Age of Empires 2: The Age of Kings (1999)


Age of Empires II: The Age of Kings

Age of Empires 2: The Age of Kings (1999) ♥♥♥♥♥

เกมวางแผนรบ (Real-Time Strategy) สุดคลาสสิก ที่นำเสนอประวัติศาสตร์โลก และรวบรวมผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในอดีตทั้งหลายมาไว้ในเกมเดียว คือไตรภาค Age of Empires, กับภาคที่ถือว่าประสบความสำเร็จที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด คนเล่นมากที่สุด ปัจจุบันมีขายเป็น HD Edition บน Stream คือ The Age of Kings ภาคสอง, ถ้าคุณยังไม่เคยเล่นเกมนี้ ถือว่าเสียชาติเกิดแล้ว

Age of Empires เป็นซีรีส์เกมคอมพิวเตอร์อิงประวัติศาสตร์ พัฒนาโดย Ensemble Studios วางจำหน่ายในนามของ Microsoft Studios มีทั้งหมด 3 ภาคหลัก และอีก 6 ภาคเสริม อันประกอบด้วย

  1. Age of Empires วางจำหน่ายที่อเมริกา 15 ตุลาคม 1997
    > Age of Empires: The Rise of Rome วางจำหน่ายเมื่อ 31 ตุลาคม 1998
  2. Age of Empires II: The Age of Kings วางจำหน่ายบน Windows วันที่ 30 กันยายน 1999, HD Edition วางจำหน่ายบน Stream วันที่ 9 เมษายน 2013
    > Age of Empires II: The Conquerors วางจำหน่าย 24 สิงหาคม 2000
    > Age of Empires II: The Forgotten (HD Edition) วางจำหน่าย 7 พฤศจิกายน 2013
    > Age of Empires II: The African Kingdoms (HD Edition) วางจำหน่าย 5 พฤศจิกายน 2015
  3. Age of Empires III วางจำหน่ายเมื่อ 18 ตุลาคม 2005
    > Age of Empires III: The WarChiefs วางจำหน่ายที่อเมริกา 17 ตุลาคม 2006
    > Age of Empires III: The Asian Dynasties วางจำหน่ายที่อเมริกา 23 ตุลาคม 2007

เนื้อหาของเกมจะเกี่ยวข้องกับ อารยธรรมหลายชนชาติซึ่งจะแตกต่างกันออกไป
– ภาคแรกเกี่ยวข้องกับยุคโบราณ อาทิ กรีก, โรมัน, อิยิปต์, บาบิโลเนีย, เปอร์เซีย ฯ
– ภาคสองจะเป็นยุคกลาง อาทิ Britons, Franc, Viking, เติร์ก, มองโกล, ญี่ปุ่น ฯ
– และภาคสามยุคก่อน-หลังปฏิวัติอุตสาหกรรม อาทิ สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส (นโปเลียน), รัสเซีย (ซาร์อีวานที่ 4), เยอรมนี (พระเจ้าฟรีดริชที่ 2), อินเดีย (จักพรรดิอักบัร) ฯ

หัวใจของเกมส์ คือ การวางแผนพัฒนาเมือง พัฒนาคน จากทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่มีอยู่อย่างจำกัด และพัฒนาอารยธรรมให้ทันโลก เพื่อใช้รับมือต่อกรกับศัตรูรุกรานต่างชาติต่างวัฒนธรรม

จุดเริ่มต้นของเกมนี้ เกิดจากความต้องการท้ารบกับเกม Civilization ที่สร้างออกมาก่อน ในเนื้อหาที่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โลก ซึ่ง Civilization นั้นเหมารวมโลกตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แต่ Age of Empires ภาคแรก จะมีเรื่องราวแค่ยุคหิน (Stone Age) จนถึงยุคเหล็ก (Iron Age) เท่านั้น, ชื่อ Working Title ของเกมนี้คือ Dawn of Man ผลงานชิ้นแรกของ Ensemble Studios ออกแบบเกมโดย Bruce Shelley, Tony Goodman (artwork) และ Dave Pottinger (ดูแลในส่วน AI) จัดจำหน่ายโดย Microsoft Studio

Age of Empires 2 เป็นเกมคอมพิวเตอร์แรกๆที่ผมเริ่มเล่นตั้งแต่เด็ก (น่าจะสักตอน ม.ต้น) สมัยนั้นแถวบ้านมีความนิยมในเกม Counter Strike และ Red Alert แต่ด้วยความที่ผมไม่ชอบอะไรที่มีความรุนแรง และได้ไปเห็นเกมนี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ มีความน่าสนใจ ไปพันธุ์ทิพย์เลยหาซื้อแผ่นมา เมื่อได้เล่นก็ รู้สึกคุ้มค่า เป็นเกมที่มีประโยชน์ ใช้สมองได้ดีกว่า Counter Strike เป็นไหนๆ เลยชอบมากกว่ามากๆ, ตอนโตเป็นวัยรุ่น ก็ชอบที่จะหวนระลึก วันไหนนึกคึกอยากเล่นเกมเก่าๆ ก็มักนึกถึงเกมนี้อยู่เสมอๆ, ชอบที่สุดก็คือ สร้างแผนที่เองแล้วมาเล่น Death Match 2-3 ชั่วโมง นั่งอยู่หน้าคอมต่อเนื่องไม่เบื่อเลย ได้ความรู้สึกเหมือน ตัวเองเป็นพระเจ้าที่ได้สร้างทุกสิ่งอย่าง ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และได้เห็นวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงยุคสมัย และของโลก

รูปแบบการเล่นเกมนี้มีหลากหลาย อาทิ โหมดผู้เล่นเดียว (Single Player), โหมดหลายผู้เล่น (Multiplayer), โหมด Death Match,โหมด Campaign (เนื้อเรื่อง), ปัจจุบันมีโหมด Online เพิ่มขึ้นมาด้วย ฯ, ตอมผมเริ่มเล่นเกมนี้ ก็เข้าโหมด Death Match ก่อนเลย ไม่รู้คืออะไร แต่ชื่อ ‘Death’ มันน่าสนใจทีเดียว, ถ้าคุณยังไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน แนะนำให้ไปที่โหมด Campaign เริ่มเล่นตามเนื้อเรื่องก่อนสักพักนะครับ เพราะเกมมันจะสอนวิธีการเล่นให้ด้วย ซึ่งพอจับใจทางได้ เล่นเป็นแล้ว ค่อยมาหัดเล่น Death Match ก็ยังไม่สาย หรือถ้ามีเพื่อนเล่น ก็ท้า Death Match โหมด Multiplayer ดวลกันไปเลย

ในโหมด Campaign ของ The Age of Kings ประกอบด้วยเรื่องราวของวีรบุรุษ/วีรสตรี/กษัตริย์ ทั้งหมด 5 คน ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย William Wallace (Celts), Joan of Arc (Franks), Saladin (Saracens), Genghis Khan (Mongols) และ Barbarossa (Teutons), ใครสนใจก็ลองเข้าไปเล่นดูนะครับ ส่วนตัวผมไม่เคยเล่น Campaign จนจบ คือเล่นให้รู้ว่ารูปแบบเกมเป็นยังไง มีอะไรที่เรายังไม่รู้บ้าง (โหมด Campaign จะมี Tutorial อยู่) ถ้ารู้หมดแล้วไม่ต้องเล่นก็ได้ ไม่ได้สนุกอะไรเท่าไหร่

จุดเด่นของเกม คือการพัฒนาเปลี่ยนยุคสมัย ของแต่ละอารยธรรม อันประกอบด้วย 4 ยุค คือ ยุคมืด (Dark Age), ยุคเจ้าขุนมุนนาย (Feudal Age), ยุคปราสาท (Castle Age) และยุคอิมพีเรียล (Imperial Age) ซึ่งการเปลี่ยนยุคทั้งหลาย จะทำให้ประชาชนพลเมือง สิ่งก่อสร้าง มีความเจริญรุดหน้า พัฒนามากขึ้นกว่ายุคก่อน อาทิ จากที่ประชาชนเคยเก็บทรัพยากรธรรมชาติได้ครั้งละเล็กน้อยและใช้เวลามาก ก็จะเก็บได้มากขึ้นรวดเร็วขึ้น, บ้านเมืองจากที่เคยเป็นกระท่อมสร้างด้วยไม้ เมื่อพัฒนาสู่ยุคปราสาท ก็จะกลายเป็นหินเป็นอิฐ ซึ่งมีความแข็งแกร่งทนทานมากกว่า ฯ ทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนยุคสมัย เราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่พัฒนาขึ้นทันตา นี่เป็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจมาก ในภาค 2 มีอารยธรรมทั้งหมด (นับเฉพาะภาคหลัก) 13 ชนชาติ ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าอยากเห็นทั้งหมดครบทุกอารยธรรมก็ต้องเล่นอย่างน้อย 13 รอบ!

โหมดที่ผมนิยมเล่นที่สุด แน่นอนก็คือ Death Match สู้กับคอมพิวเตอร์ (ถ้าเมื่อก่อนมีเพื่อนเล่นก็จะนิยมโหมด Multiplayer) AI เกมนี้ถือว่าเก่งใช้ได้นะครับ ถ้าเลือกระดับยากนี่เล่นเหนือเลยละ รุกรานกันตั้งแต่ยุคสมัยแรก ถ้าเลือก Beginner ก็อ่อนมาก แต่ก็จะเล่นเพลิดเพลิน สบายๆ, ความสนุกของ Death Match คือการได้วางแผนการจัดการ สร้างตัวละคร/ทหาร เก็บทรัพยากร ออกสำรวจ สร้างสิ่งก่อสร้าง พัฒนาเมือง และเตรียมพร้อมสู้รบ สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมๆกันในโหมด Death Match ซึ่งจุดจบคือ ไม่เราหรือศัตรูต้องถูกทำลายสิ้นซาก (หรือยอมแพ้) หรือถ้าตั้งเวลาไว้ในเกม ก็จะนับคะแนน โดยขึ้นอยู่กับ ปริมาณทรัพยากรที่เก็บได้, ปริมาณสิ่งก่อสร้าง/ทหาร/วิวัฒนาการของเมือง การอัพเกรด และผลแพ้ชนะในสงครามย่อย ฯ

ถ้าพูดถึงเฉพาะภาคหลัก ประเทศที่ผมชอบเล่นที่สุดคือ Persian เหตุเพราะจะมี Unit หนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ทรงพลังที่สุด แพงที่สุด และประเทศอื่นไม่มี นั่นคือ ‘ช้าง’ แต่ถ้าสนามรบนั้นคือ Forest, Island, River ฯ ก็จบกันนะครับ ช้างจะดูคลุกคลิกและไร้ประโยชน์มาก (แต่ช้างชนต้นไม้ล้มได้นะครับ)

เกร็ด: บรรดา Unit ของทหารธรรมดาที่แข็งแกร่งที่สุด ทางบกคือทหารม้า Paladin ส่วนทางน้ำ Elite Cannon Galleon ถ้าประเทศไหนสามารถอัพเกรดได้ถึงสองอย่างนี้ การันตีได้เลยว่าทหารของคุณจะแข็งแกร่งที่สุด (แต่ราคา/ทรัพยากรก็แพงสุดด้วยนะ)

เทคนิคของมือโปร คือถ้าเล่นแข่งกับเพื่อน ความเร็วในการพัฒนาประเทศสำคัญที่สุด คือเราต้องรีบเปลี่ยนยุคไปสู่ยุคสุดท้ายให้เร็วที่สุด ใครเปลี่ยนก่อนจะได้เปรียบมาก เพราะมีหลายการอัพเกรด ที่ช่วยเร่งความเร็วในการพัฒนา/เก็บเกี่ยวทรัพยากร ที่มักจะอยู่ที่ยุคสุดท้าย, วิธีการที่จะทำให้เร็วคือ เริ่มต้นต้องเร่งเก็บทรัพยากรที่จำเป็น และสร้างสิ่งก่อสร้างตามเงื่อนไขของการเปลี่ยนยุคก่อน ผมจำไม่ได้แล้วว่าเร็วที่สุดที่เคยทำได้คือกี่นาที แต่คิดว่าไม่น่าเกิน 20-30 นาที ก็ต้องอยู่ยุคสุดท้ายแล้ว ไม่เช่นนั้นเสียเปรียบคนอื่นแน่

อีกเทคนิคที่อยากแนะนำไว้ คือใช้ตลาดให้เป็น, การอัพเกรดตลาด จะทำให้ราคาทรัพยากรถูกลง/แพงขึ้น ต้องดูให้ดีก่อนกดอัพเกรด, อาหารเป็นทรัพยากรชนิดเดียวที่มีไม่จำกัด (สามารถสร้างฟาร์มเพิ่มได้อยู่เรื่อยๆ) ที่มีจำกัดแน่ๆคือ หิน (สำหรับไม้ ถ้าได้แผนที่ป่า ยังไงก็มีไม่มีวันหมด แต่ถ้าได้ทะเลหรือเกาะ อาจมีปริมาณจำกัด) และหินไม่ใช่ทรัพยากรที่มีประโยชน์มากนัก สิ่งก่อสร้างที่ใช้หินเยอะคือ หอคอยกับปราสาท, โดยปกติผมจะสร้างปราสาทประมาณ 10 หลัง ซึ่งพอครบโควต้าแล้ว หินที่เหลือก็จะเอาไปขาย เพื่อซื้อทรัพยากรอื่นที่ขณะนั้นขาดแคลน จะมีประโยชน์มาก

แถมให้อีกเทคนิค คือการตามล่าหา relic มาใส่โบสถ์ นี่เป็นอีกหนึ่งประโยชน์ของ Monk ที่นอกจากใช้ Heal และเพิ่มพลังให้กับนักรบแล้ว (ควรมีติดในทุกกองทัพอย่างน้อย 1-2 ตัว) ยังเป็นคนเดียวที่สามารถแบก relic กลับมาที่โบสถ์ แล้วจะได้เงินเพิ่มด้วย (เป็นเงินจากการทำบุญ) ใครได้ครอบครอง relic หลายชิ้น ทองก็จะเพิ่มขึ้นเร็วมาก และถ้าได้ครบ 5 ชิ้น ก็ต้องมีการรีบหน่อย เพราะเกมจะจบ (เหมือนกับถ้ามีการสร้าง Wonder ขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้ว เกมจะเข้าสู่กระบวนการนับถอยหลังเพื่อจบเกม)

หลังเกมจบจะมีสรุปคะแนนขึ้น ผมชอบที่จะนั่งดูกราฟวิวัฒนาการ Timeline ที่แสดงถึงความสามารถในการพัฒนา บริหารจัดการประเทศของแต่ละคน, ประเทศไหนที่มีพัฒนาการดีกว่า เก่งกว่า ก็จะมีพื้นที่กราฟใหญ่โต ครอบครองกินเนื้อที่ส่วนแบ่งพื้นที่กราฟของประเทศอื่น, ส่วนประเทศที่ขนาดพื้นที่เล็กลงเรื่อยๆ ก็แสดงถึงใกล้ถึงจุดวิบัติ (ถ้าหายไปเลยคือยอมแพ้ หรือล่มสลายไปแล้ว)

เพลงประกอบของเกมแต่งโดย Stephen Rippy, ใน Death Match ถ้าคุณเลือกประเทศที่จะเล่น แล้วกด Start จะมีเสียงบรรเลง intro แทนประเทศ/ชนเผ่า/อารยธรรม นั้นๆ นี่เป็นเสียงที่ผมชอบฟังมาก เพราะทำให้เราได้กลิ่นอาย รสสัมผัส เข้าใจพื้นฐานของชนชาตินั้นๆโดยทันที, เพลงประกอบเกมนี้ แม้จะดูไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการ ส่วนใหญ่ใช้เครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้น และเป็นเสียงสังเคราะห์ (digital sample) แต่มีความหลากหลาย (ตามอารยธรรมของประเทศต่าง), ผมหยิบ Main Theme ของเกมนี้ มาให้แฟนเดนตายระลึกความหลังกันนะครับ เป็นเพลงที่คนเคยเล่นเกมนี้จดจำฝังขึ้นใจอย่างแน่นอน

Age of Empire เป็นเกมที่ถือว่าประสบความสำเร็จในด้านยอดขายทั่วโลก สถิติเมื่อปี 2008 มียอดจำหน่ายมากกว่า 20 ล้านก็อปปี๊, นักวิจารณ์ทั้งหลายให้คำยกย่องว่า เป็นเกมที่มีอิทธิพลต่อแนว Real-Time Strategy (RTS) อย่างมาก อาทิ Rise of Nations, Empire Earth, Cossacks หรือแม้แต่  Star Wars: Galactic Battlegrounds ก็ยังได้รับอิทธิพลจากเกมนี้ และใช้ Engine แบบเดียวกับ Age of Empires ภาคแรก

กับคนวัย 20+ ขึ้นไป (ณ ปี 2016) เชื่อว่าอย่างน้อยคุณน่าจะเคยได้ยินชื่อเกมมานี้ บางคนอาจยังไม่มีโอกาสได้เล่น ผมก็ขอแนะนำเลยนะครับ ไม่มีเพื่อนเล่น ไม่รู้เล่นยังไงก็เปิดโหมด Campaign เล่นเนื้อเรื่องไปสักพัก พอเล่นเป็นแล้วก็ไปหัด Death Match แล้วคราวนี้จะหยุดไม่ได้เลย ติดงอมแงมเหมือนติด Civilization หรือ Homeworld หรือเกมวางแผนรบอื่นๆ ฯ

ตอนที่ผมเห็น HD Edition บน Stream วางขายเมื่อหลายปีก่อน รู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก เพราะคิดว่าเกมนี้จบสิ้น ตายไปนานแล้ว แทบจะรีบกดซื้อมาโดยทันที, นึกถึงตอนสมัยที่เล่นเกมนี้แรกๆ ตอนนั้นไม่มีเงินซื้อแผ่นเถื่อนเล่น ปัจจุบันมีเงินใช้เองแล้วก็อยากสนับสนุนของแท้ ขอบคุณผู้สร้างเกมนี้ (แม้ Ensemble Studios จะปิดไปแล้วก็เถอะ)

ตอน Expansion ภาคเสริมออกใหม่ตอนปลายปี 2013 ผมอึ้งไปเลย นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด คาดหวังมาก่อน เกมที่หมดสมัยตกยุคไปนานโข แล้วอยู่ดีๆมีภาคเสริมใหม่ออกมาขาย, Microsoft Studios ทำเพื่อสนองแฟนเดนตายของเกมนี้โดยเฉพาะ เรื่องราวใหม่ สิ่งก่อสร้าง อารยธรรมใหม่ แฟนๆเกมนี้รักตายเลย

ว่ากันตามตรง ผมมี Age of Empires ภาคแรกกับภาคสามในครอบครองนะครับ แต่ยังไม่เคยเล่น เลยไม่สามารถแสดงความเห็นเปรียบเทียบได้ว่า ภาคไหนสนุกกว่ากัน คือแบบว่าเกิดมาก็เล่นแต่ภาคนี้ ได้ยินว่าภาคอื่นสนุกไม่เท่าก็ไม่เคยเล่นเลย… ก็น่ะ เกมสไตล์นี้ ถ้าเจออะไรที่ชอบที่สุดแล้ว ก็มักไม่อยากเล่นภาคอื่นเท่าไหร่ (คือเกมมันไม่เหมือน Elder Scroll ที่เนื้อเรื่องภาค 3-4-5 เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่ง Age of Empires มันก็คือ Age of Empires รูปแบบวิธีการเล่นคงจะคล้ายๆเดิม แค่เปลี่ยนยุคสมัย/อารยธรรมเท่านั้น)

ถ้ามีโอกาส และคุณเป็นคนชอบเล่นเกม นี่เป็นเกมบังคับ ที่ต้องเล่นให้ได้ก่อนตาย จะรอซื้อตอน Stream ลดราคาก็ได้ เห็นสูงสุด 75% ตามช่วงเทศกาลลดราคา ส่วนภาคเสริมคงต้องรอสักพักถึงลดได้ขนาดนั้น ถ้าอยากเล่นก็จัดไปเลยนะครับ

มีแนวโน้มสูงมาก ที่ต่อไปเกมนี้จะถูก port ไปลง smartphone เพราะสเป็คเครื่องมือถือ น่าจะแรงพอที่จะเล่นเกมนี้ได้แล้ว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็เยี่ยมมากๆ เพราะจะมีโอกาสเข้าถึงผู้เล่นได้หลากหลายมากขึ้น

จัดเรต PG จริงๆจะทั่วไปก็ได้ แต่ฉากรบราฆ่าฟัน สักหน่อยแล้วกัน เด็ก 3 ขวบคงเล่นไม่ได้แน่

TAGLINES | “Age of Empires เป็นเกมวางแผน (RTS) สอนประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม คลาสสิกมากๆ คนที่ยังไม่เคยเล่นถือว่าเสียชาติเกิดแล้ว”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | FAVORITE

The Swapper (2013)


The Swapper

The Swapper (2013) ♥♥♥◊

คงไม่มีเกมไหนที่ให้เราสร้างร่างโคลนแล้วฆ่าทิ้งอย่างเลือดเย็นได้เท่า The Swapper เกม side-scrolling มีบรรยากาศ (atmosphere) แนวแก้ปัญหา (puzzle) ซึ่งจะทำให้คุณตั้งคำถาม มนุษย์คืออะไร?, กายและจิต แยกกันได้หรือเปล่า?, และอะไรที่เป็นสิ่งบ่งบอกความเป็นตัวตนของมนุษย์?

พัฒนาโดย Facepalm ค่ายเกม Indy อยู่ที่ Helsinki ประเทศ Finland เป็นโปรเจคของ Otto Hantula และ Olli Harjola สร้างขึ้นขณะเรียนอยู่ที่ University of Helsinki ภายหลังได้ทุนสนับสนุนจาก Indie Fun ถือว่าเป็นเกมที่ 6 สามารถทำเสร็จและวางขายได้ ลง Steam เมื่อ 30 พฤษภาคม 2013 และ port ลง Playstation และเครื่อง Nintendo ในปี 2014 โดย Curve Studios

เกมนี้ใช้ตีม Sci-Fi ดำเนินเรื่องในอวกาศ ผู้เล่นจะควบคุมตัวละครหนึ่งในสถานีอวกาศที่ได้รับความเสียหาย หน้าที่ของเราคือออกสำรวจยานอวกาศ ไขปริศนาและหาทางออกเพื่อหนีเอาตัวรอด เนื้อเรื่องเขียนโดย Tom Jubert ที่ผลงานต่อมาคือเป็นคนเขียนบทเกม FTL และ The Talos Principle ผมยังไม่ได้เล่น FTL นะครับ แต่รู้สึก Jubert จะชอบสอดแทรกเรื่องราวแฝงปรัชญา ที่น่าสนใจ ให้ผู้เล่นต้องขบคิดขณะเล่น และหลังเล่นเกมจบ

รูปแบบเกมจะเป็น Side-Scrolling มีปริศนาให้แก้ Puzzle-Platform ต้องแก้ให้ผ่านถึงจะได้อุปกรณ์เพื่อใช้เปิดประตูสู่ด่านต่อไป คอมเซ็ปเกมสไตล์นี้ถูกเรียกว่า Metroidvania มีมาตั้งแต่สมัยเครื่อง PC-88 เกมแรกคือ Xanadu (1985) พัฒนาโดย Nihon Falcom เกมสไตล์นี้ที่ดังที่สุดคงเป็น Castlevania สำหรับวงการเกม Indy เกมแรกที่ถือว่าพัฒนาขึ้นด้วยคอนเซ็ปนี้คือ Cave Story (2004) ปัจจุบันก็มีออกมาเรื่อยๆนะครับ จะมองว่าเป็นเกมแนว Retro ก็ได้ ผมเห็นลง Stream ปีละ 2-3 เกม คงเพราะมันพัฒนาง่ายขึ้นด้วย เครื่องมือสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องทำภาพ 3 มิติสวยเว่อ แต่คอนเซ็ป แนวคิดเกมดีๆ ก็สามารถขายได้

The Swapper ออกแบบตัวละคร ฉากหลังโดยใช้มือปั้นงานจำลองทั้งหมด (clay model) จากนั้นถ่ายภาพหรือสแกน 3 มิติ เข้าคอมพิวเตอร์ เพื่อสู่กระบวนการเขียนโปรแกรม แสงสีในเกมก็จากแสงสีจำลองจริงๆ ไม่ได้มีการใช้ Photoshop หรือโปรแกรมแต่งภาพด้วยโปรแกรมแม้แต่น้อย ใครเล่นเกมนี้แล้วคงรู้สึกได้ว่าภาพมันแปลกๆ จะว่า 3 มิติก็ไม่ใช่ เหมือนมันจับต้องได้ เป็นก้อนๆอะไรสักอย่าง คนยังไม่เคยเล่นลองดูจากตัวอย่างเกมนะครับ

ด้วยโทนสีและบรรยากาศของเกม มันดูลึกลับ อึมครึมมากๆ หลายคนคงคิดว่าเล่นแล้วน่าจะเครียดแน่ๆ … ใช่ครับ ตอนผมเล่นก็มึนหัวตึบๆเลย กับคนที่ชอบเสพย์บรรยากาศ (Atmosphere) นี่เป็นเกมที่เหมือนทำให้คุณเมายา มึนๆ อึมครึม ทั้งงานออกแบบ และเพลงประกอบ (โดย Carlo Castellano) ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในสถานีอวกาศร้างๆ ที่ลึกลับน่ากลัวจริงๆ นี่เป็นสัมผัสที่ไม่เหมือนเกมไหนๆที่ผมเคยลองเล่นมา มันอาจดูไม่น่าเล่นแต่ผมแนะนำลองอดทนเล่นสัก 1-2 ชั่วโมงดูก่อนก็ได้นะครับ (ถ้าไม่ชอบก็ค่อยขอ Steam เงินคืน) ไม่แน่คุณอาจจะแก้ปริศนาในเกมเพลินจนไม่อยากหยุดเลยนะครับ

สำหรับคนที่ตามเนื้อเรื่องพื้นฐานของเกม มันจะมีคำอธิบายเป็น Log บันทึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และหินประหลาด ที่เมื่อเดินผ่านมันจะมีข้อความบางอย่างขึ้นมา โลกมนุษย์ในเกมนี้ ไปถึงจุดที่ทรัพยากรธรรมชาติแทบหมดสิ้นแล้ว จึงออกท่องอวกาศเพื่อค้นหาแร่ธาตุที่มีประโยชน์ส่งกลับไปโลก ซึ่งในดาวเคราะห์แห่งนี้ Chori V มีหินชนิดหนึ่ง และมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่คล้ายๆ ตัวไหม (Silkworm) เป็นหินที่มีความซับซ้อนและอาจจะมีสติปัญญา ตั้งชื่อว่า The Watchers, เมื่อเวลาผ่านไป ลูกเรือหลายคนเริ่มเกิดอาการภาพหลอน นักวิทยาศาสตร์พบว่าหินพวกนี้ส่งคลื่นแม่เหล็กเคมี (electro-chemicals) และได้สร้างอุปกรณ์ที่ชื่อ The Swapper เป็นอุปกรณ์ที่สามารถโคลนผู้ใช้และสามารถเคลื่อนย้ายจิตไปสู่ร่างโคลนได้ ผมขอสปอยเนื้อเรื่องเท่านี้นะครับ เพราะหลังจากนี้จะเป็นการทดลองต้องห้ามบางอย่างที่เป็นเหตุให้สถานีอากาศกลายสภาพเป็นแบบในเกม และตัวละครของเราคือมนุษย์คนสุดท้าย(หรือเปล่า) ที่มีชีวิตรอดในสถานีแห่งนี้

ผู้เล่นรับบทเป็นตัวละคร ที่สามารถโคลนตัวเองได้สูงสุด 4 ตัว และสามารถเคลื่อนย้ายจิตไปใส่ร่างโคลนต่างๆได้, ร่างโคลนตายไม่เป็นไร แต่ถ้าร่างที่มีจิตเราอยู่ ตายแล้วจะกลับไปเริ่มที่จุด Save ทันที, โคลนแต่ละตัวจะไม่มีจิตใจ คิด ทำอะไรเองไม่ได้ มันจะเคลื่อนไหวตามร่างที่จิตวิญญาณของเราอยู่ เรากระโดดโคลนก็จะกระโดดตาม เราวิ่งโคลนก็จะวิ่งตาม แต่ถ้าเราวิ่งไปติดกำแพงแล้วโคลนไม่ติด มันไม่ฉลาดพอจะหยุด วิ่งต่อไปเรื่อยๆจนตกขอบหรือถูกทับตาย

เกมนี้ให้ความรู้สึกที่แปลกมาก ปกติแล้วเวลาเล่นเกม ผู้เล่นต้องพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองไม่ตายหรือตายน้อยที่สุด แต่เกมนี้พอสร้างโคลนขึ้นมาแล้ว กลับเป็นว่าเราต้องทำให้โคลนตายบ่อยมากๆ มุมหนึ่งเราจะมองว่าโคลนไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เดี๋ยว!… เราย้ายจิตใจไปที่โคลนตัวต่างๆได้ ตอนที่จิตเราอยู่ที่โคลนตัวไหน เราจะถือว่านั่นเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วโคลนตัวที่เราเพิ่งย้ายจิตออกมาละ นั่นไม่นับเป็นสิ่งมีชีวิตได้ยังไง!

เรื่องโคลนนี่เป็นข้อพิพาททางสังคมมานานมากๆ เกี่ยวกับจริยธรรมและบรรทัดฐานของสังคม ผมเริ่มรู้จักโคลนอาจจะจากหนังสักเรื่อง แต่ก็เคยได้ยินตอนที่นักวิทยาศาสตร์สามารถโคลนแกะคู่แรกของโลกได้สำเร็จ มีหนัง/อนิเมะเกี่ยวกับโคลนหลายเรื่องทีเดียว (Star Wars, Total Recall, The 6th Days , The Island, To Aru Kagaku no Railgun ฯ) ซึ่งคำถามที่ทำให้เกิดข้อพิพาทก็คือ โคลนเหล่านี้ถือว่ามนุษย์หรือเปล่า?, สิ่งมีชีวิต ในนิยามของพุทธประกอบด้วย กายและจิต มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากพ่อแม่ ค่อยๆโตขึ้นในครรภ์ เกิดมาแล้วยังเติบโตต่อจนตาย ส่วนโคลนเกิดขึ้นในห้องทดลอง ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ มีแต่คนที่ให้พันธุกรรม(donor) สามารถทำให้โตทันทีหรือค่อยๆโตก็ได้, ผมมองว่าโคลนก็คือสิ่งมีชีวิตนะครับ แม้วิธีการเกิดอาจจะไม่เหมือนมนุษย์ แต่โคลนมีกายและจิต แค่นี้ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแล้ว แต่จะเรียกว่าเป็นมนุษย์ไหม … ไม่รู้สิครับ ไม่ขอออกความเห็นแล้วกัน

นี่แค่เกมนะครับ เราไม่ต้องไปคิดมากขนาดนั้นก็ได้ แต่ผมจะบอกว่าแนว Sci-Fi ถ้าเป็นเรื่องราวที่ดี มักจะมีใจความแฝงที่ลึกซึ้ง เกมนี้ถือว่าเป็นเกมที่ดี เล่นอย่างเดียวก็สนุกได้ และถ้ามานั่งคิดก็จะพบใจความบางอย่างที่ซ่อนไว้, ตอนผมเล่นเกิดความรู้สึกหนึ่ง คือเราจะไม่เสียใจที่โคลนตาย (เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์) ทั้งๆที่โคลนมันก็คือร่างหนึ่งมนุษย์ สามารถเคลื่อนไหวทำตามที่เราสั่งได้ แต่การสั่งนั้นมันเหมือนว่าโคลนเป็นหุ่นเชิด (puppet) เราสั่งเดินซ้ายไป เดินขวาไป สั่งให้ตายก็ต้องตาย เหมือน Totalitarianism เผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ ลัทธินี้มองผู้คนเหมือนผักปลา สั่งให้ทำอะไรต้องทำ หันซ้ายต้องหันซ้าย หันขวาต้องหันขวา ให้ไปตายก็ต้องตาย เป้าหมายเพื่อผู้นำเผด็จการแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น, การตายของโคลนในเกม จึงเปรียบได้กับประชาชนที่อยู่ในระบอบ Totalitarianism ที่ต้องเคลื่อนไหว ทำตามหน้าที่ผู้นำ (ซึ่งก็คือผู้เล่น) ไม่มีจิตวิญญาณของตัวเอง (มีแต่ตัวตน) เพื่อเป้าหมายการเอาตัวรอดของตัวละครแต่เพียงผู้เดียว (เพื่อผู้นำเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ) … ว่ะ! ใจความเกมนี้โหดโคตรๆ

เกมนี้ดำเนินเรื่องในอวกาศ จึงมีบางสถานที่ในเกมที่ตัวละครสามารถลอยไปมาบนอวกาศได้ เดินบนเพดาน ใช้เครื่องพ่นลมเพื่อผลักดันให้ลอยไปตามทิศทางที่ต้องการ นี่เป็นอีกสิ่งที่ผมรู้สึกแปลกประหลาดมาก เพราะเกมนี้มัน 2 มิติ แต่สภาพการลอยในอวกาศ มันควรเป็น 3 มิตินะครับ เท่ากับว่าการเคลื่อนไหวของตัวละครมีแค่ 2 ทิศทางเท่านั้น จุดนี้ต้องมองข้ามไปนะครับ ดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นเกม 2 มิติ จะให้สมจริงเหมือน 3 มิติได้อย่างไร

ตอนจบ มีการให้เลือก 2 ครั้ง, ครั้งแรกเลือกระหว่างระเบิดสถานีอวกาศ ตัวเราก็จะตายด้วยจบเกม และพาสถานีอวกาศลงจอดบนดาวเคราะห์ Chori แบบนี้ตัวเราจะยังไม่ตาย ซึ่งเมื่อลงจอดสำเร็จจะมีการให้เลือกอีกครั้ง, เลือกที่จะเอาตัวรอดหนีไปกับยานที่มาช่วย หรือไม่ยอมรับความช่วยเหลือและตกเหวตายหรือถูกฆ่า, ตอนผมเล่น พยายามเลือกหนทางที่สามารถไปถึงจุดสิ้นสุดของเกมได้ (เอาจริงๆ เกมพวกนี้ไม่ต้องมี Alternate Ending ก็ได้นะ เพราะมันไม่ได้มีผลอะไรต่อเกมภาพรวมเลยสักนิด) หลังจากตามเนื้อเรื่องมาถึงตอนจบ ต้องบอกว่าใครเลือกแบบผมมันลงตัวมากๆ ค้างอารมณ์บางอย่างไว้ ขณะเดียวกันก็อึ้ง พูดไม่ออกเลย ตั้งคำถามกับตัวเอง เห้ย! นี่คือตัวตนของเราหรือเปล่าเนี่ย

เกมนี้ผมใช้เวลาไปทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง (เล่น 2 วัน) เป็นเกมที่ไม่ยาวมาก มีด่านน่าจะประมาณ 20-30 ด่าน แรกๆปริศนาจะง่ายๆ แล้วค่อยซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ พอใกล้ๆจบจะมียากระดับคิด ไม่รู้ว่ะ! ซึ่งถ้าดูเฉลยจะแอบเซ็ง ทำไมถึงไม่เห็น คิดไม่ได้ว่ะ! ผมมีประมาณ 3 ด่านที่ติด และพยายามดื้อด้านไม่ใช่ตัวช่วยจนครึ่งชั่วโมงผ่านไป… แสดงว่าเกมนี้อาจเล่นจบได้ใน 2-3 ชั่วโมงนะครับ แต่ซื้อมา 315 บาทนี่ ขอสักสองวันก็ยังดี (รอลด 75% ค่อยซื้อก็ได้นะครับ)

ผมแนะนำเกมนี้กับคนชอบแนวแก้ปัญหา ชอบเกมมีบรรยากาศ และคนที่ชอบปรัชญา ต้องไม่พลาดเลย, เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์เล่นเกมมาระดับหนึ่งแล้ว ไม่เหมาะกับผู้เล่นหน้าใหม่ จัดเรต 15+ เพราะบรรยากาศที่หนักเกินกว่าเด็กจะเล่นได้

TAGLINE | “The Swapper เกม Indy Sci-Fi มีบรรยากาศ แนว Side-Scrolling ที่จะทำให้คุณตั้งคำถามปรัชญาการมีตัวตนของมนุษย์ ไปกับการค้นพบและแก้ปริศนาด้วยวิธีการที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”
QUALITY | SUPERB
MY SCORE | LIKE

Portal 1 & 2


Portal

Portal

หนึ่งในเกมที่ดีที่สุดในโลก ผมแนะนำทั้ง Portal 1 และ Portal 2 ให้กับคนที่ไม่ใช่นักเล่นเกมควรที่จะได้ลองเล่น ถือว่านี่เป็นเกมที่ “ห้ามตายก่อนได้เล่น” Portal ไม่ใช่แนวต่อสู้ แต่เป็นแนวแก้ปัญหา ที่มีเนื้อเรื่องซับซ้อน หักมุม และสวยงามอย่างคาดไม่ถึง คอมพิวเตอร์สมัยนี้คงเล่นได้สบายๆแล้ว คาดว่าอีกไม่นานอาจจะสามารถ port ลง smartphone ได้แน่

จากค่ายเกม Valve เจ้าของผลงาน Half-Life เกม Portal ภาคแรกวางจำหน่ายเมื่อ 9 ตุลาคม ปี 2007 โดยใช้พื้นหลังในโลกเดียวกับ Half Life (แต่เราจะไม่ได้ออกไปข้างนอกสถานที่นะครับ เพราะเกมดำเนินในสถานที่วิจัยใต้ดินห่างไกลจากโลกในเกม Half-Life มาก แค่ถือว่าอยู่ในจักรวาลเดียวกัน) โดยระยะเวลาดำเนินเรื่องจะของภาคแรกจะอยู่ระหว่าง Half Life ภาค 1 กับ 2

ทีมนักพัฒนาเกมนี้ เห็นว่าเป็นเด็กจบใหม่จาก DigiPen Institute of Technology ที่ตอนนั้นกำลังพัฒนาเกม Narbacular Drop เมื่อปี 2005 และได้ไปเข้าตา Gabe Newell เจ้าของบริษัท Valve ทำให้ทั้งทีมย้ายเข้ามาทำงานกับ Valve ซึ่ง concept ของเกม Narbacular Drop ได้พัฒนาต่อยอดกลายเป็นส่วนหนึ่งของเกม Portal รวมเวลา 2 ปีกับ 4 เดือน ใช้ทีมงานไม่ถึง 10 คน จึงสามารถสร้าง Portal ออกมาสำเร็จได้

ในส่วนบท Marc Laidlaw ที่เป็นคนเขียนบทจากเกม Half Life ได้เข้ามาช่วยขัดเกลาเนื้อเรื่อง ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโลก Half Life แต่เพราะตัวเกมมันสั้นมาก และไม่มีเรื่องราวอะไรให้เล่าได้ การเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ใหญ่กว่า น่าจะดึงดูดความสนใจของผู้เล่นได้มาก แถมยังสามารถเอา concept art ที่เหลือจาก Half-Life กลับมาใช้ได้ด้วย นี่เป็นเหตุให้เนื้อเรื่องเกม Portal ถูกผนวกเข้าร่วมอยู่ในโลกเดียวกับ Half-Life

รูปแบบการเล่น คือ First-Person ในเกมเราเล่นเป็นหุ่นตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทดสอบการแก้ปัญหาต่างๆ จุดขายของเกมคือวิธีการแก้ปริศนา puzzle โดยใช้เครื่อง teleport เคลื่อนย้ายตัวละครจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งในบริเวณที่ไม่สามารถเดินเข้าถึงได้ เกมแนวแก้ปริศนา ผมมองว่าเป็นเกมที่มีประโยชน์นะครับ เพราะมันทำให้ผู้เล่นได้ฝึกคิด วิเคราะห์ ต้องคอยสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สำหรับ Portal ภาคแรก ผมว่า puzzle ไม่ยากเท่าไหร่ อาจเพราะมีด่านไม่เยอะมากด้วย ใช้เวลาเล่น 2-3 ชั่วโมงก็จบ

แต่เกมคงน่าเบื่อมากถ้าเป็นการแก้ปริศนาไปเรื่อยๆ ใช่ครับเกมมีมากกว่านี้ มันจะมีเสียงๆหนึ่ง พากย์โดย Ellen McLain เป็นเสียงที่ถูกแต่งให้กลายเป็นเสียงคอมพิวเตอร์ เป็น AI (Artificial Intelligent) ที่จะพูดคุยกับเราตลอดเกม แรกๆก็ดูเป็นมิตร เพราะเธอให้คำแนะนำและให้กำลังใจเราในการแก้ปัญหาในด่านต่างๆ แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ จะเริ่มรู้สึกว่าเสียงนี้มันมีอารมณ์ มีความอิจฉาริษยา มีลับลมคมในบางอย่างแฝงอยู่ และเมื่อไปถึงด่านสุดท้าย ถ้าเราเลือกที่จะขัดขืดไม่ทำตามคำสั่ง เสียงพูดจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมไม่รู้คนไทยเล่นเกมนี้แล้วจะหัวเราะไหม (แค่เห็นว่ามีซับไทยอยู่นะครับ) นี่เป็นเกมที่มีคำพูดกวนๆ เสียดสี ประชดประชันผู้เล่นอย่างมาก แรกๆอาจจะเครียดๆ แต่หลังๆมันเริ่มตลก เพราะเสียงพูดมันได้แต่เห่าแต่ทำอะไรเราไม่ได้สักอย่าง การต่อสู้ฉากสุดท้ายถือว่าเป็นแนวคิดที่เยี่ยมมากๆ ยังคง concept การแก้ปริศนา ใช้สิ่งที่เรามีเพื่อเอาชนะศัตรู ไม่ใช่ด้วยกำลังแต่ด้วยสมอง ผมลองผิดลองถูกอยู่สักพัก สังเกตดีๆก็จะเห็นวิธีการเอาชนะ ผมสามารถเล่นเกมภาคแรกนี้จบได้โดยไม่ใช่ tutorial สักครั้งนะครับ

ข้อเสียเดียวของเกมภาคนี้คือ “สั้น” ครับ เกมสั้นมาก ผมเล่น 2-3 ชั่วโมง ก็จบแล้ว ตอนสู้สุดท้าย ผมเอะใจนี่จะจบแล้วเหรอ ศัตรูนี้คือเสียงพูดที่คุยกับเรามาตลอดทั้งเรื่อง มันมีสถานะเป็น last boss มากๆ แต่เพิ่งเล่นมาแปปเดียวเองเจอกันแล้วเหรอ พอเอาชนะได้ปุ๊ปเกมก็จบเลย เห้ย! มันยังไม่เต็มอิ่ม จุใจเลย อยากเล่นอีก!

เพลง end credit แม้งแนวมากๆ ผมชอบมากๆด้วย เพลงชื่อ Still Alive แต่งโดย Jonathan Coulton ร้องโดย Ellen McLain เจ้าของเสียงคอมพิวเตอร์ (เสียงเดียวในเกมนะแหละ) ซึ่งก็มีการแต่งเสียงให้กลายเป็นเสียงคอมพิวเตอร์ที่เราคุ้นเคยด้วย เพลงนี้มันไม่ใช่แค่เพราะเท่านั้น แต่มัน “กวนตรีน” มากๆ คนที่เคยเล่น Half Life มาคงรู้จัก Black Mesa เพลงนี้มันมีพูดถึง Black Mesa ด้วย เอากับมันสิ

สำหรับเพลงประกอบในเกม แต่งโดย Kelly Bailey และ Mike Morasky ถือว่าโดดเด่นมากๆนะครับ ใช้เสียงหลายๆอย่างที่ผมไม่รู้จัก ผสมกับเสียง Electronic รู้สึกล้ำยุคแต่สร้างบรรยากาศหลอนๆ ผมชอบจังหวะตั้งแต่ฉากที่เราออกนอกด่าน เพลงประกอบจะเปลี่ยนเป็นจังหวะตื่นเต้นทันที ฉากต่อสู้สุดท้าย เพลงประกอบมันส์มากๆ ยังกะดูหนัง Action ในฉากกำลังวิ่งหลบกระสุน

ความสำเร็จของ Portal ภาคแรกถือว่าเกินความคาดหมายมากๆ คำวิจารณ์ก็ดีมากๆ meta critic ให้ 90/100 ประมาณการยอดขายรวม 4 ล้านชุด แน่นอนว่าเมื่อมันประสบความสำเร็จล้นหลามขนาดนั้น จะไม่ให้มีต่อได้ยังไง

Portal 2

Portal 2

จากทีมสร้างเล็กๆไม่ถึงสิบคน เติบโตขึ้นเป็น 30-40 คน ในภาคใหม่ ด้วยความตั้งใจที่จะให้เกมนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นในทุกๆด้าน โดยยังรักษาบรรยากาศจากภาคแรกเอาไว้ เริ่มสร้างภาคนี้ต่อทันทีนับจากภาคแรกวางจำหน่าย เกมเสร็จวางขายเมื่อ 19 เมษายน ปี 2011 ประมาณการณ์ปีแรก ขายได้ 4 ล้านชุด แม้ดูยอดขายจะไม่ได้มากไปกว่าภาคแรก แต่ผลตอบรับ คำวิจารณ์อยู่ในระดับที่สูงกว่ามากๆ จนมีคนเรียกเกมนี้ว่า เป็นหนึ่งใน greatest video games of all time

ในการสร้างภาคต่อ เกมจะต้องความซับซ้อนขึ้น มีอะไรสดใหม่ ไม่ใช่แค่โลกที่กว้างขึ้น หรือแค่เพิ่มปริมาณด่านก็จบแล้ว Erik Johnson ที่เป็น Project Manager ของเกมนี้เคยพูดไว้ว่า “Valve ไม่ได้ต้องการแค่สร้างเกมภาคสองให้เหนือกว่าภาคแรก แต่ต้องการให้ผู้เล่นรู้สึกว่าเมื่อเขาแก้ปัญหาในเกมได้สำเร็จ จะรู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้นด้วย”

ทีมเขียนบทถือว่ายกชุดใหม่หมด ประกอบด้วย Jay Pinkerton, Erik Wolpaw และ Chet Faliszek (ผู้เขียนบท Left 4 Dead) โดย Pinkerton และ Wolpaw มีหน้าที่เขียนเรื่องราวเกิดขึ้นหลัง โดยภาคนี้จะใช้ช่วงเวลาหลังจาก Half-Life 2 ไปไกลมากๆ (ไม่มีการระบุว่ากี่ปี) และพาเราไปสำรวจจุดเริ่มต้น ประวัติ ที่มาของสถานที่ที่ตั้งอยู่ในเรื่อง สำหรับ Faliszek เขาเขียนบทสนทนาในเกมทั้งหมด ว่ากันว่าเกมนี้มีบทพูดถึง 13,000 ประโยค มีตัวละครใหม่ๆเพิ่มเข้ามาหลายตัว และได้นักพากย์ที่มาช่วยยกระดับความสมจริงของเกม อย่าง J. K. Simmons (พากย์บท Cave Johnson เป็น CEO ของ Aperture Science) Ellen McLain กลับมาพากย์เสียงเดิม และ Stephen Merchant เสียงหมอนี่ Greek ได้ใจจริงๆ รับบทพากย์เป็นเพื่อนรักเพื่อนแค้นของเรา

การตลาดของเกมนี้ถือว่าน่าสนใจมากๆ มีการประกาศสร้างเกมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2010 ในงาน Game Informer โดยตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2010 Valve ได้ทำการออก patch ตัวใหม่ให้เกม Portal ภาคแรกเป็น Achievement ชื่อ Transmission Received ที่ให้ผู้เล่นสามารถเปิด-ปิดวิทยุในเกมได้ เมื่อเอาเสียงที่ออกจากวิทยุมาเช็คดู พบว่ามันเป็น Morse Code ที่เชื่อมไปยังรูปภาพรูปหนึ่ง ในรูปมีเบอร์โทรศัพท์ โทรไปจะได้รหัส ASCII-code เหมือนเกมตามหาของ ผมไม่รู้ไปจบยังไงนะ ตอนนั้นผู้คนส่วนใหญ่คิดไปว่า ณ จุดสุดท้ายจะเป็นการประกาศสร้าง Half-Life 2:Episode 3 แต่มาเฉลยเป็น Portal 2

กำหนดการวางขายแรก นับจากวันที่ประกาศสร้างคือช่วงปลายปี 2010 แต่พอสิงหาคม 2010 ได้ประกาศเลื่อนเป็นกุมภาพันธ์ 2011 ให้เหตุผลว่าทำไม่ทัน เนื่องจากมีด่านในเกมเยอะขึ้น ใช้ระยะเวลาพากย์เสียงนานขึ้น ซึ่งพอถึงพฤศจิกายน 2010 ก็ประกาศเลื่อนอีกครั้งเป็นเมษายน 2011 เมื่อ18 กุมภาพันธ์ 2011  Gabe Newell ออกมาประกาศว่าพัฒนา Portal 2 เสร็จแล้ว เหลือแค่การตรวจสอบครั้งสุดท้ายและผลิตแผ่น นี่เป็นเกมแรกของ Valve ที่วางขายบน STREAM พร้อมกับแผ่นเกมตามร้านค้าต่างๆ (จัดจำหน่ายแผ่นโดย Electronic Arts-EA)

เมื่อเกมใหญ่ขึ้น รายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็มีมากขึ้น เราจะไม่สนใจมันเลยก็ได้ (ตอนผมเล่นก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่) แต่มาตามหาเกร็ดของเกมอ่านทีหลัง ก็ได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องราวที่เป็นที่มาของสถานีวิจัยในเกม จุดเริ่มต้น ใครที่เป็นผู้สร้างสถานีวิจัยนี้ เกิดขึ้นตอนไหน และเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ผมถือว่านี่เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่น่าทึ่งมากๆ เล่นเกมเดียวกันแท้ๆ แต่ถ้าคุณไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ก็จะไม่เห็นความสวยงามที่แท้จริงของเกม

เชื่อว่าคงมีหลายคนเป็นแบบผม ตอนที่เจ้าคอมพิวเตอร์(ที่พยายามจะฆ่าเราตอนภาคแรก) กลายมาเป็นมันฝรั่ง ผมละอยากทิ้งมันไว้ตรงนั้นไม่เอาไปด้วยหรอก แต่เกมบังคับให้เราต้องพามันไปจนจบ จากศัตรูกลายมาเป็นเพื่อน ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้เลยนะ ถ้าเจ้ามันฝรั่งนี่กลับเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์เมื่อไหร่ มันต้องเอาคืนเราแน่ แต่ตอนจบกลับไม่ใช่แหะ ความสัมพันธ์ของเรากับมันฝรั่งนี้จับต้องได้ คงเพราะเรากับมันได้ผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตมาด้วยกัน เจ้ามันเลยยอมรับในตัวเรา แทนที่จะสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไป มันเลือกที่จะปล่อยให้เราเป็นอิสระ ผมคิดไม่ถึงจริงๆว่ามันจะทำแบบนี้ ถือว่าเซอร์ไพรส์มากๆ

เพลงจบชื่อ Want You Gone แต่งโดย Jonathan Coulton ร้องโดย Ellen McLain (คู่เดิมจากภาคแรก) เพลงนี้เนื้อหาแสบพอๆกับภาคแรกเลย แถมเข้ากับเหตุผลที่เกิดขึ้นในตอนจบด้วย

ในด้านคำวิจารณ์ Portal 2 ถือว่าเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก ได้คะแนนจาก meta critic สูงถึง 95/100 ได้เข้าชิง BAFTA video game award ชนะรางวัล Best Game, Best Story และ Best Design รวมถึงได้รับยกย่องให้เป็น Game of the Year ของปี 2011

ถือว่า Portal 2 เป็นเกมภาคต่อที่ทำได้ดีเกินความคาดหมายมากๆ ข้อเสียในภาคแรกได้ถูกแก้ไขจนหมดสิ้น ระยะเวลาการเล่นจนจบเพิ่มขึ้นเป็น 10-20 ชั่วโมง ถือว่ากำลังดี จุใจ ไม่น้อยไปเหมือนภาคแรก บรรยากาศเดิมๆจากภาคแรกคือ ความรู้สึกหลอนๆ และมุกเสียดสีที่กวนโอ้ยและเจ็บแสบ ทำได้ดีกว่าเดิมอีก ปริศนาที่ยากขึ้น อาจมีต้องใช้ตัวช่วยบ้างแต่ก็ไม่ถึงยากเกินไป สำหรับเนื้อเรื่องที่เพิ่มเข้ามา จุดเชื่อมโยงกับ Half-Life มีน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเล่นยิ่งสนุก มีอะไรให้ค้นหาเยอะแยะ มีอะไรลับๆซ่อนไว้มากมาย ตัวละครใหม่ถือว่าสร้างสีสันให้เกมไม่น้อย อาจจะดูเหมือนคาแรคเตอร์เดิมแต่มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ขณะที่ตัวละครเก่า เราจะได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งที่ที่ไม่น่าเชื่อว่า อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ยังกวนโอ้ยได้ขนาดนี้อีก การต่อสู้กับ last boss สนุกขึ้นเล็กน้อย และมีบางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ไม่เชิง plot-twist นะครับ ผมว่า plot-twist อยู่กลางเรื่อง ตอนจบน่าจะเรียกว่า big surprise มากกว่า ตอนจบมันบ้ามากๆ คิดได้ยังไงก็ไม่รู้ที่เลือกจบแบบนี้

สิ่งที่ทำให้ผมต้องพูดว่า Portal เป็นเกมที่ “ต้องเล่นให้ได้ก่อนตาย” อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นกับตัวละครในเกม ในภาคแรกความสัมพันธ์ของเรากับ AI เปรียบเสมือน พระเอกกับผู้ร้าย แต่ในภาคสอง เราจะได้รู้จักกับอีกตัวละครหนึ่งที่ใครๆคงคิดว่าหมอนี่ต้องเป็นมิตรแน่ๆ แต่กลางเรื่องกลับเป็น plot-twist ตัวร้ายภาคแรกกลายมาเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม แล้วตัวละครที่คิดว่าจะเป็นมิตรกลายมาเป็นศัตรู พล็อตนี้ถือว่าธรรมดาทั่วๆไปในหนัง แต่ในเกม ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นกับตัวละครจะลึกซึ้งกว่ามาก เพราะเราต้องได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปด้วยกัน เป็นเพื่อนคุยเวลาเหงา ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีตัวละครนั้นเป็นเพื่อน ต้องยกนิ้วให้กับนักพากย์ด้วย ที่สุดยอดมากๆ ณ จังหวะที่เขาหักหลังเรา ความรู้สึกเจ็บปวดมันจี๊ดไปถึงข้างในเลย ราวกับจากสวรรค์ตกลงสู่นรก (ในเกมก็จากชั้นบนสุดตกลงไปชั้นต่ำสุด) ผมถือว่า นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เกมนี้โดดเด่นมากๆ ไม่ใช่แค่แก้ปัญหา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับตัวละครต่างๆ มันยอดเยี่ยมสุดๆเลย เป็นก้าวแรกๆที่สำคัญระหว่างมนุษย์กับ AI ราวกับว่า พวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ เป็น AI ที่จับต้องได้ ความรู้สึกนี้ “ต้องลอง” ให้ได้นะครับ

เล่นเกมนี้จบ ผมไม่คิดว่าคุณจะฉลาดขึ้นนะครับ แต่เชื่อว่าคุณจะคิดว่าตัวเองฉลาดขึ้น อาจจะมีแนวทางการแก้ปัญหาในชีวิตที่ดีขึ้น ในระหว่างเล่นเกมนี้ผมแนะนำให้ลองทำหลายๆอย่างในฉากเดียวกัน ไม่ใช่แค่ไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ให้ลองเดินถอยกลับมาด้วย เวลาตอนที่เสียง AI พูดว่าไม่ให้ไป ขอละ อย่าไปไกลกว่านี้เลย ให้เราลองหยุดอยู่นิ่งๆ หรือเดินย้อนกลับ เราจะได้ยิน AI พูดขอบคุณเราที่ยอมทำตาม แต่เมื่อเราหยุดถอยหลังแล้วเดินต่อ มันจะด่าเรา ลองแกล้งเดินถอยกลับมาอีกครั้ง มันจะพูดขอโทษที่เมื่อกี้ด่าเรา ผมลองดูแล้วมันฮามากๆ คนเขียนบทนี่สุดยอดเลย

ได้ยินว่า J.J. Abrams มีความสนใจจะสร้าง Half-Life กับ Portal เป็นหนัง ข่าวนี่ตั้งแต่ 2013 แต่ยังไม่มีวี่แววเท่าไหร่ อย่าเพิ่งไปหวังนะครับ มาเล่นเกมก่อนดีกว่า

ผมแนะนำเกมนี้กับทุกคนนะครับ ถือว่าเกมไม่มีความรุนแรง ใช้สมองแก้ปัญหา คนที่ชอบแนว puzzle ต้องห้ามพลาดเลย เกมแนวเดียวกันที่ผมเคยเล่นก็ The Talos Principle บ้านใครยังมี PS3 เกมนี้ก็รองรับทั้งสองภาคเลยนะครับ ส่วน PS4 ไม่แน่ใจเท่าไหร่ (ไม่น่าจะรองรับ) ได้ยินว่าภาค 2 มีระบบ co-op ด้วย เล่นกับเพื่อนคงสนุกไปอีกแบบ

คำโปรย : “Portal 1 & 2 นี่คือเกมที่คุณต้องเล่นให้ได้ก่อนตาย แล้วคุณจะหลงรักกับ AI (หรือเปล่า)”
คุณภาพ : RARE-GENDARY
ความชอบ : FAVORI

Valiant Hearts: The Great War


Valiant Heart

Valiant Hearts: The Great War

จากผู้สร้าง Ubisoft ผู้สร้างเกม Rayman กับเกมแนวเสียดสีสงครามแบบ 2d-side-scrolling คุณจะได้พบกับเรื่องราวการต่อสู้ เพื่อนใหม่ การเอาตัวรอด ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นี่ไม่ใช่เกมสำหรับเด็กเลยนะครับ ต่อให้ภาพวาด 2 มิติจะลดความรุนแรงลงไป แต่เนื้อหาและวิธีการนำเสนอของเกม มันรุนแรงในระดับที่สามารถสัมผัสได้ และกับเหตุการณ์สุดท้าย ถ้าเปรียบเป็นหนังก็ Apocalypse Now

ไม่ใช่ว่าผมชอบ Ubisoft หรือยังไงนะครับ ในหัวข้อ “games” ผมจะนำเสนอเกมที่มีเนื้อเรื่อง การดำเนินเรื่องน่าสนใจ คล้ายๆกับเรากำลังดูหนังเรื่องหนึ่งอยู่แต่สามารถสัมผัส หรือตัดสินใจแทนตัวละครได้ เคยมีใครสักคนเคยพูดไว้ประมาณว่า “เกมไม่สามารถมองเป็นศิลปะได้ เพราะผู้ชม(ผู้เล่น) มีทางเลือกที่หลากหลาย” ผมเห็นแย้งนะครับ ศาสตร์ของเกมมันคล้ายๆกับศาสตร์ของหนังนะแหละ ผู้สร้างสามารถใส่แนวคิด ใส่ตัวตนเข้าไปในเกมได้ (อย่าง Metal Gear Solid นี่ชัดเจนมากๆ ตอนผมเล่น จะเห็นตัวตนของ Hideo Kojima อยู่ในเกมนี้) เกมมีส่วนผสมของ เนื้อเรื่อง, graphic และ gameplay 3 ส่วนนี้แหละที่ผมมองว่ามันคือจุดเด่นเฉพาะตัวที่สามารถมองให้มันเป็นศิลปะได้

วันนี้มานำเสนอ Valiant Heart (Valiant แปลว่า กล้าหาญ) ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ผู้คนมักเรียกกันว่า The Great War เราจะได้รับบทเป็นตัวละคร 2-3 ตัว (เล่นเป็นหมาได้ด้วย) สร้างโดย Ubisoft Montpellier ผมไม่เคยเล่น Rayman นะครับ แต่ก็เคยเห็นอยู่ เป็นเกมบน platform ที่ภาพสวย และดังมากๆ การมาทำ Valiant Heart ถือว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย โดยเฉพาะเนื้อเรื่องที่เปลี่ยนจากเด็กเล่นเป็นผู้ใหญ่เล่น ผมค่อนข้างแปลกใจที่ Ubisoft อนุมัติสร้างเกมนี้ได้อย่างไร ถ้าเกมอย่าง Child of Light นี่ยังพอเข้าใจได้ แต่ Valiant Heart เกมมีกลุ่มเป้าหมายที่จำกัดมากๆ แถมเกมแนวสงครามโลก ไม่ใช่แนวที่จะมีคนอยากสร้างมากนัก เพราะมันการันตีเรื่องความรุนแรง ความเครียดจากการเล่นอยู่แล้ว แต่กระนั่นนี่ก็ถือเป็นโอกาสดีมากๆ เพราะนานๆทีเราจะได้เห็น Ubisoft ทำอะไรที่แตกต่างจากเกม AAA ที่เป็นแฟนไชร์ใหญ่ๆ เกมนี้ถือว่าประสบความสำเร็จนะครับ ขายดี คำวิจารณ์เยี่ยม meta critic ให้คะแนนเกมนี้ถึง 80/100 ถือว่าสูงใช้ได้เลย และเกมได้รางวัล Best Animated Video Game จาก Annie Awards ด้วย

การเคลื่อนไหวของตัวละครดูแรกๆ อาจจะรู้สึกประหลาดหน่อย ไม่ลื่นไหล มีเป็นส่วนๆ แขน ขา หัว เท่านั้นที่เคลื่อนไหว คิดว่าเป็นความจงใจของผู้สร้างที่ต้องการปั่นหัวคนเล่นนะครับ ให้รู้สึกเหมือนประติดประต่ออะไรไม่ค่อยได้ แต่เล่นไปสักพักก็จะชิน มี gameplay แบบ side-scrolling แต่ไม่ใช่จะแค่วิ่งไปข้างๆอย่างเดียว มีแบบที่ตัวละครวิ่งเข้าหาหน้าจอ หรือต้องเดินเป็นมิติลึกเข้าไปอีกระดับ นี่เป็นแนวคิดที่ใช้ได้เลยนะครับ มันทำให้ถึงผู้เล่นจะเล่นคนเดียว แต่กลับสามารถ co-op กับตัวละครอื่นได้ ในบางครั้งตัวละครนี้ทำแบบนี้ได้ บางครั้งต้องใช้อีกตัวละครหนึ่ง มันทำให้มุมมองของเราต่อเหตุการณ์นั้นเปลี่ยนไปตามตัวละครที่เราเล่น เดี๋ยวนี้มีหลายเกมที่สามารถ co-op กันเองแบบนี้ได้เยอะนะครับ วิธีนี้เลยถือว่าไม่แปลกใหม่เท่าไหร่ แต่ก็น่าสนใจดี

เกมนี้จัดเป็น puzzle adventure ที่เราจะคอยเก็บ item ต่างๆ แก้ปัญหาให้ผ่านแต่ละฉากไปได้ ปริศนาในเกมถือว่าอยู่ในระดับ ปานกลาง ไม่ยากง่ายเกินไป รู้สึกผมจะใช้ตัวช่วยแค่ครั้งเดียวเองนะ ในเกมก็มีคำใบ้อยู่ด้วย (ถ้าไม่อยากพึ่ง google/youtube) สำหรับคนที่ชื่นชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ในเกมก็มี Fact, Letter ที่มีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์จริงๆใส่เข้ามาด้วย

ภาพในเกม ถูกออกแบบให้เป็นแบบนี้ให้เข้ากับบรรยากาศที่ชวนหดหู่ของเนื้อเรื่อง โทนสีหม่นๆ ไม่ใช่เพื่อลดความรุนแรงนะครับ กับฉากที่รุนแรงจริงๆในเกม ผมเห็นแล้วยังรู้สึกสะอิดสะเอียน แทบจะกลั้นหายใจเวลาเล่น เห็นแล้วอึดอัดมาก จุดหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น คือเราแทบไม่เห็นดวงตาของตัวละครในเกมเลย นี่จงใจแน่ๆ มักจะใช้ผมหรือหมวกบังไว้ (ยกเว้นน้องหมา) เพราะถ้าเกมให้เราเห็นดวงตา อารมณ์มันจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่เรายังเห็นน้ำตาของตัวละครนะครับ ที่ไม่ให้เห็นดวงตานี่ ผมคิดว่ามันเป็นการแทนด้วยตัวละครนั้นจะเป็นใครก็ได้ “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” ดูเหมือนผู้สร้างจะพยายามไม่นำเสนอสิ่งที่อยู่ในใจของตัวละครออกมา แต่ให้ผู้เล่นได้รู้สึกและสัมผัสด้วยตัวเอง นั่นคือ คุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็ได้ เนื้อเรื่องในเกมคือสิ่งที่คุณต้องทำ แต่อารมณ์ ความรู้สึกจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ตัวคุณเอง

มีส่วนผสมหนึ่งในเกมที่ลงตัวมากๆ คือการเอาเพลงคลาสสิคชื่อดังคุ้นหู ใส่เข้ามาในเกม ฉากที่ผมชอบมากๆคือ car chase เอาเพลง Hungarian Dance No. 5. ของ Johannes Brahms มาใส่ ตอนผมเล่นนี้ โอ้โห! ใช่เลย เลือกเพลงมาได้แจ่มมากๆ ใครจะไปคิดว่าเพลงนี้ประกอบฉากที่กำลังหนี หลบกระสุน หลบระเบิดแล้วได้อารมณ์ขนาดนี้ เหตุผลที่เลือกเพลงนี้ เพราะฉาก car chase เป็นช่วงที่ต้องใช้ “จังหวะ” ในการเล่น หลังจากที่เล่นแบบสบายๆมาสักพัก คงกลัวคนจะเบื่อ เลยใส่ฉากที่ตัวละครต้องแข่งกับเวลาเข้ามา นั่นคือการเอาตัวรอด จากง่วงๆมาถึงฉากนี้ตื่นเลยละครับ ผมไม่อยากสปอยด้วยภาพจากเกมเท่าไหร่ แต่ใส่สำหรับคนที่เล่นแล้วและอยากระลึกความหลัง คนที่ยังไม่เล่นไม่แนะนำให้ดูนะครับ

Ian Livingstone เขาคือ Composer ของเกมนี้ เขาเป็นชาวอังกฤษ มีผลงานมาพอสมควรทีเดียว เน้นทำเพลงให้กับ video game ที่ดังๆอาทิ Lego Harry Potter, Star Trek: Invasion กับ Valiant Heart ที่เป็น soundtrack แท้ๆจะเน้นเสียงเปียโน ที่ให้อารมณ์หดหู่ เข้ากับภาพและบรรยากาศของเกม กับฉาก Action จะใช้ Orchestra เต็มวง ให้ความรู้สึกอลังการและสมจริง (กลิ่นอายคล้ายเพลงของ Hanz Zimmer มาก)

chapter สุดท้ายของเกม ตอนผมเล่นคิดเลยนะ นี่มันอะไรกัน เพื่ออะไร เดินหน้าเข้าไป ฆ่าศัตรูทุกตัว แทนที่ตัวละครที่ถูกเราฆ่าจะหายไป มันกับกอง ทับทมกันจนกลายเป็นภูเขา แต่ก็หยุดไม่ได้ ต้องเดินต่อ ใครหยุดใครถอยก็จะโดนฆ่า เห้ย! ใครบอกเกมนี้ไม่รุนแรงนี่แสดงว่าเขาเสพติดกับความรุนแรงแล้วแน่ๆ ความรู้สึกขยาดไม่อยากเล่นต่อเกิดขึ้นมา ในที่สุดเกมก็บังคับให้ผู้เล่นทำบางอย่างเพื่อหยุดความรุนแรงนั้น เออจริง เป็นใครเจอแบบนี้ถ้ายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ก็ทำว่ะ! หลังจากทำสิ่งนั้น เหตุการณ์หลังจากนี้ก็น่าสนใจ เป็นผลลัพธ์ของการกระทำ เกมมันไม่ได้สร้างให้มีตัวเลือกว่า ทำได้ทำไม่ได้ แต่เพราะอย่างนี้ทำให้ผมเปลี่ยนใจกลับมาชอบเกมนี้ เพราะผลลัพธ์นั้นมันสร้างความรู้สึกให้กับผู้เล่น มันไม่ทำให้คุณรู้สึกดีเลย แต่นั่นคือสิ่งที่คุณควรทำ และคุณจะต้องยอมรับกับผลของการตัดสินใจนั้น ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น คุณจะทำแบบที่ตัวละครในเกมทำหรือเปล่า และคุณจะรับได้กับผลที่เกิดขึ้นต่อมาหรือเปล่า เราจะเสียใจที่ทำแบบนั้นไปหรือไม่

ถ้าตัดเรื่องความรุนแรงออก นี่เป็นเกมที่ดีเยี่ยมมากๆเกมหนึ่งเลยนะครับ เนื้อเรื่องแฝงแนวคิดมากๆ ในเชิงเสียดสีสงคราม graphic ถือว่าแปลกแตกต่าง ให้อารมณ์หม่นๆ ไม่เหมือนเกมไหนดี ส่วน gameplay อาจจะดูทั่วๆไป แต่ใส่ความหลากหลายมาเพื่อไม่ให้พบกับความซ้ำซากจำเจ สามารถกลับมาเล่นอีกได้ไม่เบื่อ แต่เมื่อเกมใส่ความรุนแรงเข้ามา เกมนี้จึงไม่เหมาะกับทุกคน ผมไม่ได้มองว่าเกมนี้แฝงความรุนแรงนะครับ เท่าที่รู้สึกคือมันต่อต้านความรุนแรงด้วยซ้ำ ถ้าเกมถูกทำเป็น 3 มิติที่สมจริง ผมว่าเกมนี้รุนแรงกว่า GTA อีกนะครับ

ถ้ามีโอกาสผมแนะนำให้ลองเล่นดูนะครับ ไม่แน่ใจว่าเกมนี้ออกบน Google Play ด้วยหรือเปล่า (แอบเห็นลิ้งค์อยู่) เกมนี้เล่นไม่ยาก สำหรับคนที่ชอบเสพเนื้อเรื่องก็ถือว่าสนุกแฝงแนวคิดด้วย ราคาใน Steam คือ 319 ไม่แพงมาก ผมซื้อตอนลด 75% ซื้อพร้อม Child of Light (Valiant Heart วางขายหลัง Child of Light แต่ในปีเดียวกัน) ผมจัดเรตเกมนี้ที่ 18+ นะครับ อย่าเผลอซื้อให้เด็กเล่นละ

คำโปรย : “Valiant Hearts: The Great War เกมที่ลดทอนภาพความรุนแรงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยภาพวาด 2 มิติ กระนั้นเรื่องราวยังคงมีความรุนแรง และเสียดสีสงครามอย่างเจ็บแสบ”
คุณภาพ : SUPERB
ความชอบ : LIKE

The Witcher 3: Wild Hunt


The Witcher 3

The Witcher 3: Wild Hunt

ผมเพิ่งเล่นเกมนี้จบสดๆร้อนๆเลย ใช้เวลาไป 120+ ชั่วโมง ครึ่งเดือนกว่าจะเล่นจบ เพิ่งถอย notebook มาใหม่เมื่อสิ้นปี เน้นสเป็คเล่นเกม AAA โดยเฉพาะ สอย The Witcher 3: Wild Hunt มาตอน New Year Sales ได้ลด 50% คงต้องเขียนรีวิวสักหน่อยนะครับ ให้เวลากับเกมนี้นานทีเดียว

CD Projekt RED ณ วินาทีนี้คอเกมคงไม่มีใครไม่รู้จักค่ายเกมค่ายนี้เป็นแน่ ก่อตั้งเมื่อ 1994 ที่ Warsaw ประเทศ Poland ผลงานค่ายนี้มีแต่ The Witcher Series ที่ใครๆคงรู้จักกัน แต่ก่อนที่ The Witcher ภาคแรกจะวางขายเมื่อปี 2007 นั้น CD Projekt RED เคยเป็นค่ายท้องถิ่นที่แปลภาษาจากต้นฉบับมาเป็นภาษา Poland และจัดจำหน่ายในประเทศ เกม Baldur’s Gate แต่เหมือนจะไม่คุ้มทุนเท่าไหร่เลยหันมาสร้างเกม

ผมชอบปรัชญาการทำเกมของ CD Projekt RED นะครับ พวกเขาให้ความสำคัญกับผู้เล่นอย่างมาก เรียกว่าผู้เล่นขออะไรก็แทบจะจัดให้เลย โดยพวกเขาเชื่อว่าถ้าคุณผลิตเกมที่มีคุณภาพ ผู้เล่นก็อยากสนับสนุนเกม ขนาดว่าทีมงานทำให้ The Witcher 3 เป็น DRM-free คือไม่กำหนดสิทธิ์การใช้งาน คุณอยากจะโหลดเถื่อนก็ทำได้ Crack ง่ายด้วย แต่มันจะไปกวนตรีนคุณในเกม เช่นว่า ถ้าคุณไม่ได้ซื้อเกมของแท้ มันจะเกิดบั๊คบางอย่างที่ทำให้คนเล่นรู้สึกรำคาญ ถ้าไม่รอให้ทีม Crack ออก Patch แก้ ไปสนับสนุนของแท้ดีกว่าไหมครับแบบนั้นนะ

ผมเคยเล่นภาคแรกไปได้นิดนึงแล้วก็ถอยออกมา ยังไม่ได้เล่นต่อจนจบ ภาคแรกนี่เล่นยากทีเดียว Gameplay ค่อนข้างยุ่งยากมาก ผิดกับตอนภาคสองที่ผมเล่นจนจบแล้วก็ชอบมากๆ เล่นเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นภาค 3 เริ่มโปรโมทแล้วอยากเล่นต่อมากๆ แต่ก็โดนโรคเลื่อนไปสองรอบ พอตอนเกมวางขายก็เล่นไม่ได้สเป็คคอมไม่ถึง ทรมานมากครับกว่าจะได้เล่นเกมนี้ แต่เล่นแล้วก็มีความสุขมากๆ แทบจะไม่ผิดหวังเลย (แต่ก็มีแอบผิดหวังนิดๆนะ)

ผมขอพูดถึงภาค 2 หน่อยแล้วกัน เป็นเกม RPG Open-World ที่แปลกๆทีเดียว คือมันไม่เชิง Open-World เสียเท่าไหร่ แบบว่าเราเดินทางไปเมืองๆหนึ่ง แล้วก็ทำภาระกิจเรื่องราว แก้ปัญหา ผจญภัย ภายในแผนที่ของเมืองและบริเวณโดยรอบ ต้องทำให้จนครบและเสร็จก่อนถึงจะเดินทางไปเมืองถัดไปได้ แล้วก็จะไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก แบบนี้มันก็ไม่เชิงเรียกว่า Open-World นะครับ มันเป็น Story-Driven ไปเลย สิ่งที่เด่นมากๆใน The Witcher 2 คือ การเลือกที่ส่งผลต่อตัวละครและเนื้อเรื่องตลอดทั้งเรื่อง คำว่าส่งผลนี้เกมอื่นๆที่มีเส้นเรื่องเดียว อาจจะมีผลแค่ตอนจบเปลี่ยนไป แต่กับเกมนี้คือ เนื้อเรื่องเปลี่ยนไปเลย เรียกว่าเล่นรอบ 2 ถ้าเลือกคำตอบต่างกัน จะได้เนื้อเรื่องไปคนละแบบ เห็นว่าตอนเกมนี้วางขายสร้างความฮือฮามากๆ เพราะมันต่างจากเกมอื่นๆที่เคยมีมาก่อนปี 2011 และอีกหนึ่งจุดเด่นที่ผมชอบมากๆคือ เกมนี้มันดิบเถื่อนและเข้าถึงสันดานมนุษย์มากๆ ว่าไปนี่เป็นเกมเรต Mature ที่ไม่ยั้งเรื่องคำหยาบคาย Sex Scene และการฆ่าฟันตัดคอที่สมจริงสุดๆ นี่คงเป็นเกมแนว Fantasy Open-World เกมเดียวในโลกละมั้งที่กล้าทำแบบนี้

มาที่ภาค 3 ได้ดูตัวอย่างเกมกันหรือยัง นี่เป็นเวอร์ชั่น Trailer ที่ผมชอบที่สุดนะครับ

ตอนดูครั้งแรกนี่ขนลุกเลย นี่ตัวอย่างหนังหรือตัวอย่างเกมกันเนี่ย เส้นแบ่งบางๆระหว่างเกมกับหนังมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว มาดูตัวอย่างรอบนี้เห็นหลายฉากเลยที่ไม่เหมือนในเกม น่าเสียดายที่ตัวเกมถูกลดคุณภาพลงพอสมควร ผมเชื่อว่าถ้าเกมนี้ออกอีกสัก 1-2 ปีหลังจากนี้ เราอาจจะได้คุณภาพเกมที่เท่ากับตัวอย่างนี้ แต่เพราะมันออก 2015 (ตอนแรกวางแผนไว้ปลายปี 2014 ด้วยซ้ำ) ตอนนั้น Windows 10 ยังไม่วางขาย DirectX 12 ยังไม่ support เครื่อง pc เลยนะครับ ผู้กำกับเกมก็ออกมาพูด ถ้าเกมรันบน DirectX 12 จะได้ภาพสวยขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าเลย

คอมใหม่ ทำให้ผมสามารถเลือกที่เป็น Highly Recommend Setting ในเกมได้ ซึ่งสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือแสงและความละเอียด ซึ่งบอกว่าเกมนี้มีการเล่นกับแสงได้สมจริงมากๆ (จนอาจจะเกินจริงไปหน่อย) ถ้าท่านได้ดูคลิปของนักแคสเกม ผมเห็นความต่างชัดเจนเลย คือความสว่าง เกมระดับ Minimum กับ Medium Setting มักจะตัดการเรนเดอร์แสงทิ้งไป ทำให้เห็นภาพในเกมเป็นเฉดสีเดียว ตอนผมเล่นเดินเข้าถ้ำแบบว่ามืดแทบจะสนิท ถ้าไม่ได้จุดไฟช่วยมองอะไรไม่เห็น กลางวันก็มีทั้งแดดแรง ตอนเช้าเย็นแดดสลัวๆ ตอนกลางคืนไม่ค่อยอยากไปไหน มองอะไรไม่ค่อยเห็น ก่อนฝนจะตกนี่เห็นเมฆมาไกลๆ ลมพัดแรง ต้นไม้ไหว ฝนตกก็พื้นแฉะวิสัยทัศน์มองอะไรไม่ค่อยเห็น เจ๋งมากๆเลย ถ้ามีโอกาสอีกสัก 2-3 ปีข้างหน้าซื้อคอมใหม่ ผมแนะนำให้กลับมาเล่นเกมนี้แล้วปรับ Highly Setting หรือ Ultra Setting ดูนะครับ จะเห็นความสวยงามที่น่าทึ่งทีเดียว

พูดถึง Gameplay ถือว่าง่ายกว่า The Witcher ทั้งสองภาคก่อนหน้ามาก ตอนภาค 2 นี่กระโดดไม่ได้ วิ่งไปมาติดกำแพง invincible แอบเซ็งมาก ซึ่งพอภาคนี้กระโดดได้ เอาละครับ สไตล์ Elder Scroll ได้เวลาสำรวจยอดเขา วิ่งขึ้นดอยไปเลย เกมนี้ถึงจะไม่มี Invincible Wall แต่ถ้าวิ่งไปเกินเขต มันจะพูดเตือนแล้ว Warp เรากลับเข้ามาในพื้นที่เกมปกติเลย (ชั่วร้ายกว่ามากๆ) การควบคุมทำได้ง่ายขึ้น เหมือนเกม RPG ทั่วไป แค่ปุ่มเยอะหน่อย การอัพสกิลก็เข้าใจง่ายนะครับ คงเพราะผมเคยเล่นภาค 2 มาแล้วเลยเข้าในละมั้งว่าคำนี้หมายถึงอะไร ศัพท์ในเกมมันค่อนข้างเฉพาะทางสักหน่อย น่าจะเป็นภาษา Poland นะแหละ พวก Axii, Yrden, Igne ฯ เล่นไปเรื่อยๆก็คงจะคุ้นได้เองนะครับ … ลืมบอกไปว่าเกมนี้ใช้ศัพท์ที่แบบว่า Games of Throne มาก คือไม่ใช่แค่ยาก แต่คุณต้องเก่งภาษาอังกฤษพอสมควรถึงจะเข้าใจบทสนทนาทั้งหมด ผมเองเจอศัพท์ที่แบบว่า อะไรว่ะ อยู่หลายครั้งทีเดียว แถมบริบทมันก็ไม่ช่วยให้เราเข้าใจเท่าไหร่ว่าคำนั้นแปลว่าอะไร แต่ผมก็ไม่ใช้ Dict ช่วยนะครับ เล่นไปเรื่อยๆก็จะเข้าใจเอาว่าต้องทำอะไร

จุดเด่นมากๆถึงมากที่สุดของเกมนี้ คือการต่อสู้ที่มีการเคลื่อนไหวพริ้วมากๆ ซึ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจากภาคแรกและภาคสอง ในภาคนี้ก็สมจริงสุดๆ เห็นว่าใช้ Motion Capture จากการเคลื่อนไหวจริงๆเลย เมื่อเทียบกับเกม Elder Scroll ที่ฟันทื่อๆ ฉับๆ แล้ว The Witcher Series เหนือกว่ามาก ไม่ใช่แค่อาวุธนะครับ เวทย์ต่างๆก็มีผลต่อสภาพแวดล้อม ใช้ไฟเผาต้นหญ้าตาย ใช้ Arad พื้นน้ำพริ้วไหว หรือแม้แต่ Object อย่าง ฟันหินงอกพัง ฟันกล่องไม้แตก

ข้อตำหนิแรกเลยของเกมนี้คือเลเวลขึ้นยาก อาจจะเฉพาะแค่ผมละมั้ง เห็นว่า max Level ที่ 70 แต่ผมเล่นเต็มที่ได้แค่ 30 เอง จบเกมที่เลเวล 35 เปะๆเลย ตอนภาค 2 max Level ที่ 35 นี่ไปถึงไม่ยากนะครับ คงเพราะภาคนี้ exp ที่ได้จากตี monster มันน้อยมากๆ น้อยจนแทบไม่มีค่าเลย ไปเก็บจาก Quest ยังดีกว่ามาก ผมเพิ่งไปเจอทริคในการเก็บ Level เมื่อตอนสายไปแล้ว คือเราต้อง Craft Witcher Gear ตั้งแต่ต้นๆเกมเลยซึ่งมันจะมี 5-20% exp bonus from human/non-human/monster ให้ด้วย ซึ่งกว่าที่ผมจะเริ่ม Craft Witcher Gear ก็สายไปแล้ว คือเก็บ ? (Side Quest) หมดเกลี้ยงแล้ว ก็แปลกใจว่า Side Quest เยอะแยะ แต่ทำ EXP ได้น้อยเหลือเกิน monster ในเกมก็ไม่ได้จับกลุ่มอยู่มากมายอะไร อีกทั้ง level monster ก็ไม่ได้อัพขึ้นตามเลเวลเรา เมื่อเราเลเวลสูงขึ้นก็ไม่ค่อยมีกลุ่มของ monster ที่ให้เราฟาร์มได้เรื่อยๆ ส่วน mini Boss ตาม Guarded Treasure/Monster Nest นั้น ตายแล้วตายเลยจบกัน

ตอนผมไล่เก็บ ? (Side Quest) ผมรู้สึกค่อนข้างหงุดหงิดนะครับเพราะมันเยอะ น่าจะเกือบ 3-4 วันเต็มๆ (ไม่ต่ำกว่า 20-30) ชั่วโมง มันไปเสียเวลามากตอน map Skellige ที่ต้องล่องเรือไป ไอ้ผมก็บ้าจี้เกมมีอะไรให้เราก็ต้องเก็บมันให้หมด ผมว่ามันเยอะเกินไปหน่อย และมันมีข้อจำกัดเยอะด้วย เช่นว่าถ้าเรือโดน damage ก็จะไม่สามารถ full-speed ได้เลย การต่อสู้ใต้น้ำก็มีแต่ Crossbow ที่ใช้ได้ ก็ถือว่าจำกัดมากๆ แต่ก็แปลกที่พวก monster ใต้น้ำโดนธนูดอกเดียวตาย แต่สู้บนบกนี่ฟันอยู่หลายรอบ เจอ bug แปลกๆอย่าง ผมทิ้งอาวุธเพราะมันหนักบนเรือ แต่กลับเป็นว่าพอล่องเรือแล้ว ของมันลอยอยู่บนผิวน้ำนั้นแหละ ไม่เคลื่อนไปกับเรือและไม่จมด้วย ลอยค้างอยู่แบบนั้น ผมไม่ได้นับนะครับว่ามี Side Quest อยู่เท่าไหร่ น่าจะเกิน 100 แน่ๆ (ผมไม่แน่ใจด้วยนะครับว่าไปไล่เก็บ Side Quest พวกนี้มันจะมี EXP ให้ด้วยหรือเปล่า แต่เอาของมาขายก็ทำเงินได้เยอะอยู่ แต่ให้แนะนำ ถ้ามันทำแล้วไม่ได้ exp ก็ไม่ต้องไปเก็บหมดก็ได้นะครับ เสียเวลาและเสียกำลังใจเล่นด้วย)

มาที่เนื้อเรื่องของเกมบ้าง นี่เป็นเกมที่มีการเล่าเรื่องหลากหลายและครอบคลุมแทบทุกอย่าง มันมีเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกดี และเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกจุก ผมชอบ Quest Lady in the Wood มาก ถ้าใครหลงดูในตัวอย่าง Gameplay ขอให้จงลืมมันไปเสียนะครับ เพราะในเกมจริงๆมันมี impact ที่แรงมากๆ ถึงขนาดว่าเล่นเอาผมหลอนเลย คลิกที่ Save File เพื่อจะกลับไปลองเลือกอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ผมก็กลับมาใช้ Save แรกเล่นต่อ เพราะรู้สึกว่ามันอาจมีอะไรที่น่าสนใจกว่า ซึ่งก็จริง การเสียสละใน Quest: Lady in the Wood มีผลต่อ Quest: Lady in the Wood (Return) จะบอกว่าอารมณ์มันต่อเนื่องก็ว่าได้ ถ้าเราเจ็บในตอนแรก เควส return จะไม่เจ็บมาก แต่ถ้าเราเลือกไม่เจ็บมากในตอนแรก เควส return จะเจ็บหนัก … บอกตามตรงเลือกไม่ถูกครับ มือผมสั่นมากตอนเห็นผลลัพท์ของเควสแรก มันขยี้หัวใจแรงมากๆ นี่เป็นเนื้อเรื่องช่วงที่ผมชอบที่สุดแล้ว

มันก็มีช่วงพีคๆอื่นๆอีกหลายช่วงนะครับ แต่ผมคงขอไม่พูดถึงมัน (ทั้งๆที่คันปากอยากเล่าจะตาย) ขอข้ามไปตอนจบเลย นี่เป็นเกมที่โฆษณาว่ามีตอนจบ 30 กว่าแบบ ว่ะ อะไรมันจะเยอะขนาดนั้น ในความจริงแล้วหลังเควสสู้กับ Wild Hunt จบลง มันจะมีอีกเควสหนึ่ง ซึ่งมีแค่ 3 แบบเท่านั้นที่เป็นตอนจบจริงๆ แล้วที่ว่ามี 30 แบบ มันคือการนับจำนวนการไขว้ของผลลัพท์ของแต่ละตัวละครในแต่ละเควสที่เราเล่นผ่านมา เช่นว่า สงครามระหว่างแต่ละประเทศจบยังไง ใครจะได้ครองประเทศ ชะตากรรมของพระเอกจะเป็นยังไง นับรวมๆกันได้ 30 แบบ … แอบรู้สึกเหมือนโดนหลอก แต่เราก็จะไปโทษว่ากล่าวเขาไม่ได้นะครับเพราะมัน 30 กว่าแบบจริงๆ ตอนจบที่ผมได้ถือว่ากลางๆ แต่สำหรับผมมันคือ happy end ที่ผมชอบมากๆ คือมันทำเอาน้ำตาคลอได้นิดๆเลยละ ผมไปตามหา Ending อื่นๆหลังเกมจบ ก็พบว่าปัจจัยที่จะส่งถึงตอนจบนั้นอยู่ไกลมาก ตั้งแต่กลางเรื่องเลย ผมชอบวิธีการนี้มาก เพราะจุดเปลี่ยนของเกมมันอยู่ ณ ขณะต่างๆที่เราคิดไม่ถึงว่ามันจะมีผลไปถึงตอนจบ เหมือนเกมมันตัดสินให้เราว่า ทำแบบนั้น ตอนนั้นผลลัพท์ในระยะยาวมันจะเกิดอะไรขึ้น ผมดูตอนจบครบทั้ง 3 แบบแล้ว พบว่ามันสมเหตุสมผล ลงตัวมากๆ เป็นตอนจบที่ทำให้คนพูดถึง เชื่อว่าถ้าไม่จบแบบ Bad Ending ในการเล่นครั้งแรก ทุกคนจะรู้สึกอิ่มเอิบ ชื่นชมเกมนี้ว่าทำออกมาได้สวยงามมากๆ ตอนจบของ Bad Ending เหมือนมันจะค้างคา แต่ผมว่ามันอธิบายความรู้สึกของตัวละครในเกมได้เป็นอย่างดีที่สุดเลยละครับ

เพลงประกอบ สุดยอดครับ คนแรก Marcin Przybyłowicz และ Mikolai Stroinski  เป็น Composer และ Music Direction มาช่วยทำเพลงให้ตอนภาค 2 ด้วยนิดนึง และก็เคยทำเพลงให้ The Vanishing of Ethan Carter ในเกมมีเพลงบรรเลงและเสียงขับร้อง โดยวง Percival เป็นวง folk song ของ poland นะครับ นิยมเล่น Tradition Song ของประเทศกลุ่ม Scandinavian ตั้งแต่ยุค Vikings โน่น เราจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีแปลกๆหูมากมาย ประกอบไปด้ว long-necked lute (saz or Bağlama), byzantine lyra (rebec), drums และ flutes ผมก็ไม่รู้จักหรอกนะครับ แต่ก็ต้องถือว่าสร้างความแตกต่างให้กับเกมสมัยนี้ อีกทั้งเป็นการนำเสนอวัฒนธรรมประจำชาติของตัวเองให้เป็นที่รู้จักของชาวโลก นายกรัฐมนตรี Poland ถึงขนาดมอบเกม The Witcher 2 ให้กับประธานาธิบดี Barack Obama ตอนมาเยือน Poland เมื่อหลายปีก่อนนะครับ

ลองฟังหนึ่งในเพลงที่เราจะได้ยินในเกมด้วยนะครับ บรรเลงโดยวง Percival

ผมชอบช่วงนี้มากๆนะ Dandelion กับ Priscilla เป็นตัวละครที่ทำให้เกมนี้ไม่เครียดจนเกินไป ผมชอบชุดของ Dandelion มาก เด่น แนว stylish มากๆ ตอนภาค 2 ผมไม่ได้ชอบตัวละครนี้เท่าไหร่ แต่ภาค 3 นี่เหมือนออกมาแย่งซีนเลย จากบรรยากาศเครียดๆหลัง Quest: Lady in the Wood นี่เป็น Moment ที่ต้องการจริงๆ … มันมีอีกช่วงหนึ่งที่เป็นช่วงคั่นแบบนี้คือ ช่วง Geralt ขี้เมา ใครกด That’s a bad idea. นี่พลาดมากๆนะครับ ผมกด That’s a good idea. ได้เห็นอะไรที่ … lol

ผมสังเกตเห็นหลายฉากมีการใส่งานศิลปะที่เป็นเชิงสัญลักษณ์เข้าไป ตอนเควสที่ Geralt ต้องเดินทางไปยังโลกต่างๆ 5 โลก นี่ก็ชัดเจนมากๆ โลกทะเลทราย, โลกสีแดงแห่งควันพิษ, โลกใต้น้ำ, โลกหิมะ ที่ผมชอบที่สุดคือโลกของ Elvish น่าเสียดายที่ลงไปสำรวจไม่ได้ ที่จี้ดสุดๆคือภาพวาดหญิงสาวอันบิดเบี้ยวของ Ge’els มันชัดเจนมากๆถึงข้างในจิตใจที่มันเป็นเหมือนในรูป ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ ภาพวาดนี้เป็นตัวแทนนำเสนอจิตวิทยาของ Elvish เชิงสัญลักษณ์ได้สุดยอดมากๆ

ตอน Geralt หา Ciri เจอมีคนแคระ 7 คนในกระท่อม โดย Ciri หลับหมดสติปลุกไม่ตื่นอยู่ เอะ… นี่มันแอบจงใจหรือเปล่าเนี่ย Snow White ผมขาวด้วย เรารู้มาว่า The Witcher นำตำนานของ Viking มาผสมเข้าไปด้วยมากมาย อย่าง monster นี่คงชัดสุด สัตว์ทั้งหลายในเทพนิยาย griffin, troll, goblin ฯลฯ ที่อาจจะไม่เหมือนภาพคุ้นเคยที่เราเคยเห็นเท่าไหร่ ผมไม่มีปัญหาในการสู้กับ monster พวกนี้เลย คงเพราะผมเคยเล่น The Witcher 2 มา เลยรู้ว่ามันมีเทคนิคบางอย่างที่เราใช้ได้ คือการผสมผสานระหว่างเวทย์กับการกระโดดหลบ ผมไม่ได้อัพสายปรุงยาเลย แต่ผมใช้ Oil ในการเพิ่ม Damage แทบจะทุกครั้งที่ไปเจอ monster ใหม่ๆ มันจะมีคู่มือ(ในเกม) ที่อธิบายว่า monster ตัวนั้นแพ้ทางอะไร เช่น สัตว์ปีกจะใช้เวทย์ Arad หรือถ้าเป็น monster element จะใช้ Quen คู่กับ Monster Oil ผมเคยเป็นผู้เล่นที่เอาแต่ฟันๆๆๆ ตอน The Witcher 2 ผมก็เล่นแบบนั้นครับ และก็ตายแทบทุกที ตอนสู้กับ Boss ตัวแรกที่เป็น Kraken ไม่รู้เล่นไปกี่รอบ จนเข้าใจว่า เล่นเกมมันไม่ใช่แค่ฟันๆ มันต้องมีการวางแผนและ Tactic พอสมควร … แต่กระนั้นผมก็ยังเอาชนะ Archgriffin เลเวล 49 ไม่ได้ … ลองอยู่หลายรอบ เป็น monster ที่เลเวลสูงที่สุดในเกม เพราะมันโจมตีเราครั้งเดียวตาย และฟันครั้งนึงเลือดไม่ขยับเลย ถ้าใช้ธนูนี่คงเกิน 10 นาทีแน่ๆ เลยช่างมันครับ มีตัวเดียวในเกม ถ้าใครชอบ Challenge ก็ลองไปหาดูนะครับ อยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งใน Skellige

ข้อเสียอีกจุดหนึ่งที่ผมเจอในเกมนี้ คือ มันมีบางเรื่องราวที่จุดฉนวนเรื่องขึ้นมา แต่ก็หายไป คิดว่าหลายคนคงเดาได้ King of Begger กับ House of Fire ผมแอบคาดหวังว่าจะมีสองเรื่องราวนี้ใน Main Quest แต่ก็หายจ๋อมไปเลย (หรือว่าผมหาไม่เจอเองหว่า?) แบบว่าไอ้วิหารสูงๆใน Novigard ทำมาเพื่อ… แค่นั้นเองเหรอ น่าจะมีอะไรเสียหน่อย หรือจะมี Expansion … ไม่รู้สิครับ

ผมโดนเกมนี้หลอกไปรอบหนึ่ง ตอน Act2 ที่พระเอกต้องไปรวบรวมพรรคพวกจากเมืองต่างๆเพื่อมาร่วมสู้กับ Wild Hunt ตอนแรกผมคิดว่าจะจบแล้วเหรอ เห้ยมันสั้นไปนะ ผมเลยเร่งเก็บเควสทั่วเกมจนครบเลย ตอนนั้นเลเวล 26 เท่านั้น ปกติถ้ามันต้องรวมเพื่อนที่เคยช่วยไว้ แบบใน Mass Effect แสดงว่าเรื่องใกล้จบแล้ว และตอนที่ไปหา Ciri มันก็มีคำเตือนขึ้นให้ Save เพราะมันเป็นจุดที่ย้อนกลับไม่ได้ แหม่… โดนหลอกครับ พอจบสงครามที่ Kaer Morhen แล้วยังมี Act3 ต่อ Shit! ผมโดนหลอกเต็มๆ จุดนี้ความผิดผมเองล้วนๆ เชื่อว่าอาจจะมีคนโดนหลอกแบบผมบ้าง Act 3 เป็นช่วงบทสรุปของหลายตัวละคร และเรื่องราวที่เปิดไว้ใน Act 2 เอาจริงผมรู้สึกเรื่องราวมันไม่พีคเท่าตอน Act 2 แต่ข้อสงสัยอะไรต่างๆก็เคลียร์หมดใน Act นี้ ณ จุดนั้นผมเล่นต่ออีก 2 วัน ถึงจะจบ Act 3 นะครับ เป็นเกมที่ Story ยาวมากๆ

ใครชอบ mini Game คงติดใจ Gwent Card แน่ๆ ผมไล่เก็บ Card ยังได้ไม่ครบเลย แต่ Card จาก Quest ก็เก็บครบแล้ว คู่แข่งที่ผมคิดว่าเก่งที่สุดแล้วในเกมคือ Sasha ตอน Quest: High Stakes Gwent ผมเล่นซ้ำอยู่เกือบ 10 รอบได้มั้งกว่าเธอจะได้ Card ไม่ดีที่ทำให้ผมชนะได้ เทคนิคที่ผมเจอบ่อยๆในเกม Card คือ Spy ผมว่า Gwent เนี่ย ใครมี Card ในมือมากกว่า โอกาสจะชนะสูงมาก ผมไปเห็น Archivement หนึ่งของ Gwent Card ที่คุณต้องทำแต้ม 187 แต้มในเกมเดียว … ทำยังไงฟร่ะ! คิดแล้วไม่ง่ายเลยนะ เพราะเราจะมี Special Card ได้ 10 ใบเท่านั้น ในขณะที่ Unit Card คงต้องมีแต่ 8-10 Point ขึ้นไป มี Spy Card หลายใบ และที่สำคัญคือ Decoy และต้องลุ้นให้คู่ต่อสู้เรามี Spy และ Decoy เยอะๆด้วย ถึงจะมีโอกาสทำแต้มได้สูงขนาดนั้น ผมเคยทำได้สูงสุดประมาณ 100 แต้มเองนะ (ไม่ใช่ 3 รอบรวมนะ รอบเดียว 100 แต้ม) ใช้ Horn 2 ตัว ที่เหลืออัด Unit Card จนล้น ไพ่คู่จับมือก็อีกหลายคู่ เห็นว่ามีคลิปของคนที่ทำแต้มแข่งกันใน Youtube อยู่นะครับ ลองหาดูได้เลย

ผมพิมพ์รีวิวนี้อยู่ 2 วันกว่าจะเสร็จ น่าจะยาวที่สุดที่ผมเคยพิมพ์รีวิวแล้ว ก็สมควรละครับ เล่นเป็นร้อยชั่วโมงจะไม่ให้รีวิวยาวได้ยังไง เกมนี้เรต Mature คือ 18+ ที่รุนแรงมากๆ แต่ถ้าคุณโตพอแล้วผมก็แนะนำให้เล่นเลยนะครับ รออีก 2 ปีก็ได้ที่สเป็คคอมธรรมดาจะเล่นเกมนี้ได้ แต่ถ้ามีเงินซื้อสเป็คแรงๆ แนะนำให้เลือกอย่างน้อย High Resolution นะครับ เกมไม่ใช่แค่ภาพสวย แต่เนื้อเรื่องเจ๋งมากๆ ใครชอบดูหรืออ่าน Games of Throne แนะนำเกมนี้เลย ความดิบ เถื่อน สมจริง เนื้อเรื่องที่ทำให้คุณปวดร้าว จี๊ด เจ็บแสบ ผมว่าพอๆกันเลย Games of Throne ยังไม่จบ แต่ The Witcher 3 ตอนจบเป็นอะไรที่สวยงามมากๆไม่ว่าจะได้จบแบบได้ นี่กลายเป็นเกมโปรดของผมตั้งแต่ยังไม่ได้เล่น เล่นแล้วก็ไม่ผิดหวังใดๆครับ ให้เวลากับมันเกิน 100 ชั่วโมงจนไม่อยากให้มันจบ อาจจะมีเบื่อๆบ้าง แต่ไม่มีเสียดายแน่นอน มีคนกล่าวไว้ว่า “เล่น The Witcher 3 จบ อารมณ์เหมือนอกหักเพิ่งเลิกกับแฟน” จริงครับ เกือบครึ่งเดือนที่ผมใช้ชีวิตกับมัน เล่นจบเมื่อวานนี่ใจหวิวๆเลย รอ Expansion ออกให้ครบก่อนค่อยสอยมาเล่นต่อ

คำโปรย : “The Witcher3: Wild Hunt เกม masterpiece จาก CD Projekt RED การผจญภัยครั้งใหม่ของ Geralt of Rivia ที่จะทำให้คุณหลงรักทุกอย่างของเกมนี้ นี่คือ Games of Throne เวอร์ชั่นเกม ที่มีความดิบ เถื่อน เนื้อเรื่องที่ทำให้คุณเจ็บช้ำ แต่จะอิ่มเอิบกับตอนจบที่สวยงามที่สุด”
คุณภาพLEGENDARY
ความชอบFAVORI

Child of Light


Child of Light

Child of Light

เกมผจญภัย 2 มิติแบบ Side-Scrolling Turn-Base ด้วยงานภาพสีน้ำมัน จาก Ubisoft Montreal เกม Child of Light ว่าเกมนี้ inspired มาจากหนังของสตูดิโอ Ghibli และงาน Illustrate ของ Yoshitaka Amano โดยทีมผู้สร้าง Far Cry 3 แทบยกชุด ขอพักงานจากเกมใหญ่ มาสร้างเกมที่ไม่ใหญ่มาก แต่ขายไอเดียและศิลปะ ลองดูตัวอย่างเกมนี้กันก่อนนะครับ

ตอนผมเห็นตัวอย่างนี้ก็แทบไม่อยากรอเลยละครับ เกมวางจำหน่ายเดือนเมษายน ปี 2014 ผมได้เล่นช่วงกลางปี 2015 ตอนลด 75% แล้ว ความประทับใจแรกเลยก็คืองานภาพและเพลงประกอบที่สวยงามมาก น่าจะยังไม่มีเกมไหนที่ใช้ภาพวาดสีน้ำมันแบบนี้ ผมไปดูงานออกแบบของ Yoshitaka Amano ที่เป็นต้นแบบการออกแบบภาพของเกมนี้ ในเครดิตพี่แกมีหนังอนิเมะหลายเรื่องที่ผมดูแล้วชอบงานออกแบบมากๆ เช่น Angel’s Egg, Vampire Hunter D ในทั้งสองเรื่องนี้ ตัวละครจะมีทรงผมที่วาดเป็นเส้นจำนวนมาก เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร สำหรับคนที่เล่นเกมแล้ว ถ้าสังเกตหน่อย ทรงผมของ Aurora ตัวละครที่เราเล่น จะมีทรงผมที่พริ้วไหว และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นการคาราวะต้นแบบแรงบันดาลใจได้สวยงามมากๆ

เพลงประกอบ เพราะมากนะครับ แต่งโดยศิลปินชาว Canadian เธอชื่อ Béatrice Martin แต่ใช้ Stage Name ว่า Cœur de pirate เพลงที่เธอแต่งและร้องมักจะเป็นภาษาฝรั่งเศส คงเพราะเธอเกิดที่ Quebec ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งใน Canada ที่ France เคยมายึดครอง ซึ่งดนตรีของเธอก็เข้ากับบรรยากาศในเกมมาก ซึ่งมีกลิ่นไอของเทพนิยาย ผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบยุโรป เครื่องดนตรีที่ใช้ก็มีกลิ่นอายความเป็นพื้นเมือง ผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรียุคใหม่ และมีบางจังหวะใช้เปียโนเดี่ยว ฟลุตเดี่ยว ซึ่งไพเราะไม่แพ้กัน

หลังจากที่ได้เล่นเกม ผมก็ค่อนข้างผิดหวังนิดหน่อย ตัวเกมเป็น side-scrolling ตรงนี้ทำได้ดีเยี่ยมเลยละครับ การควบคุมตัวละครที่ต้องใช้ทั้งคีย์บอร์ดและเมาส์ ผมเชื่อว่าเมื่อถึงจุดที่ตัวละครบินได้ จะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ตอนแรกผมไม่ชอบนะ แต่เล่นไปเรื่อยๆก็เริ่มชิน ไม่รู้สึกว่าเป็นจุดด้อยมาก ข้อเสียจริงๆคือจังหวะต่อสู้ที่เป็น turn-base เป็นอะไรที่น่าผิดหวังมาก ช่วงต้นๆเกมคงไม่เท่าไหร่เพราะมีตัวละครไม่เยอะ แต่พอช่วงท้ายๆ มีตัวละครให้เลือกมากมาย แต่สามารถนำมาใช้ใน turn-base ได้แค่ 2 ตัวเท่านั้น และบาง skill ที่ใช้กับทุกตัว แต่ Effect มีแค่ตัวที่ออกมาใน Turn นั้นๆเท่านั้น นี่เป็นการ design ที่ waste มากๆ อย่างน้อยถ้า Effect ทุกตัวละครแม้จะไม่ใช่ Turn ตัวเองก็ยังดี แต่จะให้ดี ผมว่าต้องใช้ตัวละครสู้อย่างน้อย 3-4 ตัวแบบ Final Fantasy จะดีกว่ามาก

ในด้านเนื้อเรื่อง แบ่งออกเป็น Chapter เป็นฉากๆ ไม่ได้มีความซับซ้อนมากนัก ผมดูแล้วนี่เป็นเกมที่เหมาะกับเด็กเล่นมาก ภาพสวย เพลงเพราะ เนื้อเรื่องไม่เป็นพิษเป็นภัย ผู้ใหญ่หน่อยอาจจะรู้สึกว่าเกมนี้มันอาจไม่ค่อยเหมาะกับตัวเองเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก เพราะคิดไว้แล้วว่า เนื้อเรื่องมันคงไม่ซับซ้อนอะไรมาก ผมชอบฉาก Flashback ในเกมนะ มันเป็นอารมณ์ที่ เออใช่แบบนี้แหละที่ช่วยเสริมให้เราเข้าใจที่มาของตัวละครมากขึ้น

puzzle ในเกมถือว่าไม่ยากมาก ค่อยๆเล่นไปเชื่อว่าน่าจะแก้ปัญหาได้เกือบทั้งหมด แต่ผมรู้สึกมันเหมือนจะตายตัวไปเสียหน่อย เพราะ puzzle มันไม่ได้ซับซ้อน และแก้ปัญหาได้จำกัดวิธีเกินไปสักหน่อย (ผิดกับ Trine ที่เราสามารถเปลี่ยนตัวละคร และมีวิธีแก้ปัญหาได้หลายวิธี)

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ แต่ไม่สามารถซึมซับมันได้มากนัก ตรงประโยคพูดในเกมนี้ ทุกอย่างเป็นบทกลอนที่คล้องจองไพเราะมากๆ แต่… ผมไม่เข้าใจความหมายมัน … ศัพท์ถือว่ายากปานกลาง แต่สำนวนมันไพเราะ ซึ่งผมไม่เคยเรียนเกี่ยวกับสำนวนภาษาอังกฤษ เลยไม่เข้าใจสัมผัสว่ามันเป็นยังไง อะไรต้องสัมผัสตรงไหน ทำได้แค่รู้สึกว่าเสียงมีความคล้องจองกัน มีสัมผัสกัน ถ้ามีการแปลเป็นไทย และเป็นแบบกลอนด้วยจะเยี่ยมมากๆ เพราะผมอยากเข้าใจประโยคในเกมให้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่านี้

เกมบรรยากาศดีๆแบบนี้ ผมแนะนำให้ลองเล่นนะครับ คือมันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความสวยงามมันช่วยทำให้เราผ่อนคลาย เกมไม่เครียดเลย ปัญหาแก้ไม่ยาก ศัตรูก็ไม่ได้โหดขนาดเราจะสู้ไม่ได้ ฟังดนตรีเพราะๆเล่นก่อนนอนจะได้หลับสนิท เหมือนเป็นนิทานก่อนได้เลย เกมไม่มีพิษมีภัย เด็กเล็กแค่ไหนก็เล่นได้ ผมละอยากให้ Ubisoft ทำเกมแนวคล้ายๆกันแบบนี้ออกมาเรื่อยๆนะ เกมขายไอเดียแบบนี้ จะซื้อตอนไหนก็แนะนำนะครับ ลดสูงสุด 75% ช่วงปีใหม่นี้ก็กดกันมาเลย ไม่ผิดหวังแน่นอน

คำโปรย : “Child of Light เกม Side-Scrolling แบบ Turn-Base ภาพสีน้ำมันสุดสวย ดนตรีไพเราะ บทกลอนที่ขับขาน ราวกับเป็นหนังสือนิทานที่เปิดอ่านก่อนนอน ทำให้หลับสนิท ใครๆก็เล่นได้ไม่มีพิษมีภัย”
คุณภาพ : THUMB UP
ความชอบLOVE

Trine


Trine

Trine

รีวิวเกมวันนี้ Trine เป็นหนึ่งในเกมโปรดของผม ออกมาแล้ว 3 ภาค ผมเล่น 1 กับ 2 แล้ว แต่ยังไม่ได้เล่นภาค 3 ได้ยินคำวิจารณ์เสียๆหายๆจากภาค 3 แล้ว ยังทำใจเล่นไม่ได้ วันนี้ผมจะพูดเฉพาะภาค 1 กับ 2 แล้วกันนะครับ

ผลิตโดย Frozenbyte นอกจาก Trine แล้ว เกมดังๆจากค่ายนี้คือ Shadowgrounds เกมนี้มีอยู่ใน Steam นะครับ แนวยิงจากมุมมองคนที่ 3 ผมไม่ค่อยชอบเกมแนวนี้เท่าไหร่ ไม่รู้เหมือนกันจะมีโอกาสได้เล่นไหม สำนักงานใหญ่ของ Frozenbyte อยู่ที่ Helsinki Finland ไม่รู้เหมือนกันหลังจากนี้ค่ายนี้จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่า เพราะ Trine 3 นั้นทุ่มทุนสร้างอย่างมาก แต่ดูแล้วน่าจะขาดทุน เกมต่อไปที่จะออกขายคือ Shadwen เพิ่งประกาศมาเมื่อต้นเดือนธันวานี้เองนะครับ ออก trailer มาแล้ว ตัวเกมดูธรรมดาไปหน่อย ต้องรอดู gamesplay อีกทีถึงจะรู้ว่าค่ายนี้จะยังเอาตัวรอดต่อไปได้หรือเปล่า

เกมภาคแรกได้คะแนนจาก Metacritic 80/100 และยังได้รางวัล Best Downloadable Game จาก Editor’s Choice เมื่อปี 2009 ยอดขายโดยรวมเห็นว่าได้ประมาณ 1.1 ล้านก็อปปี้แล้ว ส่วนภาคสองได้คะแนนจาก Metacritic 84/100 ก็การันตีความสนุกได้ระดับหนึ่ง ยอดขายได้รวมๆกันก็ 7 ล้านก็อปปี้ ถือว่าประสบความสำเร็จทีเดียว ส่วนภาคสาม Metacritic ให้ 64/100 เท่านั้น เห็นว่าทุนสร้างภาคนี้ถึง 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังไม่มีการแจ้งยอดขาย ก็หวังว่าจะทำกำไรได้บ้างนะ ถ้าซื้อเกมนี้ทั้ง 3 ภาค จะได้ราคา 759 บาทเท่านั้น รอช่วงลดราคา 75% นี่คุ้มแน่ๆ

อะไรในเกมนี้ที่ผมชอบ มันก็เป็นวันๆหนึ่งที่คลิกๆหาเกมเล่นใน Stream และเกมนี้ก็ขึ้น recommend ขึ้นมา เห็นตัวอย่างเกมแล้วก็อึ้งทีเดียว ภาพสวยมาก เป็นเกม 3 มิติ ที่เล่นในแบบ side-scrolling ไอเดียนี้อาจจะไม่แปลกใหม่เท่าไหร่ เพราะเกม Mario ที่เป็นเกมแรกๆของแนวนี้มาก่อน แต่กับ Trine จุดขายของเกมคือความสวยงาม ฉากเกมนี้สวยมากๆ สวยทุก Stage เลย ทั้งภาพ แสง สี เงา มันสมจริงมากๆ ผิดกับ Mario ที่ภาพ 3 มิติออกแนวการ์ตูนสักหน่อย ลองดูจากตัวอย่างเกมนี้นะครับ

ตัวอย่างที่ผมนำมาให้ดู เป็นตัวอย่างของ Trine ภาค 3 ที่ได้คะแนนจาก Metacritic ต่ำที่สุด ผมไม่แน่ใจว่าเพราะตัวอย่างนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมเล่นเกมนี้ แต่ตอนนั้น Trine 3 ยังเป็นเวอร์ชั่น Early Access อยู่ ภาพสวยไหมละครับ ยกนิ้วให้กับทีมออกแบบจริงๆ แม้ว่า Trine ภาค 1-2 จะไม่สวยงามเท่ากับภาค 3 แต่แนะนำให้เล่นต่อเนื่องกันนะครับ เราจะได้เห็นพัฒนาการของทีมสร้างนี้ ภาพสวยขึ้น แต่เนื้อเรื่องกลับดรอปลงเรื่อยๆ

เนื้อเรื่องของเกมนี้ ไม่ได้ถือว่าซับซ้อนอะไร มีหักมุมนิดหน่อยแต่ก็ไม่เกินความคาดหวังเท่าไหร่ Trine ภาคแรกถือว่าเนื้อเรื่องน่าจะยาวที่สุดแล้วนะครับ ผมเล่นภาคสองไม่นานก็จบ ยังดีที่มีภาคเสริมให้เล่นต่อ ส่วนภาค 3 เห็นว่าสั้นมาก เอางบไปทุ่มกับการสร้างฉากเสียเยอะ ทำให้ไม่สามารถสร้างฉากให้จำนวนมากเท่ากับภาคแรกๆได้ ตรงนี้ผมรู้สึกเลยนะครับว่า พัฒนาการเนื้อเรื่องของเกมนี้กลับแย่ลงเรื่อยๆ แลกกับความสวยงามของภาพ แบบนี้ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจะคุ้มค่าหรือเปล่า ผมยังไม่ได้เล่นภาค 3 เลยยังบอกไม่ได้ เนื้อเรื่องภาคแรกสนุกสุดครับ

สำหรับคนที่ไม่ยึดติดกับเนื้อเรื่องมาก เกมนี้ถือว่ามีวิธีการเล่นที่ค่อยข้างสนุกเกมนหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้ เมาส์-คีย์บอร์ดเล่น หรือใช้จอยเล่น (ผมว่าเมาส์-คีย์บอร์ด ได้เปรียบกว่านะ) และเรายังสามารถสับเปลี่ยนตัวละครได้ทั้ง 3 ตัวเลย ซึ่งก็สามารถเล่นพร้อมกันได้ทั้ง 3 คน ถ้ามี 3 จอย เป็น co-op ที่น่าสนุกทีเดียวครับ ผมเล่นคนเดียวตลอดเลยไม่มีความเห็น แต่เล่นคนเดียวก็สนุกครับ การแก้ปัญหา ปริศนาเกมนี้ไม่ยากเกินไป อาจจะมีงงๆหน่อย ผมเปิดดู hint อยู่ครั้งสองครั้งเอง เป็นอะไรที่คิดไม่ถึงเหมือนกัน แต่กับคนที่ต้องการ Achievement เหนื่อยแน่ เพราะบางอย่างมันซ่อนอยู่ในจุดที่เรามองไม่เห็นนะครับ

เกมนี้เพลงเพราะมากครับ Ari Pulkkinen ถ้าพูดแค่ชื่ออาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเขาทำเพลงให้ Angry Bird ละก็ หลายคนน่าจะอมยิ้มเลย เขาไม่ใช่แค่แต่งเพลง แต่ยังเป็น Sound Design คือออกแบบเสียงทุกอย่างที่อยู่ในเกม งานเพลงของเขาใช้เครื่องดนตรีไม่มาก คือเน้นเครื่องดนตรีที่เขาสามารถเล่นเองได้ แล้วนำมา Mixed อีกทีในคอมพิวเตอร์ Ari เคยเป็น in-house ของค่าย Frozenbyte มาก่อน และลาออกไปก่อนที่ Frozenbyte จะเริ่มสร้าง Trine เสียอีก แต่เขาก็ไม่ทอดทิ้ง Frozenbyte ยังกลับมาทำเพลงให้ Trine ทั้ง 3 ภาค และอาจจะเกมอื่นๆในอนาคตอีกด้วย

ความสนุกของเกมนี้ มันไม่เหมือนเกม Side-Scrolling ทั่วไป คือไม่ใช่แค่เก็บเหรียญแล้ววิ่งๆ แต่ยังมีการแก้ปัญหาในแต่ละฉาก ตัวละครทั้ง 3 ตัวมีความสามารถที่ต่างกัน ในบางสถานการณ์ใช้ตัวละครหนึ่งแก้ปัญหา ในอีกสถานการณ์ใช้อีกตัวละครแก้ปัญหา แต่ละตัวละครมีจุดเด่นจุดด้อยของตัวเอง บอสเกมนี้ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ คือไม่ได้เน้นสู้กันแบบประจันหน้านัก ต้องใช้การศึกษาและวางแผนพอสมควร ไม่ยากเกินไปก็เอาชนะได้ เนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มีอะไรสอนใจ หรือแนวคิดที่ซ่อนไว้ เป็นความสนุกระดับทั่วๆไป ที่เหนือกว่าเกมอื่นตรงที่ ภาพสวยกว่ามากๆ ราวกับอยู่ในดินแดนแห่งเวทย์มนตร์จริงๆ

คำโปรย : “Trine เกม Side-Scrolling ภาพ 3 มิติที่สวยงามมากๆ ราวกับอยู่ในดินแดนแห่งเวทย์มนตร์ เกมเพลย์เยี่ยม co-op ยอด แม้เนื้อเรื่องอาจจะธรรมดาไปหน่อย แต่ก็สนุกได้”
คุณภาพ : THUMB UP
ความชอบLOVE

The Book of Unwritten Tales


the book of unwritten tales

The Book of Unwritten Tales

เกมที่จะพูดถึงวันนี้ เป็นเกมแนว point-and-click adventure ที่สนุกมากๆเกมนึงนะครับ ผลิตโดย King Art Games จากประเทศเยอรมัน จัดจำหน่ายโดย Nordic Games หาซื้อได้ตามเว็บจำหน่ายเกมทั่วไป Steam, Origin, GOG ราคาก็ถือว่าไม่แพงเท่าไหร่ 369 บาท ผมซื้อตอนลดราคาสูงสุด 75% 92 บาท มีออกมาแล้ว 3 ภาคนะครับ เป็น prequel ชื่อ The Book of Unwritten Tales: The Critter Chronicles และ sequence ชื่อ The Book of Unwritten Tales 2 วันนี้ผมจะรีวิวเฉพาะ The Book of Unwritten Tales ภาคแรกเท่านั้น ที่วางขายเมื่อ ตุลาคม 2012

ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยได้เล่นเกมเท่าไหร่ ด้วยความที่ผมเป็นคนยุคใหม่ จะชอบเกมที่เน้นพวก cg สวยๆ กับเกมนี้ผมดูตัวอย่างเกมของ The Book of Unwritten Tales 2 แล้ว รู้สึกอยากเล่นมาก เป็นตัวอย่างยั่วน้ำลายที่ไม่ได้บอกอะไรเลย แต่เพลงมันกวนมาก ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่า gamesplay เป็นยังไง ลองดูตัวอย่างเกมยั่วก่อนแล้วกัน

อาจจะมีคนสับสน ผมจะรีวิว The Book of Unwritten Tales ภาคแรกไม่ใช่เหรอ แต่จะให้ดูตัวอย่างของภาค 2 ทำไม ใช่ครับ ผมเล่นเกมนี้เพราะดูตัวอย่างของภาค 2 แล้วชอบมาก ก็เลยซือเหมารวม 3 ภาคมาเล่น ซึ่งมันก็ต้องเริ่มเล่นจากภาคแรกใช่ไหมละ รีวิวนี้พูดถึงเฉพาะภาคแรกนะครับ ภาคอื่นผมยังไม่ได้เล่น

point-and-click เป็นเกมที่เหมาะกับ mobile platform มากๆ เพราะสมัยนี้มันใช้นิ้วจิ้ม หรือปากกาจิ้ม จะอินเทรนด์กว่า แต่ประเภทของเกมมันชื่อ point-and-click ไม่ใช่ touch-and-press บน platform windows มันก็เลยใช้เมาส์เล่น คีย์บอร์ดต้องใช้ไหม สรุปแล้วก็ต้องใช้อยู่ดีนะครับ เพื่อกดปุ่มลัดบางอย่าง แต่ก็ยังเรียกว่าเป็นเกมประเภท point-and-click ได้ ใช้เมาส์คลิกให้ตัวละครเดิน ใช้ scrolling สำหรับเลื่อนไปมา คลิกเมาส์ขวาเพื่อต้องการเปิดเผยบางอย่าง นี่คือ gamesplay ของเกมนี้ คนที่ชื่นชอบแนว action มาเล่นเกมนี้คง “เบื่อ” ละครับ เพราะมันไม่ได้มีอะไรต้องกดรัวๆ กดค้างๆ แต่เกมนี้ต้องใช้สายตา ใช้สมองนิดหน่อย คล้ายๆเกม puzzle แบบที่ไม่ซับซ้อนมาก ขนาดว่าฉากต่อสู้ ก็ไม่ได้เอาดาบไปไล่สู้ แต่เกิดจากการไล่เก็บสิ่งของ เพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์บางอย่างให้สู้ได้ เอาตัวรอดได้ ให้ชนะได้ น่าทึ่งเหมือนกันว่าคิดได้ยังไง

บางคนก็เรียกเกมแนวนี้ว่า hide-and-seek คือสิ่งของต่างๆในเกมมันจะซ่อนไว้ เราต้องหามันให้เจอเหมือนเล่นซ่อนหา ผมเจอเกมประเภท point-and-click แนวที่เป็นนักสืบ หาสิ่งของที่ซ่อนอยู่ค่อนข้างเยอะนะครับ แต่เกมนี้ไม่ใช่แนวนั้นครับ เป็น Adventure-Fantasy และ Comedy ใช่แล้วครับ Comedy เกมแนว point-and-click เนี่ยนะมันจะตลกยังไง เชื่อสิครับเล่นๆอยู่คุณจะหัวเราะออกมาอย่างแรงโดยคาดไม่ถึงมาก่อน ไม่ใช่แค่ black comedy นะครับ แต่เกมนี้ยังมีมุขที่ล้อเลียนหนังดังๆหลายเรื่องที่คุณต้องรู้จักแน่ เช่น Lord of the Rings, Harry Potter อะไรอีกละผมจำไม่ได้แล้ว

ด้วยความเป็น Adventure เราจะได้พบกับตัวละครต่างๆมากมาย เกมนี้ใช้ตัวละครน้อยมาก แต่ทุกตัวละครมีบทพูดหมด คือเราอาจจะรู้สึกแบบเมืองมันโหลงๆ ไม่ได้มีชีวิตชีวาอะไรมากมาย แต่ผมว่าแบบนี้แหละครับที่น่าสนใจ เพราะเกมนี้ไม่จำเป็นต้องไปเหมือนเกมแนว AAA เป็นเกมแนว Indy ที่เน้นขายเนื้อเรื่อง, gamesplay ที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ผมชอบเกมที่มีกราฟฟิคสวยๆ 3d สวยๆนะ แต่เกมนี้ใช้ฉากไม่เยอะ เราไม่ได้เห็นมันทุกด้าน แต่ในด้านที่เห็นก็มีความสวยงาม มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ เกมแนว point-and-click ส่วนใหญ่จะเอาเวลาและเงินไปสร้างฉากพวกนี้ให้มันสวยๆนะครับ เกมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเลย

เพลงในเกมนี้ ฟังดูเหมือนจะยิ่งใหญ่อลังการ แต่จริงๆมันจงใจล้อกับเกมใหญ่ๆ คือให้เรารู้สึกไปงั้นแหละ เกมจริงๆมันไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แถมดนตรียังมีจังหวะที่กวนๆ บางทีก็ลึกลับ บางทีก็ฮึกเหิม บางทีก็สยอง จะว่ามีครบทุกอารมณ์เลยก็ได้ ผู้ประพันธ์เพลงให้เกมนี้คือ Benny Oschmann เขาเป็นนักประพันธ์เพลงรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่า Games Composer คือเน้นประพันธ์เพลงให้กับเกมโดยเฉพาะเลย ผลงานในเครดิตเขายังมีไม่มาก แต่ก็พอจะมีเกมใหญ่ๆให้ได้พอรู้จักกันเช่น Hitman Absolute ล่าสุดก็เพิ่งได้รางวัล Best Music จาก Aggie Award ของเกม The Raven – Legacy of a Master Thief เมื่อปี 2014 เป็นนักประพันธ์เพลงรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองทีเดียว

ผมไม่รู้จะติอะไรเกมนี้นะ เป็นเกมที่สมบูรณ์มากทีเดียว เนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่ก็มีทั้งพลิกแพลง หักมุม ทำให้แต่ละ Chapter ของเกมมีความน่าสนใจและทำให้อยากเล่นต่อเนื่องไป ผมเล่นเกมนี้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง เกมไม่ได้ยาวมาก ปัญหาก็พอจะแก้ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Tutorial ในเกมถ้าเราแก้ปัญหาไม่ได้ ตัวละครก็จะพูดแนะนำเรานะครับว่าน่าจะทำอะไร ตัวร้ายเกมนี้ ร้ายแบบติ้งต๋องดีครับ สู้กับบอสก็เน้นการแก้ปัญหา ไม่ใช่สู้แบบ Action เอามัน เล่นแรกๆอาจจะไม่ชินเท่าไหร่ เพราะเกมมัน slow life มาก เชื่อว่าคอเกมสาย Indy น่าจะชอบเกมนี้มากทีเดียว

คำโปรย : “The Book of Unwritten Tales เกมแนว Adventure-Fantasy-Comedy ในสไตล์ Point-and-Click ที่จะทำให้การผจญภัยของคุณสนุก หัวเราะร่าไปกับเรื่องราวและดนตรีสุดไพเราะ”
คุณภาพ : THUMB UP
ความชอบLOVE

The Talos Principle


Talos Principle

The Talos Principle

เกมแนว puzzle เชิงปรัชญาที่ผมชอบมากๆเกมหนึ่ง ไม่ใช่แค่วิธีการเล่นที่เป็นการแก้ปัญหาแต่ละด่านไปเรื่อยๆ แต่ระหว่างนั้นมันก็มีเรื่องเล่าบางอย่าง กับแนวคิดบางอย่าง พร้อมกับบทสรุปที่น่าสนใจมากๆ ถ้าเทียบกับ Portal แล้ว ผมว่ามันเจ๋งพอๆกันเลยนะ แต่คนอาจจะชอบ Portal มากกว่าเพราะเรื่องแฝงมันเป็นตลกปนเสียดสี แต่ Talos Principle แฝงแนวคิดทางปรัชญา ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบแบบไหนมากว่าเท่านั้นเอง

ตอนผมเห็นตัวอย่างเกมนี้ ขนลุกซู่เลยครับ อยากเล่นมาก ภาพสวย ดนตรีอลังการ พร้อมกับคำบรรยายในตัวอย่าง If the tower temp you. ความอยากเล่นสุดๆเลย โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกมนี้เกี่ยวกับอะไร รอมันลดราคาอยู่หลายวัน ตอนนั้นซื้อตอนละ 40% ก็คุ้มมากๆเลยครับ ลองดูตัวอย่างเกมนี้กันก่อน

เกมแนวไขปัญหา ไม่ใช่เกมที่สร้างกันง่ายๆเลยนะครับ การออกแบบปัญหาให้มีระดับความยากง่ายที่ค่อยๆพัฒนาขึ้นไป มันเป็นไปได้ยากที่ปริศนาที่เราคิดมา จะสามารถประเมินได้ว่ามีความยากง่ายแค่ไหน บางคนต่อให้ปริศนาซับซ้อนแค่ไหน แต่เขาก็สามารถแก้มันได้ง่าย รวดเร็ว แต่บางปริศนาแทบจะไม่มีอะไรซับซ้อน แต่คนบางคนกลับไม่สามารถตีโจทย์ให้แตกได้ สำหรับคนที่ไม่มีเซ้นท์ใดๆในการเล่นเกมแนวปริศนา ผมก็ไม่แนะนำให้เล่นนะครับ ถึงจะมี Tutorial ที่เฉลยทุกปริศนาใน Youtube แต่ถ้าคุณไม่ได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง เกมแนวนี้มันไม่สนุกครับ ระดับความยากของปริศนาในเกมนี้ ผมถือว่าอยู่ระดับ “ปานกลาง” มีด่านที่ผมต้องใช้ตัวช่วยอยู่ 2-3 ด่าน ก็ถือว่าปกตินะ ในเกมมันก็มีตัวช่วยของมันอยู่ด้วย แต่กับคนที่ต้องการระดับ Hardcore ในเกมก็มีระดับนี้ด้วยสำหรับคนที่ต้องการเก็บ Archivement ให้ครบ ซึ่งถือโหดมากๆทีเดียว คือต้องสังเกตให้ทั่ว และเดินไปรอบๆแผนที่ ผมว่าแต่ด่านมันก็มีขนาดใหญ่พอสมควรนะครับ เดินเหนื่อยเลยละถ้าใครชอบเดินเล่นกินบรรยากาศ ใครชอบก็ลองเล่นดูนะครับ มี Easter Egg ที่ผมแนะนำให้หาให้เจอด้วย คือ Easter Egg แมวนะครับ หาให้เจอแล้วกัน จะได้ตอนจบอีกแบบ

การดีไซน์เกมนี้ ผมว่าภาพเกมสวยมาก เห็นว่าใช้ Serious Engine 4 เป็น Engine เดียวกับที่ทำ Serious Sam 3 ที่ Croteam น่าจะออกแบบขึ้นมาเอง จุดเด่นของ Engine นี้คือการ switch ระหว่างภาพมุมมองที่ 1 กับ มุมมองที่ 3 ได้อย่างไหลลื่นและง่ายดายกว่า Engine อื่นๆ จุดนี้ผมไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเท่าไหร่ตอนเล่นนะครับ แล้วแต่ความชอบเลย เล่นมุมมองไหนก็เหมือนกันสำหรับผม ความสวยงามของเกมนี้ ผมละอยากเห็นมันถูก port ลงเครื่อง VR เหลือเกิน ที่เราสามารถหมุนไปรอบๆตัวได้เองโดยไม่ต้องใช้เมาส์ สามารถหยิบจับสิ่งของในเกมได้โดยไม่ต้องใช้คีย์บอร์ด ความสวยงามของภาพอยู่ในระดับเกม AAA ได้สบายๆเลย ภาพสวยมากๆ เน้นสีขาว สีแทน สว่างใด โดยเฉพาะการเล่นแสงในเกม สวยมากๆครับ เห็นรุ้งสะท้อนแสงสวยมาก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเกมนี้จัดว่าเป็นแนว Indy นะครับ เพราะมันไม่ได้เป็นเกม Action ที่ต้องใช้เอ็ฟเฟ็กอะไรมากมาย เลยไม่แปลกที่ทีมนักออกแบบจึงเอาเวลาไปปรับปรุงฉากให้สวยงามได้ขนาดนี้

เสียงในเกม ใช้คนพากย์ไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะได้ยินแต่เสียงที่พูดกับเรา นานๆจะเจอเสียงอื่น ผมว่าเสียงของนักพากย์คนนี้ใช่เลยนะครับ ทรงพลังมากๆ จะได้ยินจากตัวอย่างหนัง เสียงผู้ชายช่วงครึ่งหลัง ผมขนลุกเพราะเสียงพี่แกนี่แหละ สำหรับเพลงประกอบ เกมนี้ให้อารมณ์หวิวๆ ถ้าซื้อ soundtrack มาฟัง จะรู้สึกอลังการมากๆ เหมือนได้พลังอันยิ่งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็โดดเดี่ยว อ้างว้าง ออกหลอนๆนิดๆ ตอนเล่นเกมผมรู้สึกเลยนะครับ เพราะมีตัวละครที่เราเล่นตัวเดียวเท่านั้นในเกม กับการแผนที่อันกว้างใหญ่ มีเราเป็นสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวได้ในเกม มันหลอนๆ วังเวงชอบกล เพลงประกอบนี่ใช่เลยครับ มันต้องอารมณ์นี้แหละ ลองฟังดูนะครับ

ความสุดยอดของ The Talos Principle คือเรื่องบท Croteam คือกลุ่มนักพัฒนา Serious Sam เกมนั้นเอามันไปเสียหน่อย เนื้อเรื่องอาจไม่มีอะไรมาก เลยไปจ้าง Tom Jubert (FTL, The Swapper) กับ Jonas Kyratzes (The Sea Will Claim Everything) ผมไม่เคยเล่น The Sea Will Claim Everything แต่เคยเห็น The Swapper เป็นเกมแนว puzzle แบบ rogue-like เป็นเกมที่ให้บรรยากาศ อารมณ์คล้ายๆกับ The Talos Principle เลย เป็นนักเขียนที่เลือกมาได้ตรงมากๆ ผมชอบแนวคิดตอนจบของเกมนี้นะ มีจบ 3 แบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราเล่นเกมนี้ยังไง และด่านสุดท้ายตัดสินใจที่จะเลือกยังไง ผมแนะนำให้เล่นครั้งแรกให้จบโดยไม่ดูบทสรุปนะครับ ถ้าปริศนาไหนแก้ไม่ได้จะใช้ตัวช่วยก็ได้ แต่ห้ามอ่านบทสรุปตอนจบ จุดจบของเกมนี้ มันท้าทาย ว่าเราจะเลือกวิธีการตัดสินใจแบบไหน เกมนี้สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เราเลือกที่จะฟังคนที่บอกให้เราทำอะไร หรือเราทำตามที่ใจต้องการ หรือทำมันทุกอย่างโดยไม่สนอะไร

สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าจะเล่นเกมนี้ได้ไหม ผมแนะนำให้ลองโหลด Sigils of Elohim มาลองเล่นดูก่อนครับ เป็นเกมปริศนาแนวตัวต่อ แค่เอาตัวต่อมาใส่ในบล็อคให้เต็ม ง่ายๆเป็นเกมฟรี โหลดได้เลยใน Steam เป็น mini เกมที่เราจะเจอใน The Talos Principle ด้วย ผมก็ลองเล่นเกมนี้ก่อนจนครบทุกด่าน ก็รู้เลยว่าเราน่าจะเล่น The Talos Principle ได้ ก็กดมาตอนลดราคานะครับ แต่กับคนที่แก้ปัญหาใน Sigils of Elohim ไม่ได้ ให้ผ่านเกมนี้ไปเลยนะครับ เล่นยังไงก็ไม่สนุกแน่

Sigils of Elohim: http://store.steampowered.com/app/321480/

ผมชอบเกมนี้ตรงไหน คำตอบคือ บรรยากาศและแนวคิด ภาพสวย ดนตรีเพราะ ทุกอย่างลงตัว แม้ว่าเกมแนวปริศนา ผมจะไม่ได้ชอบมากมาย แต่มันก็ฝึกสมองดี ผมเล่นแบบไม่เน้นเหนื่อย สามวันจบ วันละ 1-2 ชั่วโมงบริหารสมอง เกมนี้ไม่ได้แค่สนุก แต่นำเสนอแนวคิดบางอย่าง ผมถือว่าเกมมันท้าทายดีนะครับ อาจจะไม่สนุกเท่ากับ Portal 2 ที่เกมนี้กินขาดเพราะสอดแทรกมุกตลกอยู่เรื่อยๆทำให้คนไม่เครียด แต่ The Talos Principle น่าจะเครียดนะครับ เตรียมใจเผื่อไว้ด้วย

คำโปรย : “The Talos Principle เกมแนวปริศนา ไซไฟ ปรัชญา ที่แฝงแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิต ภาพสวย เพลงเพราะ puzzle คล้ายๆกับ Portal แบบซีเรียส”
คุณภาพLEGENDARY
ความชอบFAVORI

The Wolf Among Us


The Wolf Among Us

The Wolf Among Us

ช่วงแรกๆผมจะพยายาม balance งานที่ผมจะรีวิวให้กระจายไปหลายๆหมวดหมู่นะครับ สำหรับวันนี้จะมารีวิวเกมๆหนึ่ง ถ้าใครเป็นนักเล่นเกมอาจจะรู้จักเกมนี้กันบ้าง แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกม ไม่ชอบเล่นเกม แต่ชอบดูหนัง ผมเสนอให้ลองเล่นเกมนี้ดูนะครับ

นี่เป็นเกมที่เหมือนกับเราได้นั่งดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง มีการเล่าเรื่อง การจัดฉาก แสงสี เพียงแต่ว่าเราสามารถเลือกที่จะตัดสินใจแทนตัวละคร มีการโต้ตอบ มีการกระทำ สำหรับคนไม่เคยเล่นเกมมาก่อนก็สามารถเล่นได้โดยไม่ต้องมีทักษะอะไร เพราะเกมนี้จะเรียกได้ว่า “การดำเนินเรื่องสำคัญกว่าการเล่น”

หลายท่านคงสงสัย มันมีเกมแบบนี้ด้วยเหรอ ใช่แล้วครับ ตอนนี้ก็มีหลายเกมแล้วที่เป็นแบบนี้ โดยค่ายเกมที่เรียกได้ว่าเป็นตัวตั้งตัวตีของเกมแนวนี้คือ Telltale ที่ได้สะสมประสบการณ์จากการทำเกมสไตล์นี้มานานหลายปี โดยเกมนี้ถือเป็นอานิสงค์จากเกม The Walking Dead Season 1 ตอนก่อนจะออกมาได้รับความคาดหวังเป็นอย่างมากจากแฟนๆ และถือว่าทำได้ไม่ผิดหวังทีเดียว

มันไม่มีชื่อประเภทของเกมแนวนี้นะครับ เกมเมอร์มักจะเรียกเกมสไตล์นี้ว่า “เกมสไตล์ TellTale” ค่ายอื่นที่ออกเกมสไตล์นี้ ก็ยังถูกเรียกชื่อนี้เลยนะครับ ทั้งๆที่มันควรจะเรียกเกมแนวนี้ว่า “Story Driven” ก็ตามเถอะ (น่าจะเป็นคำที่ตรงตัวที่สุดแล้ว) ถ้าอยากเล่นเกมแนวนี้ ก็ให้หาเกมจากค่าย TellTale นี่แหละครับไม่ผิดหวัง

สำหรับวิธีการเล่นนั้น ผมจะแนะนำนิดหน่อยนะครับ คือเราจะเล่นเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ในเกมจะมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น มีบทสนทนาให้เราเลือกคำตอบตามที่เราอยากตอบ คำตอบพวกนี้อาจส่งผลต่อการตัดสินใจ เรื่องราวถัดไปที่จะเกิดขึ้น การตัดสินใจของเรามีหลายรูปแบบ อาทิ ประณีประนอม ใช้ความรุนแรง หรือวางตัวเป็นกลาง เราสามารถเลือกที่จะเล่นแบบไหนก็ได้ ไม่มีข้อบังคับใดๆ

ผมเล่นเกมของค่าย TellTale เกมนี้ถือเป็นเกมแรก ได้พบประสบการณ์ที่น่าทึงทีเดียว คือ เรื่องราวที่สุดแสนซับซ้อน การตัดสินใจของเราส่งผลถึงการกระทำต่อมาของตัวละครรอบข้าง บอกเลยว่าผมทึ่งในความสามารถของคนเขียนบทเกมนี้มาก ที่สามารถเชื่อมโยงเส้นเหตุการณ์ต่างๆให้หาคำตอบ และข้อสรุปของมันได้

ความสุดยอดในเนื้อเรื่องของเกมนี้คือ มันหักมุมแล้วหักมุมอีกในทุกๆ Episode ที่ออกมา ประมาณว่าถ้าจบตอนแล้วคุณไม่รู้สึกอยากเล่นต่อ ไม่ใช่เกมของค่ายนี้แน่ๆ ความซับซ้อน มิติของตัวละคร ยิ่งสนทนามาก แนวคิดของเราก็จะเปลี่ยนไป ผมลืมบอกไปเรื่องนี้เป็นแนวสืบสวนสอบสวนนะครับ (Mystery) ที่ลึกลับ ซับซ้อนพอสมควร ถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษอาจจะมีปัญหาสับสนได้หลายครั้งทีเดียว

มีสิ่งเดียวเท่านั้นในเกมที่ผมไม่ชอบ คือ Ending ในความรู้สึกของผม ถ้าคำตอบทุกอย่างที่เราเลือกตอบในทุกๆเหตุการณ์ สามารถประมวลผล สรุปเป็นผลลัพท์ของเกมในตอนจบ ผมว่ามันคงเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก แต่ตอนจบในเกมนี้ กลับกลายเป็นว่า คุณยังต้องเลือกเองวาจะให้มันจบยังไง ผมเข้าใจเหตุผลของการทำแบบนี้นะ คือมันสมเหตุสมผลกับวิธีการเล่น คุณสามารถเลือกได้ว่าคุณจะเล่นยังไง เลือกตอนจบได้ว่าจะให้จบแบบไหน แต่ผมกลับมองว่าวิธีนี้ทำให้เราไม่ได้รับผลลัพธ์อะไรจากเกมเลย นอกจากความบังเทิง และความน่าทึ่งของคนเขียนบท

เกมนี้จะพบว่ามีการเสียดสีอะไรต่างๆมากมาย และพยายามให้ผู้เล่นย้อนกลับมาคิดถึงตัวเอง ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จะตัดสินใจอย่างไร คำถามในเกมบ่อยครั้งที่จะเจอ 2 ทางแยกที่เราต้องเลือก เกมไม่ตัดสินเรา เราต้องตัดสินเอง และเมื่อตัดสินแล้วเราก็ต้องตัดสินตัวเองอีกรอบว่าที่ตัดสินไปถูกหรือเปล่า อาจเพราะมีเกมที่มีแนวการเล่นคล้ายๆแบบนี้ออกมาพอสมควรแล้ว (Dragon Age, Mass Effect) ที่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งตัวละครจะตัดสินใจจากผลการกระทำของเรา ผมรู้สึกว่าผลลัพท์ที่ออกมาของ The Wolf Among Us มันทำให้เราวนเวียนอยู่กับความคิดนั้น ไม่สามารถหาทางออกได้เองได้ เกมก็ไม่หาทางออกให้เราด้วย นี่คือสิ่งที่ผมผิดหวังนะครับ

อีกสิ่งที่อยากพูดถึงคืองาน Art Direction งานภาพและเสียง เรื่องนี้อยากบอกว่า Jazz มากๆ คือสีสันทำออกมาได้จี้ดจ๊าดสวยงาม เพลงเข้ากับบรรยากาศของเกมมากๆ ให้อารมณ์เหมือนดูหนังแนว Noir ที่เล่นกับแสงสี ราวกับดูหนังของ Wong Ka Wai เสียงพากย์ก็ใช่เลยลงตัวมากๆ

สำหรับเกมของ TellTale นั้นจะออกมาเป็น Episode 2-3 เดือนครั้ง แล้วแต่ว่าเกมนั้นจะมีกี่ Episode แต่ละตอนผู้กำกับก็เปลี่ยนไป (คงเพราะต้องใช้เวลาการสร้างสรรนานพอสมควร) เกมนี้เกือบ 2 ปีกว่าจะจบ ผมรอเล่นตอนมันออกมาจบทีเดียว อารมณ์ไม่ค้างนะครับ ตอนนี้เกมออกมาครบแล้ว ใครสนใจก็สมัคร Stream เข้าไปเล่นได้ เกมราคา 500 กว่าบาท ตอนละ 100 กว่าบาท ราคาเท่าดูหนังเรื่องหนึ่ง ระยะเวลาการเล่น ตอนนึก็พอๆกับดูหนังเรื่องนึง ถือว่าคุ้มมากๆนะครับ จะรอตอนลดราคาก็ได้ ผมซื้อมาตอนลดราคา 75% ยิ่งกว่าคุ้มอีกครับ

คำโปรย : “The Wolf Among Us เป็นเกมที่สมบูรณ์แบบลงตัวสไตล์ TellTale สวยงามทั้งภาพเสียง กราฟฟิค และเนื้อเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนจนคุณไม่อาจหยุดเล่นได้”
คุณภาพ : SUPERB
ความชอบLOVE