จนกระทั่งได้ยินข่าวว่าสถาบัน Institute for the Intellectual Development of Children and Young Adults (IIDCYA) กำลังมองหาโปรเจคเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน จึงนำบทหนังไปยื่นเสนองบประมาณ ในตอนแรกคณะกรรมการส่วนใหญ่มองว่าพล็อตธรรมดาเกินไป ไม่มีความน่าสนใจ แต่หลังจากพยายามปรับแก้ไขอยู่หลายๆครั้ง Behrouz Gharibpour (เกิดปี 1950), بهروز غریبپور นักเขียน/ผู้กำกับละครเวทีและหุ่นเชิด (Persian Puppet Theatre) เลยให้คำแนะนำสิ่งที่ควรแก้ไขปรับปรุง
Mr. Amir Naderi proposed the initial scenario of ‘The Runner’ which was rejected on TV, twice to the committee, which was also rejected by the committee. And everyone said it was weak. But it was clear that Mr. Naderi thought of pictures in his mind. I was also a serious opponent of this script. But the last time he presented the script, I told the other committee that the problem with this script is these things, and I wrote them down and told Mr. Naderi to tell him that this movie can be made in a much better way, and if he finds this way, then will be usable.
เกร็ด: สถาบัน IIDCYA เคยอนุมัติทุนสร้างภาพยนตร์ดังๆอย่าง The Traveller (1974), Where Is the Friend’s Home? (1987), Bashu, the Little Stranger (1989), And Life Goes On (1992), Children of Heaven (1998) ฯลฯ
เรื่องราวมีพื้นหลังยัง Bandar Abbas, بندر عباس (แปลว่า Port of Abbas) ชื่อเล่น The Crab Port เมืองท่าของจังหวัด Hormozgan ติดอ่าวเปอร์เซีย ชายฝั่งทางตอนใต้ของอิหร่าน
ถ่ายภาพโดย Firooz Malekzadeh (เกิดปี 1945), فیروز ملکزاده ตากล้องสัญชาติ Iranian เคยร่วมงานผู้กำกับ Bahram Beyzai เมื่อครั้นถ่ายทำหนังสั้น Safar (1972), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Traveler (1974), Stranger and the Fog (1976), The Runner (1984), The Mare (1986), Bashu, the Little Stranger (1989) ฯลฯ
เพื่อสร้างสัมผัส Neorealist หนังจึงไม่มีการใช้บทเพลงประกอบ (Soundtrack) แต่จะเป็นลักษณะของ ‘Diegetic music’ ได้ยินเด็กๆขับร้อง-เล่น (บนขบวนรถไฟ) หรือดังจากวิทยุ/เครื่องกระจายเสียง (บาร์ริมท่าเรือ) มีทั้งท่วงทำนอง Jazz, บทเพลงดังๆอย่าง Louis Armstrong: What A Wonderful World, Frank Sinatra: Around The World ฯลฯ
หลังจากเข้าฉายในอิหร่าน ปีถัดมาก็ตระเวนไปตามเทศกาลหนัง Venice, London (นอกสายการประกวด) ได้เสียงตอบรับอย่างดีล้นหลาม บางเทศกาลก็สามารถคว้ารางวัลอย่าง …
Nantes International Film Festival คว้ารางวัล Grand Prix
Melbourne International Film Festival คว้ารางวัล International Jury Prize
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะโดย Iranian National Cinema แล้วเสร็จสิ้นเมื่อปี 2019 คุณภาพ 4K เข้าฉายปฐมทัศน์เทศกาล Fajr International Film Festival สามารถหาซื้อ Blu-Ray จัดจำหน่ายโดยค่าย Elephant Films
เรื่องราวของ My Life as a Zucchini (2016) ถ้าสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดง หรืออนิเมชั่นสามมิติ ผมเชื่อว่าจะได้ผลลัพท์แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง, Live-Action มันดูสมจริง เหี้ยมโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กๆ และการจะหานักแสดงรุ่นเล็กมารับบท ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด!, ขณะที่ 3D Animation มันคงขาดอารมณ์ร่วม สัมผัสจับต้องไม่ได้สักเท่าไหร่
The scene where he kills the mother. If it was live action, you’d think — we’re putting a real kid through that? It allows you to go further I think, politically. There’s a little distance with the fact that it’s a puppet. It’s not a cold distance but you’re more surprised by your own emotions and how you relate to an object that is obviously a puppet.
Céline Sciamma
นอกจากงานสร้าง Stop-Motion สิ่งน่าสนใจมากๆสำหรับ My Life as a Zucchini (2016) คือการดัดแปลงบทของ Céline Sciamma ซึ่งเต็มไปด้วยลูกเล่นลีลา ลดบทพูด ตัดเสียงบรรยาย ส่วนใหญ่ใช้ภาษากาย สื่อสารด้วยการขยับเคลื่อนไหว (และภาษาภาพยนตร์) แต่น่าเสียดายที่หนังค่อนข้างสั้น อารมณ์(ของผู้ใหญ่)เลยยังเติมไม่เต็มสักเท่าไหร่ (แต่ก็เข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายคือเด็กๆ ยาวกว่านี้คงจะตึงเครียดเกินไป)
Claude Barras (เกิดปี 1973) ผู้กำกับ/นักอนิเมเตอร์ ศิลปินสรรค์สร้าง Stop-Motion Animation เกิดที่ Sierre, Switzerland โตขึ้นเดินทางสู่ Lyon ร่ำเรียนการออกแบบ คอมพิวเตอร์กราฟฟิกที่ École Emile Cohl จบออกมาเริ่มจากรับงานฟรีแลนซ์ สรรค์สร้างหนังสั้นทั้งสองมิติและสามมิติ Mélanie (1998), Casting Queen (1999), กระทั่งค้นพบความสนใจใน Stop-Motion จากเพื่อนสนิท Cédric Louis ร่วมงานกันตั้งแต่ The Genie in a Ravioli Can (2006)
เห็นว่าเป็น Louis ได้มีโอกาสอ่านวรรณกรรมเยาวชน Autobiographie d’une Courgette (2002) เมื่อประมาณปี 2006 เลยชักชวน Barras ให้ร่วมดัดแปลงสร้างเป็น Stop-Motion Animation แต่เพราะพวกเขายังขาดประสบการณ์ทำงาน (และความเชื่อมั่นใจว่าจะทำออกมาสำเร็จ) จึงทดลองสรรค์สร้าง Stop-Motion ขนาดสั้น Sainte Barbe (2007) และ Au Pays Des Tetes (2008)
Autobiographie d’une Courgette แปลว่า Autobiography of a Zucchini แต่งโดย Gilles Paris (เกิดปี 1959) นักเขียน/นักข่าว สัญชาติฝรั่งเศส ผมไม่แน่ใจนักว่านวนิยายเรื่องนี้คืออัตชีวประวัติของผู้เขียนหรือไม่ แต่ใช้การเล่าเรื่องผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งก็คือ Courgette หรือ Zucchini (ชื่อที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ)
เกร็ด: นวนิยายเล่มนี้ เคยได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฉายโทรทัศน์ C’est mieux la vie quand on est grand กำกับโดย Luc Béraud ออกอากาศเมื่อปี 2008 แต่เสียงตอบรับไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
When they asked me to write the script they did already have sketches of the characters. So it really felt like writing for a character. I knew all the faces, not the voices, but the looks. It helped with the writing, like knowing an actor and writing for them. I already felt intimacy.
I put a lot of mise-en-scène in the script – I’m quite accurate about it, the rhythm of the scene and a take.
It was quite disturbing how much of the film was exactly what I wrote. The thing that struck me was how sensitive the animation was, the movements. I think it’s pretty rare and true. The way they hold hands, that was insane. I didn’t think it would be that, I don’t know
The length of the arms was determined for the characters to be able to put their hands in front of their eyes so as not to force the animation too much. In order to reduce the Orangutan effect, we made arms with an aluminum wire armature, no elbow, so that they could be bent throughout the film to prevent having the hands too close to the ground in neutral position.
บทเพลงที่เด็กๆโยกเต้น แดนซ์กระจายยังรีสอร์ทตากอากาศคือ Eisbär (1981) ภาษาเยอรมันแปลว่า Polar Bear โดยวงร็อค Grauzone เท่าที่ผมหาข้อมูลได้ นี่เป็นบทเพลงแนว Neue Deutsche Welle หรือ Post-Punk (ของ West German) โดยเนื้อคำร้องกล่าวถีงชายคนหนี่งอยากเป็นหมีขั้วโลก เพราะจะได้ไม่ต้องกรีดร้อง ร่ำร้องไห้ หรือหลั่งน้ำตา และชีวิตก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจไปกว่านี้
สำหรับ Closing Song คือบทเพลง Le Vent nous portera (แปลว่า The Wind will Carry Us) แต่งโดย Bertrand Cantat, ขับร้องโดย Sophie Hunger รวมอยู่ในอัลบัม 1983 วางจำหน่ายปี 2010
เรื่องราวของ My Life as a Zucchini แม้เริ่มต้นด้วยโศกนาฎกรรม แต่เอาจริงๆผมรู้สึกว่านั่นความโชคดีแรกของ Zucchini เพราะมารดาของเขาเอาแต่ดื่มสุรามึนเมามาย ถ้าไม่ตกบันไดตาย เด็กชายอาจเติบโตขึ้นกลายเป็นเด็กมีปัญหา ต่อต้านสังคม ก่ออาชญากรรม ฯลฯ
I wanted to adapt Gilles Paris’ book because I wanted to make a film about children that addresses ill-treatment of children and remedies for abuse in today’s world; an entertaining film that makes you laugh and cry, but especially a firmly committed film that happens in the here and now and tells you about the strength of resilience amongst a group of friends, advocating empathy, comradery, sharing and tolerance.
Claude Barras
เกร็ด: หลายคนอาจสับสนกับชื่อหนัง My Life as a Zucchini หรือ Courgette จริงๆแล้วทั้งสองคำต่างแปลว่า บวบ (พืชล้มลุกที่นำมาทำอาหาร คนไทยชอบรับประทานกับน้ำพริกอร่อยนักแล) ขึ้นอยู่กับการใช้ภาษาของประเทศนั้นๆ ขณะที่ชื่อหนังภาษาฝรั่งเศส Ma vie de Courgette
คำโปรย | My Life as a Zucchini นำเสนอการก้าวข้ามผ่านโศกนาฎกรรมของเด็กเล็ก แม้ชีวิตจะเต็มไปด้วยเหตุการณ์อันเลวร้าย แต่เราทุกคนก็สามารถพบเจอความสุขครั้งใหม่ได้ คุณภาพ | บวบ บวบ ส่วนตัว | ขาดความน่าดึงดูด
และสิ่งที่ต้องชื่นชมสุดๆก็คือ Zoé Héran มองมุมหนึ่งเหมือนเด็กชาย มองอีกมุมเหมือนเด็กหญิง ทั้งยังการแสดงที่ถ่ายทอดความซับซ้อนของตัวละครออกมาอย่างโคตรเป็นธรรมชาติ ตราตรึงระดับเดียวกับ Ana Torrent เรื่อง The Spirit of the Beehive (1973)
Céline Sciamma (เกิดปี 1978) ผู้กำกับ/นักเขียนบทภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Pontoise, Val-d’Oise วัยเด็กชื่นชอบการอ่าน-เขียน หลงใหลในภาพยนตร์เพราะคุณย่ามักเปิดหนัง Hollywood ยุคเก่าๆให้รับชม, พอช่วงวัยรุ่นก็แวะเวียนเข้าโรงหนัง Art House สัปดาห์ละสามวัน, คลั่งไคล้ผลงานของ Chantal Akerman และ David Lynch, ศึกษาต่อยัง École Nationale Supérieure des Métiers de l’Image et du Son (เรียกสั้นๆว่า La Fémis) พัฒนาบทโปรเจคจบ Naissance des Pieuvres ไม่เคยคาดหวังจะเป็นผู้กำกับ แต่หลังจากนำบทดัวกล่าวไปพูดคุยโปรดิวเซอร์ ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มที่จนได้แจ้งเกิดกลายมาเป็น Water Lilies (2007)
I had the storyline in mind for a while, as a pitch: “a little girl pretending to be a little boy”. When I decided I wanted to make a second film I was looking for a very simple and catchy story, that I could write and direct very fast. I wanted to make a movie in a crazy energy, as free as possible. I thought that story would be perfect, because it’s about childhood, the rush of emotions, the energy.
At some points it’s autobiographical but it’s not my story. I didn’t pretend I was a little boy when I was a little girl. I was kind of boyish when I was the character’s age but that was because it was the 80s and girls had short hair at the time. Sometimes people might have thought I was a boy but it wasn’t something I wanted to happen. The parts that really belong to my own story are the family interactions and the sisterhood.
I headed straight to the acting children agencies, spreading the word I was looking for a Tomboy. Quickly the word came back that there was this girl, Zoé, who had what it took. I met her on the first day of casting, and was amazed. Of course she had the looks, but mostly she had such an intense face, and incredibly photogenic. We didn’t have the time to rehearse as we were shooting a month later. I just cut her hair as a preparation for the part, and then all the work was on the set.
To get a performance from such a young actress, I really considered her as an actress. Being very direct, very accurate about the character state of mind and attitudes. I made her commit to the part, and tried never to be in the position of a thief. During the takes, I am constantly talking to her, creating the rhythm of the scene with her. Directing kids is a lot about the trust, and the relationship you build.
In french tomboy is “garçon manqué”, which means “failed boy”. I don’t need to comment, you can see how bad it is. That’s why I used the english word even for the french title. Because “garçon manqué” is kind of an insult in french. I didn’t like the notion in failure in the french expression, because it is something you can be very successful at!
หนังฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Berlin แม้ได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม กลับเพียงคว้ารางวัล Teddy Jury Award (มอบให้หนัง LGBT+) เท่านั้นเอง แถมช่วงปลายปียังถูกมองข้ามโดยสิ้นเชิงจาก César Awards (ไม่ได้เข้าชิงสักสาขาเดียว!)
L’Argent de poche แปลตรงตัว/ชื่อที่ใช้ฉายต่างประเทศคือ Pocket Money แต่เฉพาะในสหรัฐอเมริกา เพราะกลัวผู้ชมเข้าใจผิดกับภาพยนตร์อีกเรื่อง Pocket Money (1972) เห็นว่า Steven Spielberg เป็นผู้แนะนำให้เปลี่ยนเป็น Small Change (1976) ในช่วงระหว่าง Truffaut กำลังถ่ายทำ Close Encounters of the Third Kind (1977)
Truffaut ร่วมงานกับ Suzanne Schiffman นามสกุลเดิม Klochendler (1929-2001) รู้จักกันมาตั้งแต่เธอยังเป็น ‘scrip girl’ เรื่อง Shoot the Piano Player (1960) เวียนวนอยู่ในแวดวง French New Wave ไต่เต้าขึ้นเป็น Script Supervisor, Assistant Director และได้รับโอกาสร่วมพัฒนาบท Day for Night (1972) เข้าชิง Oscar: Best Original Screenplay
Truffaut เริ่มต้นโปรดักชั่นภาพยนตร์เรื่องนี้หลังเสร็จจากการถ่ายทำ The Story of Adele H. (1975) โดยมองหาสถานที่ที่มีความเหมาะสมกับเรื่องราว พอได้เมือง Thiers ก็คัดเลือกนักแสดงจากคนในท้องถิ่นทั้งหมด รวมๆแล้วประมาณ 200 กว่าคน ใช้เวลาถ่ายทำยาวนานถึง 3 เดือน (ที่ช้าเพราะถ่ายทำหลังเลิกเรียน ไม่ต้องการให้พวกเขาสูญเสียโอกาสในการศึกษา)
ถ่ายภาพโดย Pierre-William Glenn (เกิดปี 1943) ผู้กำกับ/ตากล้อง สัญชาติฝรั่งเศส ผลงานเด่นๆ อาทิ Out 1 (1971), Day for Night (1972), Small Change (1976) ฯ
ปล. ผมครุ่นคิดว่า Trauffaut น่าจะได้แรงบันดาลใจฉากนี้จากสุนทรพจน์ตอนจบ The Great Dictator (1940) ของ Charlie Chaplin ที่ก็เป็นการแสดงทัศนคติ/ความคิดเห็นส่วนตัว ด้วยคำพูดออกจากปากตัวละครอย่างตรงไปตรงมา คล้ายแบบเดียวกันนี้
ในชั้นเรียน คุณครูสอนให้เด็กๆอ่านบทละคร L’Avare ou L’École du Mensonge (1668) [แปลว่า The Miser, or the School for Lies] ของ Molière ชื่อจริง Jean-Baptiste Poquelin (1622-73)
Patrick จับจ้องมองนาฬิกา รอคอยเวลาอีกเพียงหนึ่งนาทีจะได้กลับบ้าน
นอกจากประเด็นเรื่องสิทธิเด็ก/เยาวชน คุณค่าของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคือสัมผัสถวิลหา (Nostalgia) ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนเคยพานผ่านช่วงเวลาวัยเด็ก เรียนหนังสือ หนึ่งในฉากที่ผมชื่นชอบมากสุดก็คือ Patrick จับจ้องมองนาฬิกาตาไม่กระพริบ นับถอยหลังรอคอยอีกหนึ่งนาทีเลิกเรียนกลับบ้าน มันช่างยาวนานแต่เป็นชัยชนะที่ชวนให้อมยิ้มกริ่ม
ส่วนรักแรกและ First Kiss เห็นว่านำจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้กำกับ Trauffaut ซึ่งก็เหมือนกับเด็กชาย Patrick ช่วงแรกๆกลัวๆกล้าๆ เห็นเพื่อนทำ(ในโรงหนัง)ก็อยากทำบ้าง ซึ่งก็ได้บรรดาผองเพื่อนนะแหละที่ช่วยเหลือ จับคู่ ผลักดัน แม้มันจะไม่หวานแหวว ดูดดื่มอย่างโรแมนติก แต่จักคงอยู่ในความทรงจำตราบจนวันตาย
หนังฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Berlin สามารถคว้ามาสองรางวัล
OCIC Award – Recommendation
Reader Jury of the ‘Berliner Morgenpost’
ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าฉายฝรั่งเศสจีงได้รับความนิยมถล่มทลาย ยอดจำหน่ายตั๋วสูงถึง 2 ล้านใบ ในบรรดาผลงานของ Truffaut ประสบความสำเร็จอันดับสาม เป็นรองเพียง The 400 Blows (1959) และ The Last Metro (1980)
นอกจากนี้หนังยังได้เข้าชิง Golden Globe: Best Foreign Language Film (พ่ายให้กับ Face to Face (1976) ของ Ingmar Bergman) แต่กลับไม่ได้เป็นตัวแทนฝรั่งเศสลุ้นรางวัล Oscar เพราะคณะกรรมาธิการภาพยนตร์ ตัดสินใจเลือก Cousin cousine (1975) [เรื่องนี้ก็ได้เข้าชิง Golden Globe กลายเป็นหนังฝรั่งเศสสองเรื่องได้เข้าชิงพร้อมกันในปีเดียว!]
เกร็ด: นักวิจารณ์ Roger Ebert ยกให้ Small Change (1976) คือภาพยนตร์เรื่องโปรดแห่งปี 1976
“One day, I was offered to direct the TV [adaptation of] the Okko’s Inn. [The reason I made it into a movie instead of a TV series,] was because the production – which was originally carried out by a friend – was going poorly. So my friend asked me to direct a film instead. I read the original novel so I knew it was going to be fun and I accepted the offer”.
Kitarō Kōsaka
ทีแรกผมตั้งใจจะดูซีรีย์ 26 ตอน ที่สร้างขึ้นพร้อมๆฉบับฉายโรงภาพยนตร์เคียงคู่เปรียบเทียบกัน แต่เพราะไม่สามารถหารับชม(ซีรีย์) เลยตัดใจเหลือแค่หนังอนิเมะเรื่องนี้ เพราะชื่อเสียงเรียงนามของ Kitarō Kōsaka แถมคว้ารางวัล Mainichi Film Award: Best Animation Film เลยตั้งความหวังไว้สูงโคตรๆ
Kitarō Kōsaka (เกิดปี 1962, ที่ Kanagawa) ผู้กำกับ นักอนิเมเตอร์สัญชาติญี่ปุ่น ด้วยความชื่นชอบในผลงานผู้กำกับ Hayao Miyazaki (ตั้งแต่ยังไม่ได้ก่อตั้งสตูดิโอ Ghibli) หลังเรียนจบมัธยม ยื่นใบสมัครสตูดิโอเดียวกับที่เขาทำอยู่ขณะแต่ได้รับการปฏิเสธ เลยมองหาสังกัดอื่นที่รับงาน Outsource (อนิเมะของ Miyazaki) จนได้เริ่มต้นที่ Oh! Production ปักหลักเรียนรู้งานตั้งแต่ปี 1979 มีโอกาสเป็น Key Animation เรื่อง Nausicaä of the Valley of the Wind (1984), Angel’s Egg (1985), Castle in the Sky (1986) ฯ เมื่อถึงจุดอิ่มตัวลาออกมาเป็น Freelance อาทิ Royal Space Force: The Wings of Honneamise (1987), Grave of the Fireflies (1988), Akira (1988), ได้รับคำชื่นชมจาก Miyazaki จนก้าวขึ้นมากำกับอนิเมชั่น (Animation Director) เรื่อง Whisper of the Heart (1995), Princess Mononoke (1997), Spirited Away (2001), Howl’s Moving Castle (2005), Ponyo on the Cliff by the Sea (2008) และ The Wind Rises (2013)
แม้อยู่ในวงการอนิเมะมานาน แต่ Kōsaka ก็ไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้กำกับสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความชื่นชอบหลงใหลในจักรยาน ได้รับคำแนะนำพร้อมผลักดันจาก Miyazaki ให้ดัดแปลงสร้าง Nasu: Summer in Andalusia (2003) กลายเป็นอนิเมะเรื่องแรกเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes ติดตามด้วยภาคต่อ Nasu: A Migratory Bird with Suitcase (2007) แม้ไม่ประสบความสำเร็จเท่า แต่ก็ยังได้รับคำชื่นชมจนคว้ารางวัล Tokyo Anime Award: Best OVA (Original Video Animation)
Reiko Yoshida (เกิดปี 1967, ที่ Hiroshima) นักเขียนมังงะ บทอนิเมะ/ภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่น, สำเร็จการศึกษาสาขาวรรณกรรม Hosei University เริ่มโด่งดังจากการดัดแปลงบท The Cat Returns (2002) ให้กับสตูดิโอ Ghibli, ผลงานเด่นๆมักเป็นอนิเมะแนว Healing ดูสบายๆพร้อมสาระข้อคิดเกี่ยวกับชีวิต อาทิ Aria the Animation (2005), K-On! (2009-10), Bakuman (2010-13), Girls und Panzer (2012-13), Non Non Biyori (2013, 15, 21), A Silent Voice (2016), Liz and the Blue Bird (2018), Violet Evergarden (2018) ฯ
“The original series was meant for children, so they do not really touch on the topic of death, at least intentionally. But the series was published over 10 years ago, and the original fans of the series – who were mostly elementary school students at the time – are now in their mid-20s. I wanted them to also be able to enjoy the adaptation, so I concentrated on how Okko deals with the topic of death in the film”.
“Children are full of vigor and make a lot of movements, unlike adults. They talk out loud, and walk and jump around a lot. I carefully observed these movements and tried to convey what it means to be a child in the movie. That’s why the characters wander around so much during the film”.
แต่อาจยกเว้นบทเพลง 春の屋へ (Harunoyae, แปลว่า go to spring town) เสียงเปียโนมอบสัมผัสเศร้าๆภายหลังการสูญเสีย ทำให้เด็กหญิง Okko ต้องออกเดินทางครั้งใหม่ ครอบครัวหลงเหลือเพียงในความทรงจำ/ภาพสะท้อนในกระจก ต่อจากนี้ต้องปักหลักอาศัยอยู่กับคุณย่า ในโรงแรมเล็กๆแห่งหนี่งชื่อ Harunoya Inn
ทิ้งท้ายด้วย Hana no yu Kagura และ Hana no Ame (ตอนต้นเรื่อง, ท้ายเรื่อง) สองบทเพลงนี้แต่งโดย Ikegami Shongo ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่นบรรเลงท่วงทำนอง สำหรับประกอบการเต้นรำประจำปี มีจุดประสงค์เพื่อเคารพบูชาเทพเจ้าแห่งสายน้ำ, ความแตกต่าง(ของสองบทเพลง)อยู่ที่ Hana no Ame จะมีความเร่งเร้า จังหวะสนุกสนานกว่า ผิดจากขนบประเพณี (ของ Hana no yu Kagura) ซี่งถือว่าตัวละครได้หลุดจากพันธการ ความทรงจำอันเลวร้ายจากอดีต และสองวิญญาณเพื่อนสนิทกำลังเตรียมตัวไปสู่สุขคติ
ความแตกต่างระหว่าง Okko’s Inn ฉบับฉายโรงภาพยนตร์และซีรีย์โทรทัศน์ นอกจากงานสร้างโปรดักชั่นที่เห็นภาพชัด จุดโฟกัสเรื่องราวที่หนังอนิเมะเลือกนำเสนอ เป็นประเด็นที่แม้แต่ต้นฉบับนวนิยายไม่พยายามกล่าวถีง คือการจัดการความรู้สีกของ Okko ภายหลังสูญเสียครอบครัวจากอุบัติเหตุบนท้องถนน
ถ้าคุณชื่นชอบอนิเมะอย่าง Lu over the Wall (2017) หรือ Mirai (2018) ก็น่าจะมีแนวโน้มชื่นชอบ Okko’s Inn (2018) ที่นำเสนอเรื่องราวในมุมมองเด็กเล็ก แฝงข้อคิดสอนใจ ผู้ใหญ่(น่าจะ)ดูได้ เด็กๆดูดี
และถ้าใครสนใจอนิเมะแนว Healing มีพื้นหลัง Onsen (เป็นแนวที่แอบได้รับความนิยมอยู่เล็กๆนะ) แนะนำไปให้ลองหา Hanasaku Iroha (2011), Konohana Kitan (2017), Yuuna and the Haunted Hot Springs (2018) แถมให้กับ Thermae Romae (2012)
Penguin Highway หนึ่งในนวนิยายได้รับเสียงชื่นชมมากที่สุดของ Tomihiko Morimi เพราะโดยปกติพี่แกมักเขียนเรื่องราวพื้นหลังกรุง Kyoto แจ้งเกิดโด่งดังกับไตรภาค Kyoto University นำเสนอเรื่องราวเพี้ยนๆตามวิถีนักศึกษามหาวิทยาลัย Tower of the Sun (2003), The Tatami Galaxy (2004) และ The Night Is Short, Walk On Girl (2006) แต่หลังจากได้รับประสบการณ์การเป็นนักเขียนมากพอประมาณ ก็ค้นพบว่าถึงเวลาต้องหวนกลับไปจุดเริ่มต้น สรรค์สร้างเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอน เคยใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ (ก่อนย้ายไปศึกษาร่ำเรียนยังมหาวิทยาลัย Kyoto)
Hiroyasu Ishida (เกิดปี 1988) ผู้กำกับสร้างอนิเมะ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Mihama, Aichi ค้นพบความชื่นชอบมังงะและอนิเมะตั้งแต่ยังเด็ก ช่วงระหว่างเรียนมัธยมปลาย Aichi Prefectural Asahigaoka High School ก็ได้เริ่มทำอนิเมชั่นขนาดสั้นเรื่องแรก Greeting of Love จากนั้นระหว่างเข้าศึกษา Kyoto Seika University สรรค์สร้างผลงานเรื่องที่สอง Fumiko’s Confession (2009) ความยาวเพียงสองนาทีกว่าๆ พออัพโหลดขึ้น Youtube กลายเป็นกระแสไวรัลได้รับความนิยมผู้ชมหลักล้าน และสามารถคว้ารางวัลที่สอง Excellence Prize – Animation จาก Japan Media Arts Festival
สำหรับโปรเจคจบการศึกษา rain town (2010) ความยาวเกือบๆ 10 นาที แม้กระแสตอบรับไม่ล้นหลามเท่า แต่ยังสามารถคว้ารางวัล New Creator – Animation จาก Japan Media Arts Festival ได้อีกครั้ง
หลังเรียนจบได้รับการทาบทามจากสตูดิโอน้องใหม่ Studio Colorido ก่อตั้งโดยโปรดิวเซอร์ Hideo Uda เมื่อปี 2011 สรรค์สร้างอนิเมะขนาดสั้นฉายโรงภาพยนตร์เรื่องแรก Hinata no Aoshigure (2013) ความยาว 18 นาที คว้ารางวัล Special Judge’s Recommendation Award จาก Japan Media Arts Festival
ใครมีโอกาสรับชม Rain in the Sunshine (2013) คงพบเห็นความสนใจของผู้กำกับ Ishida หลงใหลเรื่องราวทะเล้นๆของเด็กประถม (น่าจะแทนตัวเขาเองนะแหละ) ผสมจินตนาการโบยบิน ไล่ล่าเติมเต็มความเพ้อฝัน ราวกับเป็นอารัมบทตระเตรียมตัวเพื่อสร้างผลงานเรื่องถัดๆไปโดยเฉพาะ
“I never thought about making the books into an anime myself and was reading without those thoughts. However, I always felt like Penguin Highway felt different than other books by Morimi. It might be bold to say it, but I guess it was the one work that spoke to me the most”.
Hiroyasu Ishida
Tomihiko Morimi (เกิดปี 1979) นักเขียนสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Ikoma City, จังหวัด Nara พอเติบโตขึ้นย้ายไปปักหลักร่ำเรียน Kyoto University นำประสบการณ์ระหว่างเป็นนักศีกษามาเขียนนวนิยายเรื่องแรก Tower of the Sun (2003) ได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม เลยต้องติดตามด้วย The Tatami Galaxy (2004) และ Night Is Short, Walk On Girl (2006) ทั้งสามเรื่องถูกเหมารวมเป็นไตรภาค Kyoto University
Morimi เคยให้สัมภาษณ์กล่าวถึงช่วงก่อนได้รับโอกาสเริ่มตีพิมพ์นวนิยายเล่มแรก พยายามเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงชีวิตวัยเด็ก พื้นหลังเมือง Ikoma City แต่ไม่เคยได้รับความสนใจจากสำนักพิมพ์ไหน จนกระทั่งความสำเร็จของไตรภาค Kyoto University และอีกหลายๆผลงานติดตามมา ถึงจุดๆหนึ่งในชีวิตเมื่อรับรู้ตัวว่าตนเองมีประสบการณ์เพียงพอ บางทีการหวนกลับไปจุดเริ่มต้นน่าจะสรรค์สร้างเรื่องราวน่าสนใจยิ่งกว่า
“I think every writer wants to tackle the landscapes of their childhood at least once. Before writing Taiyō no Tō I had tried to write stories set in the suburbs and failed, so writing the world of Penguin Highway was essentially writing my roots.
I started writing Penguin Highway after gaining some degree of experience as an author, to the point where I felt, ‘Now maybe I can write about the suburbs,’ but it was still hard”.
“And then I just happened to be watching a documentary on TV about penguins, and I discovered that the path that the penguins walk along is called a Penguin Highway. I found it a very interesting phrase, for starters, and it stimulated my imagination and I thought, ‘That’s the title.’ So the title came before the actual story”.
อีกเหตุผลของการเลือกเพนกวิน เพราะสัตว์ชนิดนี้อาศัยอยู่ยัง Antarctic ดินแดนที่ราวกับสุดขอบโลก ‘end of the world’ เหมาะกับสถานที่ที่ตัวละคร Aoyama กำลังออกติดตามหา
“Also, penguins live in the Antarctic and the story is about Aoyama seeking out the edges of the world, and for us penguins live at the end of the world. So I thought they would be appropriate creatures for Aoyama’s story”.
ความสำเร็จของ Penguin Highway เป็นสิ่งที่ Morimi เองก็คาดไม่ถึง เพราะปีที่ตีพิมพ์จัดจำหน่าย พร้อมๆกับการออกฉายอนิเมะซีรีย์ The Tatami Galaxy (2010) ทีแรกครุ่นคิดว่าคงถูกกระแสนวนิยายเรื่องดังกล่าวกลบมิด แต่ที่ไหนได้กลับเพิ่มยอดขายให้หนังสือทุกๆเล่ม และปลายปียังคว้ารางวัล Japan Science Fiction Grand Prize หรือ Nihon SF Taisho Award (มอบให้นวนิยายแนวไซไฟ ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปี)
“The producer and director approached me, and sent me some character designs and some samples of the storyboards. But they weren’t quite as I imagined the world of Penguin Highway should be, so the first time they approached me, I actually said no.
But then the director redid the samples and came back to me again. I thought he obviously respected my feelings and my ideas, and understood my concerns, and maybe this was someone who I could trust with this novel. And so I met up with him and decided to let him do it.
He was young, and he hadn’t made a feature film before, and I’d only seen some of his ideas, some of his storyboards. So I was nervous, and I thought: ‘Would it really be okay?’ but he did a really good job”.
ดัดแปลงบทอนิเมะโดย Makoto Ueda (เกิดปี 1979) ที่ก่อนหน้านี้ร่วมงาน Masaaki Yuasa ดัดแปลงสองผลงานก่อนหน้า The Tatami Galaxy (2010) และ Night Is Short, Walk On Girl (2017) ถือว่าเป็นบุคคลเข้าใจนวนิยายของ Tomihiko Morimi อย่างถ่องแท้ที่สุดก็ว่าได้ ซึ่งความตั้งใจของผู้กำกับ Hiroyasu Ishida ต้องการเคารพต้นฉบับให้มากที่สุด ตัดแต่งเพียงรายละเอียดเล็กๆน้อย เรียกว่าแทบไม่มีการปรับเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสำคัญๆ ซื่อตรงมากจนแม้แต่ Morimi ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กๆ
“I think the Penguin Highway director really respected my work. In fact, in a way I think he respected it too much. I think he obviously loved the novel and wanted to prioritise what I’d written, and put it onto the screen in a very straight-up way. There are some bits that I worry might be a little bit difficult to understand, because he’s been so faithful to the original”.
“I did used to go exploring around the area, and made a map with my friend. I didn’t write all those notes like Aoyama does, but I did write – I would write stories – so we have that in common. I think I was probably more similar to Aoyama’s friend Uchida.
Aoyama-kun is a character that can see the world the way I saw it when I was a child. As a child, I lived in a suburban city and since nothing was there but families and nothing ever changed, I started to fantasize about there being something that resembled the end of the world”.
Ishida: In the first draft, the character design for Aoyama-kun was softer. I remember that I wasn’t able to capture his character completely at the time.
Morimi: He felt more like a content country boy. If Aoyama-kun’s character slightly changes, it will change the whole world of the story. So the first proposal was in high danger of changing things. Aoyama-kun’s character improved greatly with the next proposal. I could feel how serious Ishida was about the work. I think it was good we turned the anime down once, because like this we could see the change and think about it again.
Ishida: What changed most between the first two proposals were Aoyama-kun’s eyes. The first Aoyama-kun had very round eyes. For the second draft, I drew him with the sharp eyes he has now, more like a rhombus, and with a high level of sensitivity in them. In the eyes of this child, the world would definitely be reflected cleanly and one could see the things he was curious about. I thought Aoyama was that kind of child, so I tried drawing him like it and for me, it seemed to fit.
ให้เสียงโดย Kana Kita (เกิดปี 1997, ที่กรุง Tokyo) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น ได้รับบทบาทสมทบเล็กๆ Maruyama, The Middle Schooler (2013) แล้วแจ้งเกิดโด่งดังกับ Shindo – The Beat Knocks Her World (2013) แล้วห่างหายเพื่อไปร่ำเรียนจนสำเร็จการศีกษา ถีงค่อยกลับเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัว
ให้เสียงโดย Yū Aoi (เกิดปี 1985, ที่ Fukouka) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เมื่ออายุ 14 เริ่มต้นแสดงละครเวที ก่อนมีผลงานโทรทัศน์ แจ้งเกิดโด่งดังกับภาพยนตร์ All About Lily Chou-Chou (2001) ติดตามมาด้วย Hana and Alice (2004), Hula Girls (2006) ** คว้ารางวัล Japan Academy Prize: Best Supporting Actress, Rurouni Kenshin (2012-), ให้เสียงอนิเมะอย่าง Tekkon Kinkreet (2006), Redline (2010), Penguin Highway (2018), Children of the Sea (2019) ฯลฯ
จากบทสัมภาษณ์ของผู้แต่งนวนิยาย Tomihiko Morimi บอกว่าเจ้าสิ่งนี้ได้แรงบันดาลใจจากนวนิยายไซไฟเรื่อง Solaris (1961) ของ Stanisław Lem (1921-2006) นักเขียนสัญชาติ Polish [ได้รับการดัดแปลงเป็นโคตรภาพยนตร์แห่งสหภาพโซเวียตเรื่อง Solaris (1972) โดยผู้กำกับ Andrei Tarkovsky] ซึ่งรวมไปถึงนัยยะความหมาย เปรียบดังกระจกสะท้อนตัวตนเอง ช่องว่างภายในจิตใจของ Morimi ต่อถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง
“I did have in mind Stanislaw Lem’s Solaris. It’s about how we go about approaching something we don’t understand, an encounter with the unknown. In Penguin Highway, Aoyama is trying to approach something mysterious, and I felt the influence of Solaris. The scene of the ‘Sea’ floating in the field drew on Solaris”.
คู่ปรับของเพนกวินคือ Jaberwock หรือ Jabberwocky สัตว์ประหลาดในบทกลอนไร้สาระของ Lewis Carroll (1832 – 1898) นักเขียนวรรณกรรมเด็กสัญชาติอังกฤษ กล่าวถึงครั้งแรกในหนังสือ Through the Looking-Glass, and What Alice Found There (1872) นวนิยายภาคต่อของ Alice’s Adventures in Wonderland (1865)
Twas bryllyg, and ye slythy toves Did gyre and gymble in ye wabe: All mimsy were ye borogoves; And ye mome raths outgrabe.
Beware the Jabberwock, my son The jaws that bite, the claws that catch! Beware the Jubjub bird, and shun The frumious Bandersnatch!
He took his vorpal sword in hand; Long time the manxome foe he sought— So rested he by the Tumtum tree, And stood awhile in thought.
And, as in uffish thought he stood, The Jabberwock, with eyes of flame, Came whiffling through the tulgey wood, And burbled as it came!
One, two! One, two! And through and through The vorpal blade went snicker-snack! He left it dead, and with its head He went galumphing back.
And hast thou slain the Jabberwock? Come to my arms, my beamish boy! O frabjous day! Callooh! Callay!” He chortled in his joy.
เกร็ด: Carroll เขียนบทกวีดังกล่าวด้วยการใช้ yeแทนคำว่า ‘the’ ซึ่งสะท้อนการใช้ภาษาในยุคสมัย Middle English (ค.ศ. 1150-1500)
ผมชื่นชอบการนำเสนอภาพในเชิงนามธรรมมากๆ พบเห็นครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้กับ Children of the Sea (2019) ที่สื่อแทนจุดเริ่มต้นของจักรวาล ตรงกันข้ามกับอนิเมะเรื่องนี้ที่เป็นการพังทลาย ล่มสลายของจักรวาลภายใน ‘มหาสมุทร’ หรือจะเรียกว่า ‘จุดสิ้นสุดแห่งอารยธรรมของมวลมนุษยชาติ’
เสียงเปียโนที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนถึงจังหวะชีวิตของเด็กชาย แม้อายุเพียงสิบขวบกลับมีการวางแผน ตระเตรียมการ ครุ่นคิดถึงอนาคตอีกสามพันกว่าวันข้างหน้า จะสามารถเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ และกลิ่นอายบทเพลงมีความละม้ายคล้าย A Whole New World จากอนิเมชั่น Aladdin (1992) แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เรียกว่าได้รับอิทธิพล/แรงบันดาลใจ นำมาร้อยเรียงพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นบทเพลงใหม่
He found a penguin เริ่มต้นบทเพลงด้วยความตื่นเต้น ครึกครึ้นเครง อลเวง ชีวิตกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน เพลิดเพลินใจ จนกระทั่งใครคนหนึ่งพบเห็นเพนกวินยืนอยู่กลางท้องทุ่งนา ใช้เสียงขลุ่ยสร้างความฉงนสงสัยให้เด็กชาย เพราะอะไร ทำไม มาจากไหน อยากค้นหาคำตอบการปรากฎตัวของสัตว์ชนิดนี้ให้จงได้
Collapse of the Sea เริ่มต้นด้วยเสียงกรีดกรายของไวโอลิน ราวกับสรรพสิ่งกำลังต่อสู้ดิ้นรน เพื่อลมหายใจเฮือกสุดท้าย จากนั้นออร์แกน(ในโบสถ์)กดลากเสียงยาวคือจุดสิ้นสุดสูญสลาย ทุกอย่างพังทลาย ความตาย
“Even though I have an office in Kyoto, and I go all the time, it’s not the same as living there. I’ve really settled down in Nara. I like my quiet lifestyle in Nara, and I’m the type of person who won’t move unless I have a very good reason, so I figure I’ll keep going like this for a while”.
“Imagination is more important than knowledge. For knowledge is limited to all we now know and understand, while imagination embraces the entire world, and all there ever will be to know and understand”.
“The author shouldn’t be the one crying, but I have to admit that I got choked up about it”.
Tomihiko Morimi
อนิเมะฉายรอบปฐมทัศน์ยัง Fantasia International Film Festival จัดที่ Montreal สามารถคว้ารางวัล Best Animated Feature จากสายการประกวด Axis: The Satoshi Kon Award for Excellence in Animation
ช่วงปลายปีมีโอกาสเข้าชิง Japan Academy Prize: Animation of the Year เอาจริงๆถือเป็นตัวเต็งคู่แข่งกับ Okko’s Inn แต่กลับถูกเด็กเส้นของสถาบัน Mirai ชิงตัดหน้าคว้ารางวัลไปอย่างน่าอัปยศ (เพราะเรื่องนั้นได้เข้าชิง Oscar: Best Animated Feature สมาชิกสถาบันเลยโหวตลงคะแนนถล่มทลาย)
จริงๆถ้า The Color of Paradise ไม่ข้องแว้งยุ่งเกี่ยวกับความเชื่อศรัทธาในพระเจ้ามากเกินไป ผมคงตกหลุมรักคลั่งไคล้หนังมากๆ เพราะนำเสนอความพิการในระดับรูปธรรม-นามธรรม ผ่านมุมมองสองตัวละครพ่อ-ลูก ได้อย่างงดงามทรงคุณค่ายิ่ง
Majid Majidi (เกิดปี 1959) นักเขียน/ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติอิหร่าน เกิดที่ Tehran ในครอบครัวชนชั้นกลาง, มีความสนใจด้านการแสดงตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 14 เข้าร่วมคณะการแสดงสมัครเล่น ต่อด้วยเข้าเรียนยัง Institute of Dramatic Arts, หลังจากการปฏิวัติอิหร่าน 1979 ผันตัวสู่วงการภาพยนตร์ Boycott (1989), กำกับหนังสั้น สารคดี ผลงานเรื่องแรก Baduk (1992), Father (1996), แจ้งเกิดโด่งดังกับ Children of Heaven (1997) เข้าชิง Oscar: Best Foreign Language Film เรื่องแรกของประเทศ
ช่วงระหว่างที่ Majidi กำลังคัดเลือกนักแสดงเด็กเพื่อมารับบทใน Children of Heaven มีโอกาสแวะเวียนยังโรงเรียนสอนเด็กตาบอด นั่นเองทำให้เขามีความลุ่มหลงใหลในประเด็นความมืดบอด ‘Blindness’ จึงพัฒนาบท Rang-e Khodā แปลตรงๆว่า The Color of God เพื่อสะท้อนแนวคิดที่ว่า แม้มองไม่เห็นแต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของพระเจ้า
“God is not visible. He is everywhere. You can feel Him. You can see Him through your fingertips”.
นำแสดงโดย Hossein Mahjoub (เกิดปี 1948) นักแสดงสัญชาติอิหร่าน เกิดที่ Rashit ตั้งแต่เด็กชื่นชอบอ่านหนังสือ หลงใหลในวรรณกรรม ตามด้วยการแสดง โตขึ้นเริ่มต้นทำงานละครเวที ภาพยนตร์เรื่องแรก Downpour (1972), โด่งดังกับ Mare (1984) ผลงานเด่นๆ อาทิ The Last Act (1990), Color of Paradise (1997), I’m Taraneh, 15 (2001), Big Drum under the Left Foot (2004), We’re Still Alive (2008) ฯ
ถ่ายภาพโดย Mohammad Davudi ที่จะได้ร่วมงานกับ Majidi อีกครั้งเรื่อง Baran (2001)
สมชื่อ The Color of Paradise งานภาพมีความสวยสด งดงาม ตื่นตระการตา โดยเฉพาะหลังจากที่ Mohammad เดินทางไปพักอาศัยยังชนบท ทุ่งดอกไม้ ทิวทัศน์พื้นหลังกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา น่าเสียดายจริงๆที่เด็กชายตาบอดไม่มีโอกาสได้พบเห็น
มองมุมหนึ่ง Where Is the Friend’s Home? คือภาพยนตร์สะท้อนค่านิยมชาวอิหร่าน ผู้ใหญ่จำต้องเสี้ยมสั่งสอนลูกๆหลานๆให้เชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอันใด, ตรงกันข้ามกับผู้ชมแห่งโลกเสรี พานพบเห็นผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวเอาแต่ใจเฉกเช่นนั้น มันช่างน่าหงุดหงิดโมโหโทโส สงสารพร้อมสมเพศเห็นใจ ดินแห่งแห่งนี้ช่างเสื่อมโทรมล้าหลัง คนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นจักมีอนาคตสดใสได้อย่างไร
Abbas Kiarostami (1940 – 2016) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ สัญชาติอิหร่าน เกิดที่ Tehran วัยเด็กมีความลุ่มหลงใหลการวาดภาพ โตขึ้นเข้าเรียน School of Fine Arts ณ University of Tehran ระหว่างนั้นทำงานพาร์ทไทม์เป็นตำรวจจราจร, จบออกมาได้กลายเป็นนักออกแบบโปสเตอร์ กำกับโฆษณากว่า 150 ชิ้น กระทั่งการมาถึงของ The Cow (1969) สร้างโดยผู้กำกับ Dariush Mehrjui อันเป็นจุดเริ่มต้นของ Iranian New Wave ทำให้ Kiarostami ติดตามรอยเท้า เริ่มต้นสร้างหนังสั้น The Bread and Alley (1970), ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก The Experience (1973) และหลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาหลายปี ในที่สุดก็ค้นพบแนวทางของตนเองกับ Where Is the Friend’s Home? (1987)
จุดเริ่มต้นของ Where Is the Friend’s Home? เกิดจากความสนใจในสถานที่ Koker, Gilan Province เมืองชนบทเล็กๆทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Tehran ระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร ซึ่งความเจริญจากเมืองหลวงยังมาไม่ถึง ผู้คนยึดถือมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีปฏิบัติดั้งเดิมสืบต่อกันมา
ผมว่าชาวอิหร่านคงครุ่นคิดเห็นแตกต่างจากผู้ชมโลกเสรี แบบขั้วตรงข้ามเลยนะ! Where Is the Friend’s Home? คงภาพยนตร์ที่สะท้อนขนบวิถี ประเพณีความเชื่อ และวิธีการปกครองลูกหลานชาวอิหร่านที่ถูกต้องเหมาะสม กล่าวคือถ้าผู้ใหญ่ในสถาบันครอบครัว โรงเรียน ไม่สามารถควบคุมสั่งสอนให้พวกเขากระทำตามกฎกรอบข้อบังคับได้ อนาคตต่อไปประเทศชาติคงไร้ซึ่งความสงบสุขสันติ
ชื่อหนังทั้งภาษาเปอร์เซีย خانه دوست کجاست (อ่านว่า Khane-ye dust kojast) และอังกฤษที่แปลว่า Where Is the Friend’s Home? นำจากท่อนหนึ่งของบทกวีชื่อ Address แต่งโดย Sohrab Sepehri (1928 – 1980) นักกวีชาวอิหร่านชื่อดัง ผู้บุกเบิกยุคสมัย New Poetry
“Where is the friend’s house?”
Horseman asked by twilight and,
The sky paused.
The passerby presented sands, the branch of light that he had in mouth
And pointed to a poplar tree and said:
“Before reaching the tree,
There is a garden alley that is greener than God’s sleep
And in it, love is as blue as the feathers of honesty.
Go to the end of the alley which stops at the back of adolescence.
Then turn to the flower of loneliness,
Two steps short of reaching the flower,
Stay by the fountain of eternal myth of earth
And you feel a transparent fear.
And in the fluid sincerity of the air, you will hear a scratch:
You will see a child
Who has gone up the pine tree, to grab a bird from the nest of light
And you ask him
Where the friend’s house is.”
ส่วนตัวชื่นชอบหนังมากๆ ประทับใจในความงดงาม เชื่องช้า ลุ่มลึกดั่งบทกวี ต้องถือว่าไดเรคชั่นของผู้กำกับ Abbas Kiarostami พัฒนาถึงจุดสูงสุดแล้วกระมัง
คำโปรย | Where Is the Friend’s Home? คือการค้นพบตนเองของผู้กำกับ Abbas Kiarostami งดงาม เชื่องช้า ลุ่มลึกดั่งบทกวี คุณภาพ | งดงาม-เชื่องช้า-ลุ่มลึก ส่วนตัว | ชื่นชอบมากๆ
Jafar Panahi คือหนึ่งในผู้กำกับชาวอิหร่าน ที่ได้รับอิทธิพลความเข้มงวดกวดขันจากกองเซนเซอร์ The White Balloon เป็นผลงานแรกและเรื่องเดียวที่ได้เข้าฉายในประเทศ หลังจากนั้นแม้ไปกวาดรางวัล Golden Lion, Golden Bear กลับโดนแบนหมด แถมถูกยึดพาสปอร์ต ห้ามเดินทางออกนอกประเทศอีกต่างหาก!
Jafar Panahi (เกิดปี 1960) ผู้กำกับสัญชาติอิหร่าน เกิดที่ Mianeh, East Azerbaijan ในครอบครัวชนชั้นทำงาน เมื่ออายุ 12 ขวบ เริ่มทำงานหลังเลิกเรียนเพื่อเก็บเงินไปรับชมภาพยนตร์ เปิดมุมมองตนเองต่อโลกกว้าง พออายุ 20 ปี อาสาสมัครทหาร เข้าร่วมสงคราม Iran-Iraq War (1980-88) แต่รับหน้าที่เป็นตากล้องบันทึกภาพสารคดีการสู้รบ เมื่อปลดประจำการสมัครเข้าเรียน College of Cinema and TV ที่ Tehran จึงมีโอกาสรับชมภาพยนตร์ตะวันตกมากมาย สนิทสนมเพื่อนร่วมรุ่น Parviz Shahbazi และตากล้องขาประจำ Farzad Jodat จากนั้นได้เริ่มทำงานสารคดีฉายโทรทัศน์ หนังสั้น
เมื่อ Abbas Kiarostami มีโอกาสรับชมหนังสั้นของ Panaha ชื่นชมและยกย่องในความสามารถ เลยว่าจ้างให้มาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Through the Olive Trees (1994)
“[Jafar Panahi have] extremely gifted and can be a promising figure in our cinema’s future”.
– Abbas Kiarostami
แรกเริ่ม Panahi พัฒนาบทภาพยนตร์ชื่อ Happy New Year ร่วมกับ Parviz Shahbazi ยื่นของบประมาณจาก IRIB’s Channel 1 (น่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ของอิหร่าน) ตั้งใจให้เป็นหนังสั้น แต่ข้อเสนอถูกปัดตกคงเพราะขาดความน่าสนใจ ระหว่างช่วยงานถ่ายทำ Through the Olive Trees จึงลองนำ Treatment ให้ Kiarostami วิพากย์วิจารณ์ ปรากฎว่าเกิดชื่นชอบ เลยให้ความช่วยเหลือ และแนะนำทำเป็นภาพยนตร์เลยจะดีกว่า
“I wanted to prove to myself that I can do the job, that I can finish a feature film successfully and get good acting out of my players. In a world where films are made with millions of dollars, we made a film about a little girl who wants to buy a fish for less than a dollar – this is what we’re trying to show”.
ไม่ใช่แค่ชื่อหนัง The White Balloon องค์ประกอบและโทนสีสันของภาพ พบเห็นสีขาวเป็นหลัก โดดเด่นชัดมากกับผ้าคลุมศีรษะของเด็กหญิง สัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ขาวสะอาด (ปลาทองที่มีสีขาวก็เฉกเช่นกัน!)
นอกจาก Opening/Closing Credit จะไม่มีการแทรกใส่บทเพลงประกอบนอกเสียจาก Diegetic Music ได้ยินจากวิทยุซึ่งคอยบอกเวลาดำเนินไปด้วย (คนที่ฟังภาษาเปอร์เซียออก จะสามารถเข้าใจเสียงเพลง/สนทนาที่ดังมาจากวิทยุด้วย ไม่รู้มีการแทรกใส่อะไรไว้เพิ่มเติมหรือเปล่า)
The White Balloon คือการผจญภัยของเด็กหญิง เพื่อให้ได้ครอบครองเป็นเจ้าของสิ่งที่ตนเพ้อใฝ่ฝัน ระหว่างทางพานผ่านอุปสรรคขวางกั้น ได้รับความช่วยเหลือชี้ชักนำจนสามารถเอาตัวรอดก้าวข้ามพ้น กลายเป็นบทเรียนชีวิตอันทรงคุณค่ายิ่ง ตราประทับฝังลึกภายในจิตใจไม่รู้ลืม
นอกจากนี้ยังได้รับเลือกเป็นตัวแทนประเทศ ส่งเข้าชิงชัย Oscar: Best Foreign Language Film แต่ไปๆมาๆเมื่อรัฐบาลอิหร่านมีข้อพิพาทข้ดแย้งกับสหรัฐอเมริกา ส่งเรื่องร้องขอมิให้พิจารณาหนังเรื่องนี้เข้าร่วมประกาศรางวัล ซึ่งพอทาง Academy ไม่ยินยอม ก็ยึดพาสปอร์ตของ Jafar Panahi ไม่ให้เข้าร่วมเทศกาลหนังเมือง Sundances หรือโฟนอินสัมภาษณ์ใดๆ … กระนั้นหนังก็ไม่ได้ลุ้นเข้าชิงรางวัลใดๆอยู่ดี
ขณะที่ฉากโมเสสแหวกทะเลแดงใน The Ten Commandments (1956) ได้รับการกล่าวขวัญ ‘Greatest Special Effect of All Time’, ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากที่ Elliott และ E.T. ปั่นจักรยานเหินผ่านพระจันทร์เต็มดวง ถูกเรียกว่า ‘The Most Magical Moment in Cinema History’
E.T. the Extra-Terrestrial คือภาพยนตร์สุดมหัศจรรย์อันทรงคุณค่า เอ่อล้นด้วยจินตนาการเพ้อฝัน ที่ไม่ใช่แค่เหมาะสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ยังสามารถอึ้งทึ่งตราตรึงไปกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และไดเรคชั่นของ Steven Spielberg ทำให้ได้รับฉายา ‘พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์’
การมาถึงของสงครามเย็น ทำให้ร่องรอยต่อระหว่างดี-ชั่ว ถูก-ผิด ค่อยๆเลือนลางจางหายไป รูปสวยใช่ว่าข้างในจะงดงาม เฉกเช่นเดียวกับภายนอกโคตรอัปลักษณ์พิศดาร แต่จิตใจอาจเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์สดใส … นี่น่าจะเป็นสาเหตุผลสำคัญหนึ่งที่ทำให้ E.T. the Extra-Terrestrial กลายเป็นผลงานที่ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าวงการภาพยนตร์ และทุบสถิติทำเงินสูงสุดตลอดกาลขณะนั้นของ Star Wars (1977)
Steven Allan Spielberg (เกิดปี 1946) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติอเมริกา เจ้าของฉายา ‘พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์’ เกิดที่ Cincinnati, Ohio, ครอบครัวนับถือ Orthodox Jewish ปู่ทวดอพยพจากประเทศ Ukrane ชื่นชอบเล่าอดีตพี่น้องหลายสิบของตนต้องสูญเสียชีวิตในค่ายกักกัน (นั่นคือเหตุผลที่ปู่ทวดอพยพย้ายสู่อเมริกา), ตั้งแต่เด็กมีความสนใจเล่นถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยกล้อง 8mm จาก 9 นาทีกลายเป็น 40 นาที พออายุ 16 สร้างภาพยนตร์ไซไฟ 140 นาทีเรื่อง Firelight (เป็นแรงบันดาลใจให้ Close Encounter) ทุนสร้างจากครอบครัว $500 เหรียญ ออกฉายโรงภาพยนตร์แถวบ้าน ได้ทุนคืนทั้งหมดในรอบฉายเดียว, หลังเรียนจบมัธยมปลาย มุ่งสู่ Los Angeles เข้าเรียน California State University, Long Beach ระหว่างนั้นเป็นเด็กฝึกงานที่ Universal Studios มีโอกาสถ่ายทำภาพยนตร์ 35mm ขนาดสั้นเรื่อง Amblin’ (1968) คว้ารางวัลมากมาย แถมยังไปเข้าตารองประธานสตูดิโอขนาดนั้น Sidney Sheinberg จับเซ็นสัญญา 7 ปี ดรอปเรียนจากมหาวิทยาลัยโดยพลัน
ช่วงแรกๆในวงการ เริ่มทำงานเป็นผู้กำกับซีรีย์โทรทัศน์ ไม่นานนักสร้างภาพยนตร์เรื่องแรก The Sugarland Express (1974) แม้คำวิจารณ์ค่อนข้างดีแต่ไม่ทำเงินเท่าไหร่ ตามด้วย Jaws (1975) แม้ประสบปัญหามากมาย ทุนสร้างบานปลาย แต่กลับทำเงินถล่มทลายมากมายมหาศาล ผลงานถัดมา Close Encounters of the Third Kind (1977), 1941 (1979), Raiders of the Lost Ark (1981)
“[alien was] a friend who could be the brother [he] never had and a father that [he] didn’t feel [he] had anymore”.
– Steven Spielberg
แต่ความล่าช้าของ 1941 (1979) ทำให้ Spielberg ไม่มีเวลาว่างหลงเหลือเพียงพอ จำต้องออกเดินทางไป Tunisia เพื่อเริ่มโปรดักชั่น Raiders of the Lost Ark (1981) แต่ระหว่างถ่ายทำมีเวลาว่างเหลือเยอะ เลยนำบทหนัง Night Skies เคยครุ่นคิดคร่าวๆไว้กับ John Sayles เพื่อเป็นภาคต่อของ Close Encounters of the Third Kind (1977) มาปัดฝุ่นปรับปรุงใหม่กับ Melissa Mathison เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวเป็นเพื่อนกับเด็กชายออทิสติก และตอนจบตัดสินใจออกเดินทางไปนอกโลกด้วยกัน
Spielberg ประทับใจบทร่างแรกของ Mathison เป็นอย่างมาก นำไปเสนอสตูดิโอ Columbia Picture แต่ผู้บริหารขณะนั้น Marvin Atonowsky มองว่าภาคต่อของ Close Encounters of the Third Kind มีความจำเพาะกลุ่มเกินไป ดูแล้วไม่น่าจะทำเงินสักเท่าไหร่ แถมยังเรียกว่า ‘a wimpy Walt Disney movie’ เลยบอกปัดปฏิเสธไม่สนหัว
หลังจากนั้นมีการปรับแก้ไขบทเพิ่มเติม และตัดสินใจไม่เชื่อมโยงให้เป็นภาคต่อของ Close Encounters of the Third Kind พอนำไปเสนอ Universal Studios อนุมัติทุนสร้าง แถมด้วยค่าลิขสิทธิ์บทหนังสูงถึง $1 ล้านเหรียญ และ Spielberg ต่อรองได้อีก 5% กำไรหนัง
เรื่องราวมีพื้นหลัง San Fernando Valley, เด็กชายวัยสิบขวบ Elliott (รับบทโดย Henry Thomas) พานพบเจอบางสิ่งอย่างในโรงเก็บของ พยายามพูดบอกแม่ Mary (รับบทโดย Dee Wallace), พี่ชาย Michael (รับบทโดย Robert MacNaughton) และน้องสาว Gertie (รับบทโดย Drew Barrymore) ก็ไม่มีใช่ใคร่เชื่อถือ จนกระทั่งใช้ลูกกวาด Reese’s Pieces โปรยทานเรี่ยราดให้เจ้าสิ่งนั้นติดตามเข้ามาหา จนได้ค้นพบว่าคือมนุษย์ต่างดาวตั้งชื่อ E.T. จึงนำมาหลบซ่อนเร้นไว้ในห้องนอน ยังตู้เสื้อผ้าของตนเอง
Henry Jackson Thomas Jr. (เกิดปี 1971) นักแสดง/นักดนตรี สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Antonio, Texas ระหว่างเข้าเรียน East Central High School ได้มีโอกาสมาคัดเลือกนักแสดง E.T. the Extra-Terrestrial (1982) นำเอาความรู้สึกที่สุนัขตัวโปรดเพิ่งเสียชีวิต ถ่ายทอดออกมาจากผู้กำกับ Spielberg ร่ำร้องไห้ เลยมอบบทบาทแจ้งเกิดโด่งดังที่สุดในชีวิตให้
ชีวิตหลังจากนี้ของ Thomas ยังอยู่ในวงการตราบจนปัจจุบัน แต่กลายเป็นนักแสดงสมทบ/เกรดบี ที่ไม่ค่อยมีใครจดจำสักเท่าไหร่ ขณะเดียวกันยังพัฒนาความสนใจด้านการเล่นกีตาร์ ตั้งวง The Blue Heelers และออกอัลบัมเพลง
สำหรับ E.T. ย่อมาจาก Extra-Terrestrial สิ่งมีชีวิตต่างดาวจากนอกโลกอายุ 10 ล้านปี สรรค์สร้างขึ้นโดย Carlo Rambaldi (1925 – 2012) นักออกแบบ Special Effect สัญชาติอิตาเลี่ยน ผลงานเด่นๆก่อนหน้านี้คือ King Kong (1976), Close Encounters of the Third Kind (1977) และ Alien (1980)
แรงบันดาลใจใบหน้าของ E.T. คือส่วนผสมระหว่าง Carl Sandburg, Albert Einstein, Ernest Hemingway และสุนัขพันธุ์ปั๊ก (แต่ผมว่าคล้ายโยดา จาก Star Wars มากกว่านะ) สร้างขึ้นมา 4 หัวให้สามารถขยับเคลื่อนไหวแสดงสีหน้าปฏิกิริยา (Facial Expressions), กระพริบดวงตาโตสีฟ้า (Big Eye), ส่วนคอโยกขึ้นลงด้วย Animatronic และครอบสวมใส่โดยคนแคระ Tamara De Treaux, Pat Bilon และเด็กชายพิการไร้ขา อายุ 12 ขวบ Matthew DeMeritt ความสูง 2’10” สังเกตว่าเวลาเดินช่างดูเหมือนนกเพนกวิ้นเหลือเกิน
เกร็ด: George Lucas ยังว่าจ้างเธอมาให้เสียง Boushh เรื่อง Return of the Jedi (1983)
ถ่ายภาพโดย Allen Daviau (เกิดปี 1942) ตากล้องสัญชาติอเมริกัน ขาประจำของ Spielberg ช่วงแรกๆ ผลงานเด่นอาทิ The Color Purple (1985), Empire of the Sun (1987), Avalon (1990), Bugsy (1991) ฯ
สถานที่ถ่ายทำหลักๆคือ San Fernando Valley ทางตอนเหนือของ Los Angeles โดยใช้ชื่อกองถ่าย A Boy’s Life เพื่อปกปิดรายละเอียดหนังไม่ให้ความลับรั่วไหล ซึ่งทีมงานทุกคนต้องมีบัตรผ่าน ID Card สำหรับเข้าออก นักแสดงไม่ได้ครอบครองบทหนัง และการถ่ายทำแบบไล่เรียงลำดับ (Chronological Order) เพื่อเด็กๆจักสามารถแสดงด้วยความต่อเนื่อง
เดิมนั้นทีมงานติดต่อ Mars Company บริษัทผลิตขนม M&M เพื่อต้องการใช้เป็นขนมหลอกล่อ E.T. แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ผลิตภัณฑ์เพราะมองว่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวตัวนี้น่าคงสร้างความหวาดกลัวให้กับเด็กๆ ส่งผลประทบต่อยอดขายให้ตกต่ำลง ด้วยเหตุนี้เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนมาเป็น Reese’s Pieces ซึ่งผลลัพท์เมื่อตอนหนังออกฉาย ปรากฎว่ายอดขายถล่มทลาย ถูกกวาดซื้อไปเกร็งราคาจัดจำหน่ายอยู่เป็นปีๆ
นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผลิตภัณฑ์ Tie-in แล้วส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายสินค้านะครับ ก่อนหน้านี้ก็เรื่อยๆมาเรียงๆ อาทิ
– From Here to Eternity (1953) ทำให้ยอดขายเสื้อฮาวาย ได้รับความนิยมถล่มทลาย
– Superman (1978) ตื่นเช้ามาที่บ้านของหนุ่มน้อย Clark Kent มีกล่อง Cheerio’s® วงอยู่ข้างเตียง
ฯลฯ
เอาจริงๆผมหาไม่เจอช็อตสัมผัสแรกของ Elliott สัมผัสกับ E.T. แบบภาพบนโปสเตอร์ ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดฝาผนัง The Creation of Adam ของ Michelangelo การสื่อสารของทั้งคู่เหมือนจะเริ่มต้นด้วยภาษามือ และวินาทีที่เด็กชายง่วงหงาวหาวนอน ราวกับว่าสายสัมพันธมิตรภาพของทั้งคู่ได้เริ่มต้นเชื่องโยงกันขึ้น
Harrison Ford มีบทรับเชิญในหนังด้วยนะครับ แสดงเป็นครูใหญ่ประจำโรงเรียนแต่ถูกตัดทิ้งออกไป ซึ่งเหมือนว่าผู้ชมยังพอจะได้ยินเสียงและเห็นด้านหลังช็อตนี้ กำลังบรรยายสอนวิชาวิทยาศาสตร์
แซว: ผู้กำกับ Spielberg แนะนำ George Lucas ให้สร้างสปีชีย์ E.T. ขึ้นมาเป็นตัวละครในแฟนไชร์ Star Wars ซึ่งก็ยินยอมทำตามคำขอ ปรากฎพบเห็นในไตรภาคต้น Star Wars: Episode I – The Phantom Menace (1999)
ฉากนี้ผู้กำกับ Spielberg สรรค์สร้างขึ้นเพื่อเคารพคารวะ Miracle in Milan (1951) โคตรหนัง Italian Neorealist ของผู้กำกับ Vittorio De Sica นำเสนอความมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครคาดคิดถึงเมื่อทุกคนสามารถขี่ไม้กวาดลอยได้!
“[In the future,] … There’s going to be no more digital enhancements or digital additions to anything based on any film I direct”.
แซว: ไม่รู้ว่า Spielberg ได้แรงบันดาลใจการปรับแก้หนังด้วย CGI จากเพื่อนสนิท George Lucas ที่ได้ทำการเปลี่ยนตอนจบของ Return of the Jedi (1983) หรือเปล่านะ!
Sequence ที่ผมถือว่าคือไฮไลท์ของหนังเลยก็คือ E.T. ดื่มเบียร์เมามาย ตัดสลับกับ Elliott ในห้องเรียนที่กำลังง่วงหงาวหาวนอน ลากยาวไปถึงตอนกำลังรับชม The Quiet Man (1952) และเด็กชายฉุดกระชากหญิงสาวกลับมาในห้อง
เพลงประกอบโดย John Williams ขาประจำเกือบทุกเรื่องของผู้กำกับ Spielberg มองความท้าทายคือ ทำอย่างไรให้ผู้ชมรู้สึกสงสารเห็นใจ ต่อสิ่งมีชีวิตหน้าตาอัปลักษณ์พิศดารนี้
Spielberg ลุ่มหลงใหลในทุกบทเพลงของ Williams แต่พอพบเห็นความยุ่งยากเสียเวลาในการปรับแต่งท่วงทำนองให้สอดคล้องกับภาพเหตุการณ์ เขาเลยบอกไม่ต้องแก้ไขอะไร จะขอไปตัดต่อเพิ่ม-ลดฉาก เพื่อให้มีความลงตัวกับเพลงประกอบเอง
ผลลัพท์ก็คือ Williams เหมาเรียบกวาดรางวัล Best Original Score จากสี่สถาบัน Academy Award, Golden Globe, Grammy, BAFTA แถมด้วยติดอันดับ 14 จากชาร์ท AFI’s 100 Years of Film Scores [เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามของ Williams ในชาร์ทนี้ ถัดจาก Star Wars และ Jaws]
แถมให้อีกนิดกับบทเพลง The Magic Of Halloween วินาที 0:44 เมื่อสายตาของ E.T. พานพบเห็นเด็กชายสวมใส่คอสเพลย์โยดาเดินผ่านไป ใครเคยรับฟัง Yoda’s theme จาก The Empire Strikes Back (1980) น่าจะจดจำได้อย่างแน่นอน [เพราะ Williams คือผู้แต่งเพลงนี้ให้กับ Star Wars นะครับ]
เข้าชิง Oscar 9 สาขา คว้ามา 4 รางวัล
– Best Picture
– Best Director
– Best Writing, Screenplay Written Directly for the Screen
– Best Cinematography
– Best Film Editing
– Best Sound ** คว้ารางวัล
– Best Sound Effects Editing ** คว้ารางวัล
– Best Visual Effects ** คว้ารางวัล
– Best Original Score ** คว้ารางวัล