีความฉากนี้คือการปลดแอกทางความคิด ปลดปล่อยเสรีภาพของจินตนาการ ในความเพ้อฝันอะไรก็บังเกิดขึ้นได้ หุ่นขี้ผึ้งต่อสู้กับทหารผิวสี แต่ชัยชนะกลับเป็นของ Józef แต่เพียงผู้เดียว (ทหารฝรั่งเศสก็แค่ถอยร่น ส่วนหุ่นขี้ผึ้งเหล่านี้ก็ไม่ได้มีจิตวิญญาณตั้งแรกแล้ว)
ชัยชนะของเสรีภาพ แลกมากับจุดจบสิ้นของบางสิ่งอย่าง Józef ถูกควบคุมตัวกลับมาถึงบ้าน รับรู้ว่าบิดาสูญหายตัวไปอย่างลึกลับ ขึ้นบนห้องใต้หลังคาพบเห็นบรรดาสัตว์ปีก นกเหล่านี้กำลังจะขาดใจตาย … ดูเหมือนนกฟีนิกซ์ ความตายคือสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ และมันจะขณะที่ Fade-To-White อาจแทนการปลุกตื่นขึ้นจากความเพ้อฝัน
การตื่นขึ้นครานี้จะมองว่าคือสภาพปัจจุบัน/โลกความจริง(ที่มีความเหนือจริง)ก็ได้เช่นกัน! เมื่อลุกขึ้นจากสถานพยาบาล Józef พยายามออกติดตามหาบิดาอีกครั้ง แต่คราวนี้พบเจอป้ายสุสาน บ้านหลังเก่าอยู่ในสภาพปรักหักพัก ร้านขายผ้าของบิดากลายเป็นขี้ริ้ว นี่คือหายนะจากสงคราม เมือง Drohobych แทบไม่หลงเหลือเศษซากชิ้นดี ปกคลุมด้วยหมอกควัน ความมืดมิด และแสงสีเขียว (สัญลักษณ์ของสิ่งชั่วร้าย และความตาย)
จะมีก็เพียงบาร์แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยแสงสีสัน อาหารเลิศรส สาวๆเปลือยอก เปรียบดั่งโอเอซิสท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง สถานที่แห่งความสุขครั้งสุดท้ายของบิดา เพราะหลังจากนี้จักถึงกาลเวลาร่ำจากลา หวนกลับสู่สถานพยาบาล ก่อนหมดสูญสิ้นลมหายใจ ดิ้นรนตกตายอย่างเจ็บปวดทรมาน
การจากไปของบิดา (รวมถึงสภาพปรักหักพังของบ้านเกิด Drohobych) ทำให้ Józef ตกอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวัง หมดอาลัย สูญเสียทุกสิ่งอย่าง ไม่ต่างจากตกตายทั้งเป็น กึ่งมีชีวิต ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ เลยถูกหมอในสถานพยาบาล แต่งองค์ทรงเครื่องให้กลายเป็นพนักงานตรวจตั๋วโดยสาร
หลายคนอาจโคตรสงสัยว่าพนักงานตรวจตั๋วที่พบเห็นตั้งแต่ฉากแรกๆนั้นคือ Józef หรือเปล่า? ในเครดิตขึ้นว่าเป็นนักแสดงคนละคน แต่ผมมองว่าจะมองเป็นบุคคลเดียวก็ได้เช่นกัน ต่างคือสัญลักษณ์ของยมทูต ความตาย สูญเสียกายเนื้อ (จากความตายของบิดา) หลงเหลือเพียงจิตวิญญาณล่องลอยไป (ตรงกันข้ามกับหุ่นขี้ผึ้งที่มีเพียงร่างกายแต่ไร้จิตวิญญาณ)
ฉากสุดท้ายของหนังคือการที่ Józef ในชุดพนักงานตรวจตั๋วโดยสาร กำลังตะเกียกตะกาย ปีนป่ายขึ้นจากหลุมฝังศพ ล้อกับตอนต้นเรื่องที่เขาเคยไต่บันไดขึ้นสู่สรวงสวรรค์ (ห้องพักของโสเภณีสาว Adele) แต่ครานี้ไม่มีบันได ใช้ป้ายสุสานเป็นพื้นรองเหยียบ เพื่อก้าวขึ้นสู่นรกบนดิน!
ผมมองลักษณะดังกล่าวสะท้อนมุมมองผกก. Has ถึงโปแลนด์ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ มีสภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน เพราะอดีตอันเลวร้ายตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (ที่โปแลนด์ถูกยึดครองโดยนาซี) และปัจจุบันนั้นภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ (ของสหภาพโซเวียต) ดินแดนแห่งนี้มันช่างหมดสิ้นหวัง ไม่ต่างจากวันโลกาวินาศ
ตัดต่อโดย Janina Niedźwiecka (1922-2004) ผลงานเด่นๆ อาทิ Samson (1961), The Hourglass Sanatorium (1973) ฯลฯ
หนังดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองสายตาของ Józef ตั้งแต่โดยสารรถไฟมาจนถึงสถานพยาบาล ‘Sanatorium’ เพื่อพบเจอบิดากำลังอยู่ในช่วงวาระสุดท้ายชีวิต แต่เรื่องราวต่อจากนั้นเปรียบดั่งนาฬิกาทราย เดี๋ยวย้อนอดีต เดี๋ยวหวนกลับปัจจุบัน แทบมิอาจครุ่นคิดคาดเดาว่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาไหน
- อารัมบท: เดินทางมาถึงสถานพยาบาล เปิดประตูหวนระลึกถึงอดีต
- เริ่มต้นออกติดตามรอยเท้าบิดา
- กลับมาบ้านหลังเก่า พูดคุยกับมารดา
- เดินทางไปยังร้านของบิดา พบเจอเพียงลูกจ้าง
- พบเห็นวิถีของชาวยิว
- ปีนป่ายบันไดขึ้นหาโสเภณีแอบชื่นชอบ Adela
- มุดใต้เตียงไปโผล่กลางจัตุรัส และได้พบเจอบิดา
- มองหาเป้าหมายใหม่ให้กับตนเอง
- มองลอดเข้าไป ตกหลุมรักแรกพบ Bianka
- ปีนป่ายกำแพง เข้าไปยังพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง
- หลบหนีเอาตัวรอดจากทหารผิวสี
- มาจนถึงห้องนอนของ Bianka
- พิธีกรรมแห่งการแยกจาก
- มุดใต้เตียงกลับมายังห้องใต้หลังคาของบิดา พูดคุยสนทนา
- กลับลงมาพูดคุยกับมารดา ถูกสั่งให้นำอาหารและเครื่องดื่มไปส่งให้บิดา
- ที่ร้านค้าเต็มไปด้วยผู้คน สับสนวุ่นวาย เพราะวันนั้นกำลังจะมีพิธีกรรม Havdalah
- จากนั้นมุดใต้โต๊ะมาโผล่ยังพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง บัญชาการให้ต่อสู้รบทหารฝรั่งเศสผิวสี
- อิสรภาพและความตาย
- หวนกลับมาบ้าน บิดาหายตัวไป นกทั้งหลายกำลังหมดสิ้นลมหายใจ
- ตื่นขึ้นยังสถานพยาบาล พูดคุยกับบิดา
- จากนั้นเดินออกมาภายนอก พบเห็นหลุมฝังศพ สภาพปรักหักพัง
- กลับมายังสถานพยาบาลอีกครั้ง เพื่อพบเห็นความตายของบิดา
- และหมอแต่งองค์ทรงเครื่องให้ Józef กลายเป็นพนักงานตรวจตั๋วโดยสาร จากนั้นปีนป่ายขึ้นจากหลุมฝังศพ
ระหว่างรับชมผมไม่สนเลยว่าตัวละครกำลังอยู่ในช่วงเวลา/วัยไหน เด็ก-วัยรุ่น-ผู้ใหญ่? เพราะมันหาได้มีความสลักสำคัญใดๆ เอาเวลาไปขบครุ่นคิดว่าเรื่องราวในแต่ละไทม์ไลน์ ต้องการแฝงนัยยะ สื่อความหมายอะไรยังไง และมีความข้องเกี่ยวกับโปแลนด์ยุคสมัยนั้นเช่นไร?
ใครเคยรับชมผลงานของผกก. Has มาหลายๆเรื่อง น่าจะตระหนักถึงการละเล่นกับโครงสร้างดำเนินเรื่อง ซึ่งสำหรับ The Hourglass Sanatorium (1973) คือช่วงเวลาที่กระโดดไปมา เดี๋ยวอดีต-เดี๋ยวปัจจุบัน โลกความจริง จินตนาการเพ้อฝัน ฟังดูแนวคิดคล้ายๆ 8½ (1963) แต่จุดประสงค์แท้จริงเพื่อสื่อถึงการเวียนวงกลม เหมือนเขาวงกต ไร้หนทางออก ไม่มีทางดิ้นหลุดพ้น ‘บ่วงรัดคอ’ ของรัฐบาลคอมมิวนิสต์โปแลนด์ … นี่ก็ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรก The Noose (1957)
เพลงประกอบโดย Jerzy Maksymiuk (1936-) คีตกวีสัญชาติ Polish เกิดที่ Grodno, Second Polish Republic (ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของประเทศ Belarus) ร่ำเรียนเปียโน ไวโอลิน แต่งเพลง และวาทยากรจาก Warsaw Conservatory, เคยคว้ารางวัลอันดับหนึ่ง Paderewski Piano Competition, จากนั้นมีผลงานออร์เคสตรา, โอเปร่า, เพลงประกอบภาพยนตร์ ขาประจำผกก. Wojciech Has ตั้งแต่ The Hourglass Sanatorium (1973)
งานเพลงของหนังเต็มไปด้วยเสียงที่แสบแก้วหู สร้างบรรยากาศหลอกหลอน ชวนให้ขนหัวลุกพอง (เหมือนหนังสยองขวัญ) มีลักษณะของการทดลอง (Experimental) ด้วยเครื่องสังเคราะห์ และอุปกรณ์สร้างเสียง Theremin, Waterphone ฯลฯ มอบสัมผัสเหนือจริง จับต้องไม่ได้ ไม่มีความเป็นธรรมชาติเลยสักนิด!
หลายๆบทเพลงจะมีการใส่ Effect อาทิ เอ็คโค่ (Echo) สร้างความกึกก้อง, หวีดหอน (Feedback), เสียงสั่นๆ (Vibrato) หรือทำบางอย่างให้ฟังดูบิดๆเบี้ยวๆ ฯลฯ ซึ่งสะท้อนเข้ากับโครงสร้าง เรื่องราวของหนัง และยกระดับบรรยากาศหลอกหลอนขึ้นอีกขั้น
The Hourglass Sanatorium นำเสนอเรื่องราวอัตชีวประวัติ Bruno Schulz นักเขียนนวนิยายชาว Polish โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเสียชีวิตของบิดา Jakub Schulz ค.ศ. 1915 ที่ถือว่าสร้างอิทธิพล ส่งผลกระทบต่อตัวเขามากมายมหาศาล รู้สึกเหมือนทุกสิ่งอย่างพังทลาย เมืองอาศัยอยู่ล่มสลาย (จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) การเขียนนวนิยายเล่มนี้ (ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1937) จึงมีลักษณะค้นหารากเหง้า หวนระลึกนึกย้อน ทบทวนความทรงจำ เรียกได้ว่าเป็นจดหมายแห่งการร่ำจากลา
ความตายของบิดา สามารถมองในเชิงสัญลักษณ์ของการสูญเสียหลักแหล่ง บุคคล/สถานที่สำหรับพึ่งพักพิง เปรียบได้กับการล่มสลายของ Kingdom of Galicia and Lodomeria (ค.ศ. 1772-1918) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และยังเหมารวม Second Polish Republic (1918-39) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง … สองประเทศนี้ก็คือโปแลนด์นะครับ
เพราะนาฬิกาทรายสามารถพลิกกลับจากล่างขึ้นบน จากบนลงล่าง เวลาจึงเป็นสิ่งมิอาจครุ่นคิดคาดเดา แม้เรื่องราวจะมีพื้นหลังช่วงก่อน-หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่เราสามารถเหมารวมถึงสงครามโลกครั้งที่สอง (และหลังจากนั้น) นั่นคือลูกเล่นลีลาของผกก. Has ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเหนือจริง เหนือกาลเวลา
ผมมองความตั้งใจของผกก. Has ต้องการนำเสนอสภาพโปแลนด์ยุคสมัยปัจจุบันนั้น (หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์) แต่เพราะมิอาจทำออกมาโจ่งแจ้งชัดเจนจนเกินไป เลยความพยายามเบี่ยงเบนมาเล่าเรื่องจากวรรณกรรมชื่อดัง แล้วแทรกแซมเหตุการณ์ต่างๆที่มีความสอดคล้องจอง ทำนองเดียวกัน เพื่อให้เห็นว่าทุกสิ่งอย่างมันเวียนวน วงกลม หวนกลับมาบังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย บุตรชายดำเนินตามรอยเท้าบิดา มุ่งสู่หายนะ
ขบวนรถไฟ โดยเฉพาะสำหรับชนชาวยิว ถือเป็นปม ‘trauma’ ที่สร้างความหลอกหลอน หวาดหวั่นสั่นสะพรึง เพราะเป้าหมายปลายทางเมื่อโดนทหารนาซีจับกุมตัว นั่นคือถูกส่งค่ายกักกัน ไม่เพียงถูกทัณฑ์ทรมาน แต่ยังเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (holocaust) … ฤาว่าประเทศโปแลนด์ ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ กำลังจะมุ่งหน้าสู่ทิศทางนั้นอีกครั้ง??
สักวันหนึ่งในอนาคต ถ้าสถานการณ์การเมืองของประเทศโปแลนด์ยังคงเลวร้าย พรรคคอมมิวนิสต์แสดงอำนาจบาดใหญ่ ดินแดนแห่งนี้คงใกล้ถึงจุดจบ สิ่งชั่วร้ายจะผุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ สภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน วันสิ้นโลกาวินาศ
เมื่อกองเซนเซอร์โปแลนด์รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แสดงความไม่ชื่นชอบสักเท่าไหร่ ครุ่นคิดว่าจะสร้างภาพเสียๆหายๆให้ประเทศชาติ จึงพยายามกีดกัน สั่งห้ามนำออกฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes แต่ถึงอย่างนั้น ผกก. Has ก็หาหนทางลักลอบฉายได้สำเร็จ แม้จะได้รับเสียงโห่เป็นส่วนใหญ่ ประธานกรรมการปีนั้น Ingrid Bergman กลับมอบรางวัล Jury Prize เคียงข้าง The Invitation (1973)
การคว้ารางวัลดังกล่าวทำให้หนังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม หนึ่งในผลงานทำเงินสูงสุดของผกก. Has (เคียงข้าง The Saragossa Manuscript (1965)) แต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็สั่งห้ามยุ่งเกี่ยววงการภาพยนตร์นานถึง 8 ปี! … แต่กว่าจะมีผลงานเรื่องใหม่ รวมระยะเวลาแล้วก็สิบปี An Uneventful Story (1983)
หนังได้รับยกย่องโดยผกก. Martin Scorsese รวบรวมให้เป็นหนึ่งใน 21 Martin Scorsese Presents: Masterpieces of Polish Cinema ซึ่งมีการบูรณะ ‘digital restoration’ ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2010 โดย Kino Polska, และครั้งล่าสุด ค.ศ. 2020 คุณภาพ 4K (ไม่แน่ใจว่ามีจัดจำหน่าย Blu-Ray หรือยังนะครับ)
แซว: สกรีนบนแผ่น Blu-Ray ฉบับของ Mr. Bongo Films ที่จัดจำหน่ายเมื่อปี 2015 เหมือนจะมีการพิมพ์ชื่อหนังสลับกันเป็น The Saragossa Manuscript (ขณะที่แผ่นของ The Saragossa Manuscript (1965) ก็ขึ้นชื่อ The Hourglass Santorum)
ส่วนตัวมีความชื่นชอบโปรดักชั่นงานสร้าง ความสลับซับซ้อนเหนือจริง บรรยากาศหลอนๆ ดูน่าขยะแขยง มีอะไรให้ขบครุ่นคิดมากมาย แต่ภาพรวมกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่ค่อยพบเห็นเนื้อหาสาระอะไรสักเท่าไหร่ เพียงความเพลิดเพลินบันเทิงรมณ์ของงานศิลปะชั้นสูง แห่งความหมดสิ้นหวัง ไม่ต่างจากวันโลกาวินาศ
แนะนำคอหนังแนวเหนือจริง (Surrealist), ชื่นชอบบรรยากาศหลอนๆ ดูน่าขยะแขยง (Grotesque), จิตรกร ช่างภาพ ทีมออกแบบโปรดักชั่น ศึกษางานสร้างอันน่าตื่นตาตื่นใจ, นักปรัชญา นักจิตวิทยา ขบครุ่นคิดค้นหาว่ามันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร
จัดเรต 18+ บรรยากาศหลอนๆของลัทธิเหนือจริง