Daniel Myrick กับ Eduardo Sánchez ระหว่างที่เป็นนักศึกษาอยู่ที่ University of Central Florida เมื่อปี 1993 ได้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากค้นพบเอกสารเกี่ยวปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ ที่อ่านแล้วมีความหลอนสะพรึงมากกว่าหนัง Horror ทั่วๆไป หลังจากเรียนจบร่วมกับเพื่อนๆอีก 3 คน ก่อตั้งสตูดิโอชื่อว่า Haxan Film [เป็นชื่อที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังเงียบเรื่อง Häxan: Witchcraft Through the Ages (1922)] พัฒนาบทภาพยนตร์ความยาวเพียง 35 หน้ากระดาษ คัดเลือกนักแสดงโดยใช้การประกาศรับสมัครทางนิตยสาร Backstage มีผู้มาสมัครกว่า 2,000 คน เลือกเหลือเพียง 3 คน เดินทางไปถ่ายทำยัง Black Hills ใกล้กับ Burkittsville, Maryland ใช้เวลา 8 วัน นักแสดงถือกล้องสองตัว CP-16 (ฟีล์ม 16mm) และ Hi8 (กล้อง Super-VHS ของ Sony) ได้ปริมาณฟุตเทจ 19 ชั่วโมง ใช้ตัดต่อถึง 8 เดือน ให้เหลือเพียง 82 นาที ออกฉายเทศกาลหนังเมือง Sundance รอบเที่ยงคืนวันที่ 25 มกราคม 1999 พร้อมแคมเปญโปสเตอร์ Missing Person (นักแสดงนำทั้งสาม) แปะอยู่หน้าโรงภาพยนตร์, ผลลัพท์ทำให้ Artisan Entertainment ขอซื้อลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายในราคาสูงถึง $1.1 ล้านเหรียญ
“What makes us fearful is something that’s out of the ordinary, unexplained. [It’s] kept the audience off balance; it challenged our real world conventions and that’s what really made it scary.”
มอบหมายให้นักเขียนบทสัญชาติอิตาเลี่ยน Gianfranco Clerici ที่เคยร่วมงานกันจาก Jungle Holocaust (1977) และ The House on the Edge of the Park (1980) พัฒนาบทภาพยนตร์ ตั้งชื่อ Working Title ว่า Green Inferno, จากคำบอกเล่าของ Clerici มีฉากหนึ่งที่ถูกตัดออกไปจากหนัง กลุ่มชนเผ่า Ya̧nomamö ตัดขานักรบ Shamatari แล้วนำไปเป็นอาหารปลาปิรันย่าที่แม่น้ำ เหตุผลที่ตัดออกเพราะไม่สามารถถ่ายภาพใต้น้ำได้ (คงเพราะน้ำขุ่นมากๆ) และการที่ไม่สามารถควบคุมปลาปิรันย่าให้เข้าฉากได้ เลยจำใจต้องตัดฉากนี้ทิ้งไปเลย
สำหรับกลุ่มของนักแสดง ผู้กำกับต้องการมือสมัครเล่นหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ใดๆ และยังไม่เคยปรากฎตัวต่อสื่อ ติดต่อ Actors Studio ที่ New York เพื่อให้ช่วยคัดเลือกนักแสดงที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ (คาดหวังใช้เป็นจุดขายตลาดต่างประเทศ) เมื่อได้มาแล้วขณะเซ็นสัญญาได้มีการระบุลงไปว่า จะต้องหายหน้าหายตัว ไม่ปรากฎต่อหน้าสื่อเป็นระยะ 1 ปี ตั้งแต่หลังเสร็จสิ้นการถ่ายทำ
ถ่ายภาพโดย Sergio D’Offizi,
– ในช่วง Found Footage ใช้กล้อง Hand Held ขนาด 16mm ถ่ายทำเลียนแบบหนังสารคดี ที่ใช้การบันทึกภาพทุกสิ่งอย่างด้วยการสังเกตการณ์ (Observational) หรือเรียกว่ามุมมองบุคคลที่ 1 [สมัยนั้นยังไม่มีกล้อง Steadicam ใช้การแบกขึ้นบ่าตากล้อง แล้วเดินถ่ายไปเรื่อยๆ]
– ส่วนฉากในช่วงเวลาปัจจุบันของหนังและในเมือง New York City ใช้ฟีล์ม 35mm ถ่ายด้วยมุมมองบุคคลที่ 3
หญิงสาวในฉากที่ต้องมี Sex อันเร่าร้อนแรง เธอพยายามต่อรองไม่ขอเปลือยอกเล่นฉากนี้ ผู้กำกับเรียกเธอไปคุยอะไรก็ไม่รู้เป็นภาษาอิตาเลี่ยน กลับมาชักชวนให้ชายคนที่ต้องเข้าฉากด้วยมี Sex กับเธอจริงๆ แต่พอเขาตอบปฏิเสธ หลังจากตอนนั้นก็มองหน้ากันไม่ติดอีกเลย
ตัดต่อโดย Vincenzo Tomassi, หนังใช้การเล่าเรื่องผ่าน Professor Harold Monroe (รับบทโดย Robert Kerman) อาจารย์สอนมานุษยวิทยา ของ New York University ออกเดินทางสู่ป่า Amazon เพื่อค้นหากลุ่มของนักสร้างสารคดี 4 ที่หายตัวไป เราสามารถแบ่งหนังออกได้เป็น 2 องก์
– องก์แรก เป็นมุมมองของ Prof. Monroe ออกเดินทางย่ำรอยเดิมเพื่อค้นหากลุ่มนักสร้างสารคดี พบเจอแนะนำชนเผ่ากลุ่มต่างๆอย่างสันติ (จากไกด์ผู้มีความรู้ประสบการณ์ สามารถสื่อสาร นำพาให้สามารถเอาตัวรอดกลับออกไปได้)
– องก์สอง เป็นภาพจาก Found Footage การผจญภัยของนักสร้างสารคดีทั้ง 4 ที่บันทึกภาพไว้ได้ตลอดการเดินทาง อันเต็มไปด้วยความเxย เห็นแก่ตัวนานับประการ
ช่วงองก์สอง จะเป็นการตัดสลับภาพ Found Footage กับเรื่องราวของ Prof. Monroe ที่ได้พูดคุยสนทนา แสดงทัศนะต่อผู้สื่อข่าวของ Pan American Broadcasting System ซึ่งใช้ลักษณะคล้าย Montage ตัดภาพปฏิกิริยาของพวกเขา กับฟุตเทจแต่ละม้วนที่ถูกไล่เรียงฉาย
ผมค่อนข้างชอบวิธีการนำเสนอฟีล์ม 2 ม้วนสุดท้าย ที่เป็นไคลน์แม็กซ์ของหนัง, Prof. Monroe จะมีโอกาสได้รับชมก่อน (แบบ Off-Screen) แล้วหนังนำพาเราเข้าสู่ห้องประชุม เขาแสดงปฏิกิริยาความคิดเห็น บอกว่าไม่ควรนำฟีล์มชุดนี้ออกฉายแต่กลับไม่มีใครยินยอมฟังเขา จึงตัดสินใจร่วมกันพิจารณาดูฟีล์ม 2 ม้วนที่เหลือในห้องฉาย ผลลัพท์ก็คือ …
เพลงประกอบโดย Riz Ortolani สัญชาติอิตาเลี่ยน ตามคำขอของผู้กำกับที่ชื่นชอบผลงานเรื่อง Mondo cane (1962) โดยเฉพาะกับบทเพลง More ที่ได้เข้าชิง Oscar: Best Original Song
ทั้งๆที่หนังเต็มไปด้วยความรุนแรง แต่ Main Theme, Opening/Ending Song กลับมีความนุ่มนวล อ่อนหวาน ใช้ดนตรี Pop แสนเรียบง่าย ให้สัมผัสของความหวัง (ที่ถึงในหนังจะหมดสิ้นไป แต่ผู้ชมน่าจะตระหนักรับรู้เข้าใจได้ทันที ว่านั่นคือสิ่งที่ฉันจะไม่มีวันปฏิบัติแสดงออกเป็นอันขาด)
Cannibal Holocaust ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับเปรตหรือเผ่าพันธุ์กินเนื้อมนุษย์ แต่เป็นเรื่องของการกระทำและผลที่ได้รับตอบแทน, หนังแบ่งออกเป็น 2 องก์ในลักษณะ ดี/ชั่ว ขั้วตรงข้าม องก์แรกในเชิงสันติธรรม องก์สองในเชิงกิเลสกรรม ผลลัพท์ก็เช่นกัน ‘ให้แม้นที่ทำมา’
ดังสำนวนไทย: ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
สำนวนภาษาอังกฤษ: As a man sows, so shall he reap. (หว่านพืชอะไร ย่อมได้ผลนั้น)
“Dear Ruggero, what a movie! The second part is a masterpiece of cinematographic realism, but everything seems so real that I think you will get in trouble with all the world.”
กับคนขวัญอ่อนคงหลอนแบบเย็นยะเยือก เสียวสันหลังวาบ แต่ไม่สำหรับผมเลยสักนิด เห็นการแสดงของ George C. Scott ที่ไม่ยี่หร่าต่ออะไรทั้งนั้นทำให้เข้าใจเลยว่า หนังแนว Horror ทำไมถึงไม่ค่อยมีชายสูงวัยวิ่งหนีผีเสียเท่าไหร่
หนังเรื่องนี้ก็เอาตัวรอดด้วยลักษณะวิธีนั้น คือใช้องค์ประกอบของความ Horror เกี่ยวกับบ้านผีสิงเป็นที่ตั้ง เมื่อหลอนสะดุ้งตกใจกลัวจนหอมปากหอมคอแล้ว ก็จะเข้าสู่แนวสืบสวนสอบสวน ค้นหาสาเหตุต้นตอของการที่บ้านหลังนี้ทำไมถึงถูกผีสิง และเหตุผลสำคัญทำไมต้องเป็น George C. Scott ที่ออกตามหาความจริง
Peter Medak (เกิดปี 1937) ผู้กำกับสัญชาติ Hungarian เกิดที่ Budapest, Hungary เชื้อสาย Jews อพยพสู่ประเทศอังกฤษช่วง Hungarian Revolution ตัดสินใจเข้าสู่วงการภาพยนตร์ จากเด็กฝึกงานกลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์โทรทัศน์ จากนั้นได้เซ็นสัญญากับ Paramount Pictures สร้างภาพยนตร์เรื่องแรก Negatives (1968) ผลงานเด่นอื่นๆอาทิ The Ruling Class (1972), The Changeling (1980), The Krays (1990), Let Him Have It (1991) ฯ
George Campbell Scott (1927 – 1999) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Wise, Virginia ตั้งแต่มีความชื่นชอบนิยายของ F. Scott Fitzgerald ต้องการเป็นนักเขียนแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่, เข้าเรียน University of Missouri สาขา Journalism แต่กลับเริ่มสนใจการแสดง เริ่มต้นจากเป็นนักแสดง Broadway โด่งดังกับซีรีย์โทรทัศน์หลายเรื่อง, ภาพยนตร์เรื่องเด่น อาทิ Anatomy of a Murder (1959), The Hustler (1961), Dr. Strangelove (1964) คว้า Oscar: Best Actor จากเรื่อง Patton (1970) แต่ปฏิเสธไม่รับรางวัล เพราะมีความเชื่อว่า ‘ทุกการแสดงมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่สมควรนำมาเปรียบเทียบแข่งขันกันได้’
รับบท John Russell นักแต่งเพลงสูงวัย ที่ตัดสินใจย้ายมาอยู่ Seattle เพราะครอบครัวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ได้เช่าบ้าน/คฤหาสถ์หลังใหญ่ในสไตล์ Victorian-Era ห่างไกลและเงียบสงบเพื่อแต่งเพลงขึ้นใหม่ แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ต่างๆนานา เรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นมากมาย คงเพราะชีวิตไม่มีอะไรให้น่าตื่นตระหนกสะพรึงกลัวอีกต่อไป เขาจึงเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น และค้นพบว่าบ้านหลังนี้ต้องการนำพาให้เขาพบเจอ กระทำอะไรบางอย่างให้
Trish Van Devere (เกิดปี 1941) นักแสดงสัญชาติอเมริกา ภรรยาของ George C. Scott เกิดที่ Englewood Cliffs, New Jersey เคยได้เข้าชิง Golden Globe: Best Actress เรื่อง One Is a Lonely Number (1972)
รับบท Claire Norman หญิงสาวที่ทำงานใน Historical Preservation Society เป็นผู้ให้ John Russell เช่าบ้านหลังนี้ และคอยให้การช่วยเหลือ ร่วมสืบค้นหาเบื้องลึกความจริง ต้นตอความผิดปกติที่เกิดขึ้นในบ้านหลัง
ถ่ายภาพโดย John Coquillon ตากล้องสัญชาติ Dutch ที่ทำงานในประเทศอังกฤษ มีผลงานเด่นๆอาทิ Straw Dogs (1971), Pat Garrett and Billy the Kid (1973), Cross of Iron (1977), The Changeling (1980) ฯ ความเนิบนาบในการนำเสนอ กล้องค่อยๆเคลื่อนเข้าไปช้าๆ ชวนให้น่าหลับใหล แต่นี่เป็นการสร้างบรรยากาศ ความลุ้นระทึก น่าสะพรึงกลัว ขนลุกขนพอง เรียกความรู้สึกนี่ว่า Chilling
ตัดต่อโดย Lilla Pedersen, หนังใช้มุมมองของ John Russell เป็นหลักในการเล่าเรื่อง เริ่มจากแนะนำพื้นหลังตัวละคร นำพาสู่บ้าน/คฤหาสถ์หลัังนี้ ค่อยๆสร้างความพิศวงสงสัย จากนั้นเปิดเผยความลับสิ่งต่างๆออกมาทีนิด จนช่วงท้ายเมื่อเป้าหมายอยู่ในสายตา ผลลัพท์กรรมสนองกรรมจึงได้เกิดขึ้น
ด้วยทุนสร้าง $600,000 เหรียญ หนังทำเงินได้ทั่วโลก $5.3 ล้านเหรียญ ถือว่ากำไรพอสมควร, เข้าชิง 10 รางวัล Genie Award (เท่ากับ Oscar ของประเทศแคนาดา) ได้มา 8 รางวัล ประกอบด้วย
– Best Film
– Best Foreign Actor (George C. Scott)
– Best Foreign Actress (Trish Van Devere)
– Best Supporting Actress (Helen Burns) ** พลาดรางวัล
– Best Supporting Actress (Frances Hyland) ** พลาดรางวัล
– Best Adapted Screenplay
– Best Art Design
– Best Cinematography
– Best Sound
– Best Sound Editing
เกร็ด: นี่เป็นปีแรกที่เปลี่ยนชื่อรางวัลจาก Canadian Film Awards เป็น Genie Award ปัจจุบันตั้งแต่ปี 2012 เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Canadian Screen Awards
ไม่ใช่ว่าความรู้สึกของผมตายด้านหรืออย่างไร ที่ไม่หลอนสักนิดกับหนังเรื่องนี้ เพราะการแสดงของ George C. Scott ดึงดูดความสนใจไปเสียหมด ความเชื่องช้า สิ้นหวัง เบื่อหน่าย หมดอาลัยตายอยาก เห็นรถเข็นเลื่อนเองได้ สีหน้าพี่แกกลับไม่สะทกสะท้านอะไร … คือถ้าตัวละครไม่มีปฏิกิริยาอารมณ์ร่วมไปด้วย แล้วผมจะไปได้รับความรู้สึกนั้นจากตรงไหน
แต่ก็ขอเตือนเอาไว้สำหรับคนขวัญอ่อน นี่เป็นหนังที่น่าจะหลอนโคตรๆ เพราะเท่าที่ผมตามอ่านจากบทวิจารณ์หนังทั้งหลาย ให้คะแนน 8-9-10 เต็ม 10 แทบทั้งนั้น คือ ขนลุกขนพอง เขย่าขวัญ สั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ แม้แต่ผู้กำกับ Martin Scorsese ยังจัดให้ติดอันดับ 6 จาก 11 Scariest Horror Movies Of All Time
เกร็ด: The Changeling ยังเป็นหนังโปรดของผู้กำกับ Alejandro Amenábar
แนะนำกับคอหนัง Horror แนวบ้านผีสิง บรรยากาศหลอนๆ เรื่องราวเหนือธรรมชาติ, ชื่นชอบนักแสดง George C. Scott และภรรยา Trish Van Devere ไม่ควรพลาด
จัดเรต 13+ กับความหลอนเย็นยะเยือก
TAGLINE | “The Changeling ถ้าเปลี่ยน George C. Scott เป็นนักแสดงคนอื่น หนังน่าจะหลอนเย็นยะเยือกได้มากกว่านี้” QUALITY | THUMB UP MY SCORE | SO-SO
Jack Clayton (1921 – 1995) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Brighton ได้เป็นนักแสดงเด็กในหนังเรื่อง Dark Red Roses (1929) เลยตัดสินใจเอาดีทางด้านนี้ ตามติด Alexander Korda ขณะก่อตั้งสตูดิโอ Denham Film Studios เมื่อปี 1935 จากเด็กชงชากลายเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ นักตัดต่อ, ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าร่วม Royal Air Force ถ่ายหนังเองเรื่องแรกสารคดี Naples is a Battlefield (1944) วนๆเวียนๆอยู่เบื้องหลัง ทำหนังสั้นคว้ารางวัล Oscar: Best Short Subject (Two-Reel) เรื่อง The Bespoke Overcoat (1956) จนปี 1959 ได้รับโอกาสสร้างภาพยนตร์ Feature-Length เรื่องแรก Room at the Top (1959) เข้าชิง Oscar 6 สาขาได้มา 2 รางวัล
หลังความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องแรก Clayton ได้รับข้อเสนอมากมายจากหลายสตูดิโอ แต่ทั้งหมดได้รับการบอกปัดปฏิเสธ, นักตัดต่อขาประจำ Jim Clark บอกว่า ‘Clayton’s inability to make a decision was legendary.’ คงต้องเป็นเรื่องราวที่ตนเองมีความสนใจจริงๆเท่านั้น ถึงจะยอมเสียเวลาเป็นปีๆสร้างสรรค์มันขึ้นมา
สำหรับภาพยนตร์เรื่องถัดมานี้ The Innocents ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง The Turn of the Screw (1898) ของนักเขียนสัญชาติอเมริกา Henry James (1843 – 1916) ซึ่ง Clayton มีโอกาสอ่านตั้งแต่ตอนอายุ 10 ขวบ และโดยความบังเอิญที่ 20th Century Fox กับนักแสดงหญิง Deborah Kerr มีความสนใจดัดแปลงสร้างภาพยนตร์จากนิยายเล่มนี้อยู่พอดี
เกร็ด: The Turn of the Screw ในปัจจุบันได้กลายเป็น ‘หนังสืออ่านนอกเวลา’ ของมหาวิทยาลัยหลายๆแห่งในต่างประเทศ ใครกำลังเรียนวิชาวรรณคดีวิจารณ์ น่าจะลองหามาอ่านดูนะครับ
มอบหมายให้ William Archibald ที่เคยดัดแปลงนิยายเรื่องนี้สร้างเป็นละครเวที Broadway เรื่อง The Innocents (1950) กำกับโดย Peter Glenville เปิดการแสดงที่ Playhouse Theatre ทั้งหมด 141 รอบ คว้ารางวัล Tony Award: Best Scenic Design, แต่ผลลัพท์ยังไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้กำกับ เลยติดต่อให้ Truman Capote นักเขียนสัญชาติอเมริกา เข้ามาขัดเกลาบทพูดทั้งหมดของหนัง ว่ากันว่าเปลี่ยนไปกว่า 90% เลยทีเดียว
เรื่องราวมีพื้นหลังปี 1898, Miss Giddens (รับบทโดย Deborah Kerr) หญิงสาวสวยโสด ได้รับงานเป็นพี่เลี้ยง (Governess) ดูแลเด็กกำพร้าสองคน Miles กับ Flora ณ คฤหาสถ์หลังใหญ่ในชนบทประเทศอังกฤษ ผ่านไปไม่ถึงวันเธอเริ่มเห็นชาย-หญิง แปลกหน้าเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวบ้าน สืบจนรู้ว่าคือผู้ดูแลคนก่อน Peter Quint กับ Miss Jessel ที่ต่างก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ราวกับว่าวิญญาณของพวกเขายังคงวนเวียนว่ายอยู่แถวนั่น เป้าหมายเหมือนจะต้องการเข้าสิงสถิตร่างของเด็กชายหญิงทั้งสอง เธอจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางป้องกันเหตุร้ายมิให้เกิดขึ้น
Deborah Kerr (1921 – 2007) นักแสดงหญิงสัญชาติ Scottish เจ้าของสถิติเข้าชิง Oscar: Best Actress ถึง 6 ครั้งแต่กลับไม่เคยได้สักรางวัล จนรับมอบ Honorary Award เมื่อปี 1994, ผลงานดัง อาทิ Black Narcissus (1947), Quo Vadis (1951), From Here to Eternity (1953), The King and I (1956), An Affair to Remember (1957) ฯ
Martin Stephens (เกิดปี 1949) นักแสดงเด็กสัญชาติอังกฤษ เล่นหนังเรื่องแรกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ มีผลงานหลายเรื่อง แต่พอโตขึ้นเป็นหนุ่มก็ออกจากวงการภาพยนตร์หายตัวไปเลย
รับบทเด็กชาย Miles ความที่ไม่มีพ่อให้เป็นแบบอย่างทำให้มีนิสัยเก็บกด เรียนรู้อะไรๆจากผู้ดูแล Peter Quint เลียนแบบความก้าวร้าว หัวรุนแรง พยายามคิดเหมือนผู้ใหญ่โตเกินวัย และเหมือนว่าเด็กชายจะมีความสนใจ รักใคร่กับ Miss Giddens (แต่ผมไม่แน่ใจเรื่องความต้องการทางเพศเท่าไหร่ คือไม่รู้ว่าเด็กขนาดนี้จะสามารถมีอารมณ์ได้หรือยังนะ แต่จากการที่มีแบบอย่าง คงรับรู้เห็น Peter Quint ร่วมรักกับ Miss Jessel ตัวเองคงมีความต้องการอยากทำแบบนั้นบ้าง)
Pamela Franklin (เกิดปี 1950) นักแสดงหญิงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Yokohama ประเทศญี่ปุ่น มาเติบโตที่ Far East พ่อเป็น importer/exporter ทำให้ต้องออกเดินทางไปหลายๆประเทศ, ด้วยความสนใจด้านการแสดง The Innocents คือภาพยนตร์เรื่องแรกตอนอายุ 11 โตขึ้นยังรับงานละครโทรทัศน์ควบคู่ไปด้วย ผลงานประสบความสำเร็จสูงสุดของเธอคือ The Prime of Miss Jean Brodie (1969) แต่พอได้แต่งงานก็ออกจากวงการ เปิดร้านขายหนังสือเล็กๆอยู่แถวๆ West Hollywood
“Oh, look, it’s a lovely spider and it’s eating a butterfly.”
เกร็ด: เหมือนว่าเพื่อนเล่นของเด็กหญิงที่เป็นเต่า จะเป็นสัญลักษณ์แทน Miss Jessel ตอนแรกรักเอ็นดู ทะนุถนอมมาก แต่พอขุ่นเคืองผิดใจ ตอนออกจากบ้านก็ทิ้งไว้แบบไม่สนใจนำไปด้วย
ถ่ายภาพโดย Freddie Francis ตากล้องสัญชาติอังกฤษ ที่ได้ร่วมงานกับ Clayton เรื่อง Room at the Top (1958), คว้า Oscar: Best Cinematographer สองครั้งจาก Sons and Lovers (1960), Glory (1989) ผลงานอื่นๆ อาทิ The Elephant Man (1980), Cape Fear (1991) ฯ
มีซีนหนึ่งที่ผมโคตรจะชอบเลย, ในฉากยามค่ำคืนขณะที่ Miss Giddens เดินถือเชิงเทียนขึ้นไปหาเด็กๆที่ห้อง จะมีเสียงเอ็ฟเฟ็กของ Peter Quint กับ Miss Jessel ดังกึกก้องขึ้น ขณะเดินมาถึงที่กระจกบานหนึ่งมีผ้าม่าน และลมแรงได้พัดให้ลูกปัดที่มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย กระแทกเข้ากับกระจกตรงพอดีจุดกึ่งกลาง (เหมือนอวัยวะเพศหญิง) ซึ่งเสียงที่ได้ยินก็จะเป็นจังหวะซีดซาด โอ๊กอ๊าก เหมือนคนกำลังมี Sex
ตัดต่อโดย Jim Clark สัญชาติอังกฤษ เจ้าของผลงานดังอย่าง Charade (1963), Marathon Man (1976), The Killing Fields (1984), The Mission (1986), The World Is Not Enough (1999) ฯ
ก่อนที่ 2001: A Space Odyssey (1968) จะกลายเป็นตำนานกับ 3 นาทีแรกที่มืดมิดมองอะไรไม่เห็น (ไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วยนะ) หนังเรื่องนี้กับ 45 วินาทีแรก จะได้ยินแต่เสียงแต่ไร้ภาพ ย่อมทำให้ใครๆร้องเห้ย! ภาพเสียรึเปล่าว่ะ! -บังเอิญผมกำลังชงโอวัลตินอยู่เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ หันกลับมาก็ปรากฎโลโก้ Fox ขึ้นแล้ว- เป็นความจงใจแบบกวนๆของผู้สร้าง คิดว่าไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไรเลยนะ
หนังใช้มุมมองของ Miss Giddens เล่าเรื่องผ่านสายตาเธอทั้งหมด ที่สามารถเห็นวิญญาณหรือภาพหลอนของ Peter Quint กับ Miss Jessel, เรื่องราวมีลักษณะดำเนินไปข้างหน้า ไม่มีการแทรกใส่ Flashback ย้อนอดีต แต่มีการซ้อนภาพหรือ Dissolve เพื่อแทนภาพจินตนาการเพ้อฝัน
เกร็ด: หนังมี ASL (Average Shot Length) ที่ 9.2 วินาที ถือว่าค่อนข้างนานทีเดียว
ขณะ Miss Giddens เหมือนกำลังนอนหลับเหมือนจะฝันร้าย แต่ภาพกลับค่อยๆ Dissolves สู่ทิวทัศน์อันสวยงามตอนเช้าวันใหม่, มีนัยยะถึงสิ่งที่เธอกำลังจะได้เจอต่อไป ฝันร้ายจากการมาอยู่สถานที่แห่งนี้
อีกครั้งขณะ Miss Giddens กำลังหลับฝัน ใช้การ Dissolves เห็นเป็นภาพซ้อนมากมาย สิ่งต่างๆที่ปรากฎขึ้นล้วนพบเจอเห็นมาก่อนแล้วทั้งนั้น อาทิ รูปภาพของ Peter Quint, การเต้นรำของ Flora กับ Miss Jessel, เด็กชายหญิงทั้งสองกระซิบกระซาบนินทา ฯ ทั้งหมดนี้เกิดจากการคิดมาก ครุ่นคิดไปเอง เห็นภาพหลอน วิตกจริง หรือเพราะ…
เพลงประกอบโดย Georges Auric นักแต่งเพลงสัญชาติฝรั่งเศส ขาประจำของ Jean Cocteau และ Erik Satie มีผลงานดังๆอย่าง Dead of Night (1945), Beauty and the Beast (1946), Orpheus (1950), Moulin Rouge (1952), The Wages of Fear (1953), Roman Holiday (1953) ฯ
Auric เป็นนักแต่งเพลงที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างบรรยากาศหลอนๆ ทะมึนๆ ช่วงแรกๆที่ผู้ชมยังไม่รู้ว่าหนังเป็นเกี่ยวกับอะไร เพลงประกอบก็มานุ่มๆเนิบๆ แต่พอมีคำพูดว่า He had the devil‘s own eye… หลุดออกมาจากปากสาวคนใช้ อยู่ดีๆก็มีเสียงเพลงชวนให้ขนหัวลุกดังขึ้นแวบหนึ่ง โดยสันชาติญาณของมนุษย์ คนส่วนใหญ่น่าจะเกิดความพิศวงสงสัย มันต้องมีอะไรบางสิ่งอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยทุนสร้าง £430,000 ปอนด์ หนังทำเงินได้เฉพาะในอเมริกาที่ $1.2 ล้านเหรียญ ไม่มีรายงานรายรับทั่วโลก แต่ดูแล้วน่าจะทำกำไรได้พอสมควร, เข้าชิง BAFTA Award 2 สาขา ไม่ได้รางวัล
– Best British Film
– Best Film from any Source
เกร็ด: ผู้กำกับ François Truffaut ครั้งหนึ่งได้พบเห็นผู้กำกับ Jack Clayton นั่งอยู่ในร้านอาหาร เขียนกระดาษใส่โน๊ตฝากไปส่งให้มีข้อความว่า
“The Innocents is the best British film since Alfred Hitchcock had left for America.”
มีหนังภาค Prequel เรื่องราวของ Peter Quint กับ Miss Jessel ก่อนถึงจุดเริ่มต้นหนังเรื่องนี้ชื่อ The Nightcomers (1972) กำกับโดย Michael Winner นำแสดงโดย Marlon Brando, ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ใครเป็นแฟนๆนิยายเรื่องนี้ไม่ควรพลาด
ผู้กำกับ Martin Scorsese ยกย่องหนังเรื่องนี้ Scariest Horror Movies Of All Time สูงถึงอันดับที่ 1, ผลงาน Masterpiece ของผู้กำกับ Robert Wise สร้างขึ้นระหว่าง West Side Story (1961) กับ The Sound of Music (1965) บรรยากาศและความสวยงามระดับวิจิตรของบ้านผีสิงหลังนี้ จะทำให้คุณหลอนจับใจ
วันก่อนผมไปค้นเจอ 11 หนังแนว Horror ที่มีความหลอกหลอนน่าสะพรึงกลัวที่สุด จัดอันดับโดยผู้กำกับชื่อดัง Martin Scorsese ประกอบด้วย
1. The Haunting (1963) กำกับโดย Robert Wise
2. Isle of the Dead (1945) นำแสดงโดย Boris Karloff
3. The Uninvited (1944) ถ่ายภาพโดย Charles Lang ได้เข้าชิง Oscar: Best Cinematography, Black and White
4. The Entity (1981)
5. Dead Of Night (1945)
6. The Changeling (1980) นำแสดงโดย George C. Scott
7. The Shining (1980) กำกับโดย Stanley Kubrick นำแสดงโดย Jack Nicholson
8. The Exorcist (1973) กำกับโดย William Friedkin
9. Night Of The Demon (1957) กำกับโดย Jacques Tourneur
10. The Innocents (1961) นำแสดงโดย Deborah Kerr
11. Psycho (1960) กำกับโดย Alfred Hitchcock
Robert Earl Wise (1914 – 2005) ผู้กำกับ นักตัดต่อสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Winchester, Indiana งานอดิเรกตั้งแต่เด็กคือรับชมภาพยนตร์ โตขึ้นตั้งใจจะเป็นนักข่าว แต่เพราะครอบครัวฐานะยากจนทำให้ไม่สามารถส่งเสียเรียนจนจบได้ ตัดสินมุ่งสู่ Hollywood เริ่มต้นจากเป็นเด็กกวาดพื้น ชงกาแฟ ส่งเอกสาร ต่อมาเป็น Sound/Music Editor ให้กับสตูดิโอ RKO เรื่อง The Gay Divorcee (1934), Top Hat (1935), The Informer (1935) ฯ กลายเป็นนักตัดต่อให้กับ The Hunchback of Notre Dame (1939), Citizen Kane (1941), The Magnificent Ambersons (1942) ฯ กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก The Curse of the Cat People (1944) แทนที่ผู้กำกับคนเดิมคือ Gunther von Fritsch
Wise เป็นผู้กำกับที่เติบโตขึ้นในระบบสตูดิโอ ต้องถือว่าโชคดีมากๆด้วยเพราะได้เคยร่วมงานเป็นนักตัดต่อหนังของอัจฉริยะ Orson Welles ถึงสองเรื่อง นั่นทำให้เขาเรียนรู้พัฒนาตัวเองขึ้นกลายเป็นผู้กำกับยอดฝีมือ ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถคว้าทั้ง Oscar: Best Picture และ Best Director ได้ถึงสองครั้งคราจาก West Side Story (1961) และ The Sound of Music (1965) ผลงานอื่นๆที่ขึ้นหิ้งระดับคลาสสิก อาทิ The Day the Earth Stood Still (1951), I Want to Live! (1958), The Sand Pebbles (1966), The Andromeda Strain (1971), Star Trek: The Motion Picture (1979) ฯ
สไตล์ภาพยนตร์ของ Wise เน้นการสื่อสารต่อติดกับผู้ชม นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจ ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวมาอย่างดีครอบคลุมทุกรายละเอียด แฝงคุณธรรมศีลธรรม และไม่ยึดติดกับแนวหนัง ขึ้นอยู่กับความสนใจของตนเองในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งถ้าทำการแยกแยะจะพบว่ามีความหลากหลายแนว อาทิ Horror, Film Noir, Western, Wars, Sci-Fi, Musical และ Drama ซึ่งก็ล้วนประสบความสำเร็จแทบทั้งหมด
ช่วงขณะ Post-Production ของ West Side Story ผู้กำกับ Wise ได้มีโอกาสอ่านนิยายเรื่อง The Haunting of Hill House (1959) ของนักเขียนหญิงสัญชาติอเมริกา Shirley Jackson เกิดความหลอนสะพรึงที่ตราติดตรึงใจอย่างมาก จึงได้ส่งต่อให้กับนักเขียน Nelson Gidding ที่เคยร่วมงานกันเรื่อง I Want to Live! (1958) เป็นผู้ดัดแปลงบทภาพยนตร์
“I was reading one of the very scary passages — hackles were going up and down my neck — when Nelson Gidding… burst through the door to ask me a question. I literally jumped about three feet out of my chair. I said, ‘If it can do that to me sitting and reading, it ought to be something I want to make a picture out of’.”
– Robert Wise พูดถึงการได้พบเจอนิยาย The Haunting of Hill House
ซึ่งระหว่างที่พัฒนา Treatment อยู่นั้น Gidding ได้เกิดความเข้าใจต่อนิยายว่ามีลักษณะเป็น ความผิดปกติทางจิตของตัวละคร Eleanor Vance เมื่อนำแนวคิดนี้ไปปรึกษากับนักเขียน Jackson เธอก็เกิดความสนใจเห็นชอบด้วย แต่ยืนกรานว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยายตามความตั้งใจเป็นเรื่องราวเหนือธรรมชาติล้วนๆ, ด้วยเหตุนี้ Gidding จึงทำการผสมผสานทั้งสองแนวคิดเข้าด้วยกัน ไม่ให้ข้อสรุปที่แน่นอน ก็แล้วแต่ว่าผู้ชมจะมองเห็นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติล้วนๆ/หรือจิตวิเคราะห์ผู้ป่วยโรคประสาท นี่ทำให้ชื่อนิยายไม่เหมาะสมจะกลายเป็นชื่อหนังเท่าไหร่ Jackson คือคนที่แนะนำ The Haunting คำความกว้างๆ ตีความได้ทั้งบ้านที่หลอนหลอน หรือจิตใจของหญิงสาวที่ครุ่นคิดมโน เพ้อไปเอง
เกร็ด: นิยายเรื่อง The Haunting of Hill House ได้รับการยกย่องว่า ‘Best Literary Ghost Stories of 20th Century’ (นิยายเรื่องเล่าผียอดเยี่ยมสุดในศตวรรษที่ 20), เช่นกันกับนักเขียนนิยาย Horror ชื่อดัง Stephen King ยกย่องว่า ‘finest horror novels of the late 20th century.’
ในช่วงพัฒนาบทภาพยนตร์ ผู้กำกับ Wise ให้อิสระกับ Gidding ในการดัดแปลงอย่างเต็มที่ แทบไม่เข้ามายุ่งจุ้นจ้านแก้ไขอะไร นอกเสียจากติดตามความคืบหน้าของงาน พูดคุย direction ที่ตนเองต้องการ ซึ่งพอบทหนังเขียนเสร็จ Wise ก็สิ้นงาน West Side Story พอดี นำไปเสนอ United Artists แต่เพราะความล่าช้าในข้อตกลงเป็นปีๆ ทำให้ Wise กำกับสร้าง Two for the Seesaw (1962) เสร็จอีกเรื่อง เลยตัดสินใจเปลี่ยนสตูดิโอเป็น MGM ได้ทุน $1 ล้านเหรียญ ซึ่งคงไม่เพียงพอแน่ถ้าจะถ่ายทำในอเมริกา เดินทางไปประเทศอังกฤษที่พร้อมอ้าแขนรับ ลดภาษีค่าใช้จ่ายให้พร้อมแลกกับการขึ้นเครดิตว่า สร้างขึ้นที่ British Film Industry (BFI)
Richard Keith Johnson (1927 – 2015) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Upminster, Essex โตขึ้นเข้าเรียนที่ Royal Academy of Dramatic Art จบมาเป็นนักแสดงละครเวที ช่วงหลังสงครามโลกสมัครเป็นทหารเรือ แสดงหนังเรื่องแรก Captain Horatio Hornblower (1951)
รับบท Dr. John Markway ชายผู้มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ มีความคิดเป็นเอกเทศ ยึดมั่นในหลักวิทยาศาสตร์ ต้องการใช้ข้อพิสูจน์การมีตัวตนของเรื่องเหนือธรรมชาติ เพื่อแสดงการมีตัวตนของตนเอง (ให้ได้รับการยอมรับจากครอบครัว) โดยเขามีความเชื่อ/ทฤษฎีหนึ่งที่ว่า ‘ถ้าวิญญาณทั้งหลายมีต้นกำเนิดมาจากมนุษย์ มันจะทำให้พื้นฐานธรรมชาติ ความคิดเข้าใจของเราเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก’
“You see, if ghosts, which are pure spirit, come from man … then perhaps it’s possible someday to have individuals whose spiritual caliber far surpasses anything humanity has yet known.
Human nature could certainly stand some improvements.”
Julia Ann ‘Julie’ Harris (1925 – 2013) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา เจ้าของสถิติเข้าชิง 10 รางวัล Tony Award (คว้ามา 5 ครั้ง **เคยเป็นเจ้าของสถิติแต่ถูกทำลายไปแล้ว), 3 รางวัล Emmy และ Grammy แต่ไม่เคยคว้า Oscar สักครั้ง
เกิดที่ Grosse Pointe, Michigan โตขึ้นเข้าเรียนการแสดงที่ Perry-Mansfield Performing Arts School & Camp ใน Colorado มีอาจารย์ Charlotte Perry ที่ต่อมาแนะนำให้เธอเข้าเรียน Yale School of Drama, เริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงละครเวที ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก The Member of the Wedding (1952) ที่ทำให้ได้เข้าชิง Oscar: Best Actress ครั้งแรกและครั้งเดียว ตามมาด้วย East of Eden (1955) ประกบ James Dean
รับบท Eleanor ‘Nell’ Lance ความต้องการที่จะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง มีเป็นของตัวเอง ไม่ต้องการพึ่งพาผู้อื่น ทำให้เธอตัดสินใจขโมยรถ(ของตัวเอง) ขับตรงดิ่งมาที่ Hill House ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่ากำลังจะได้พบเจออะไร แต่คิดตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวนี่แหละบ้านใหม่ของฉัน ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ขอหวนกลับคืนออกไปจากคฤหาสถ์หลังนี้อย่างเด็ดขาด
ผมคิดว่าตัวละครนี้เป็น Bi-Sexual/Multi-Sexual คือเอาได้หมดทั้งชายหญิง, กับ Dr. Markway ออกนอกหน้าค่อนข้างชัด แต่กับ Theo ต้องสังเกตเอาหน่อยก็จะพอมองออกพบเห็นได้, เช่นกันกับคฤหาสถ์หลังนี้ ก็ถือเป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่งได้เช่นกัน
ในการรับบทตัวละครนี้ Harris พยายามที่จะปลีกตัว รักษาระยะห่างกับเพื่อนร่วมงานทุกคน ไม่ใช่ว่าเป็นคนหยิ่งยโสโอหังประการใด ซึ่งภายหลังได้อธิบายบอกกับ Claire Bloom มอบของขวัญขอโทษ แล้วพูดเล่าถึงวิธีการเข้าถึงตัวละครของตน ต้องการสร้างสถานการณ์ให้กับตนเองอย่างสมจริง … วิธีการสวมบทบาทตัวละครทั้งในและนอกจอมีนักแสดงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ อาทิ Daniel Day-Lewis ฯ ก็ว่าอยู่ ชื่อของเธอไม่คุ้นหูผมเท่าไหร่ แต่ได้เข้าชิง 10 รางวัล Tony Award ต้องไม่ธรรมดาจริงๆ
Patricia Claire Blume (เกิดปี 1931) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Finchley, London, โตขึ้นเข้าเรียนการแสดงที่ Guildhall School ภายใต้ Eileen Thorndike ตามด้วย Central School of Speech and Drama เริ่มต้นจากมีผลงานละครเวที ได้รับการค้นพบโดย Charlie Chaplin เรื่อง Limelight (1952)
รับบท Theodora ‘Theo’ เลสเบี้ยนสาวที่มีความชื่นชอบ ตกหลุมรักแรกพบกับ Eleanor ภายนอกมีความเข้มแข็งแกร่งเยือกเย็น แต่ภายในกลับอ่อนแอ ขี้ตระหนกตกใจง่าย, คำพูดของเธอมีความสองแง่สองง่ามอยู่ตลอด อาทิ
– Eleanor: “We are going to be great friends Theo!”, Theo: “Like sisters?” (พี่น้องท้องติดกัน?)
– Eleanor: “I’d like to drink to just us… good companions.”, Theo: “Excellent! … To my new companion!” (แด่…คู่ขาคนใหม่)
– Theo: “If you feel in the least bit nervous, just run right into my room.”
– Theo: “Don’t get all hung up, Nell. We’ll have fun … like sisters!”
Russell Irving Tamblyn (เกิดปี 1934) นักแสดง นักเต้นสัญชาติอเมริกัน ที่เคยร่วมงานกับ Wise ก่อนหน้านี้ West Side Story รับบทเป็น Riff ผู้นำของ Jets Gang ผลงานเด่นอื่นๆอาทิ Seven Brides For Seven Brothers (1954), Peyton Place (1957) [เข้าชิง Oscar: Best Supporting Actor], The War of the Gargantuas (1966) ฯ
รับบท Luke Sanderson ชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาด้วยความสะดวกสบาย ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย ไร้สาระ ไม่เอาใจใส่อะไร เพราะความที่คงไม่เคยพบความยากลำบากในชีวิต เลยไม่เข้าใจความทุกข์ยาก เหน็ดเหนื่อยของผู้อื่น
ภาพแรก Opening Credit ของหนัง Hill House ใช้การถ่ายภาพตอนกลางคืนด้วย Infrared Film ทำให้เห็นเป็นเงาดำทะมึนของคฤหาสถ์หลังนี้ เป็นการบ่งบอกถึงอดีตอันมืดมิดของคฤหาสถ์หลังนี้ เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
ขณะที่ Eleanor ขับรถเข้ามาใน Hill House ช็อต Close-Up ในดวงตาจะมีแสงไฟ 2 ดวง ราวกับคฤหาสถ์หลังนี้กำลังจ้องมองเธออยู่
ตัดต่อโดย Ernest Walter ชาว Wales ที่มีผลงานดังอย่าง Operation Crossbow (1965), The Private Life of Sherlock Holmes (1970) and Nicholas and Alexandra (1971) ฯ
นอกจาก Prologue ที่เป็นเสียงบรรยายเล่าประวัติความเป็นมาของคฤหาสถ์ Hill House หลังนี้โดย Dr. John Markway ส่วนที่เหลือของหนังจะเป็นมุมมอง ในสายตา เสียงบรรยายความคิด/ความรู้สึกของหญิงสาว Eleanor Lance เรียกได้ว่าเข้าไปในหัวสมองของเธอเลยละ
การเสียชีวิตของ Eleanor ทำให้เกิดข้อถกเถียงของตัวละครที่เหลือรอดชีวิต
– Theo: “She did kill her. Seeing her is what made Eleanor lose control of the car.”
– Luke: “It wasn’t your fault. Eleanor did it to herself.”
– Dr. Markway: “There was something in the car with her, I’m sure of it.”
จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ มาจากความต้องการของ Christopher Lee หลังจากความสำเร็จอันล้นหลามจนน่าเบื่อหน่ายในการรับบท Count Dracula นับครั้งไม่ถ้วน คงถึงเวลาสักทีต้องสลัดภาพลักษณ์เดิม ย่างเท้าก้าวเดินต่อเสียที พบเจอกับนักเขียน Anthony Shaffer ผู้กำกับ Robin Hardy และโปรดิวเซอร์ Peter Snell ของสตูดิโอ British Lion ร่วมมือกันพัฒนาโปรเจคหนังเรื่องใหม่ให้กับ Lee โดยเฉพาะ มันคงเป็นความสนุกไม่น้อยที่จะนำความเชื่อเก่าๆ ‘old religion’ มีความเชยล้าหลัง มานำเสนอ สะท้อน ตีแผ่ ให้ผู้ชมยุคสมัยใหม่เกิดความหวาดหวั่นวิตก สั่นสะท้าน น่าสะพรึงกลัว
Shaffer พบเจอนิยายเรื่อง Ritual (1967) ของนักเขียนสัญชาติอังกฤษ David Pinner เรื่องราวของตำรวจหนุ่มคนหนึ่ง ผู้อุทิศตนให้กับศาสนาคริสต์ ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปยังหมู่บ้านเก่าแก่แห่งหนึ่ง เพื่อสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ฆาตกรรม อันเกิดจากพิธีกรรมบูชายัญ, เดิมนั้น Pinner ตั้งใจเขียนเรื่องราวนี้เป็น Treatment ให้กับผู้กำกับ Michael Winner สำหรับสร้างภาพยนตร์ วางนักแสดงนำคือ John Hurt แต่ Winner กลับบอกปัดปฏิเสธ ทำให้เปลี่ยนความสนใจมาพัฒนาเขียนนิยายแทน,
ลัทธินอกศาสนาเซลต์ (Celtic Paganism) เป็นความเชื่อและวิถีปฏิบัติของผู้คนในยุค Iron Age แถบ Western Europe (ชาว Celts) ช่วงระหว่าง 500 B.C.E. ถึง 500 C.E. รับอิทธิพลเต็มๆในยุคสมัย Roman Era นับถือพระเจ้าหลายองค์ เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณ และพิธีบูชายัญ
A Wicker Man (มนุษย์จักสานขนาดใหญ่ ทำจากไม้ willow) เป็นความเชื่อหนึ่งของ Celtic Paganism ที่รับอิทธิพลมาจากโรมันตั้งแต่ยุคสมัยของ Cicero, Julius Caesar, Suetonius, Lucan มีลักษณะเหมือน propaganda ชวนเชื่อให้เหล่าประเทศเมืองขึ้นเหล่านี้ ยึดถือปฏิบัติบูชาพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่เคยมีหลักฐานในช่วงแรกๆว่ามีการนำมนุษย์บูชายัญใส่เข้าไปใน Wicker Man เลยนะครับ
ในหนังสือจดหมายเหตุ Commentarii de Bello Gallico (น่าจะช่วงประมาณ 58–49 B.C.E.) เขียนโดย Julius Caesar ขณะทำสงครามรุกรานฝรั่งเศส อ้างถึงชนเผ่าพื้นเมืองหนึ่ง เวลาประหารชีวิตนักโทษข้อหาหนักๆ จะจับใส่มนุษย์จักสารด้วยกิ่งไม้ขนาดยักษ์ แล้วเผาให้ตายทั้งเป็น … นี่ไม่เกี่ยวกับการบูชายัญเลยนะครับ
Robin St. Clair Rimington Hardy (1929 – 2016) นักเขียน/ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Surrey เดินทางไปศึกษางานศิลปะที่ Paris แล้วไปทำงานละครโทรทัศน์ที่อเมริกา กลับมาอังกฤษร่วมกับเพื่อนสนิท Anthony Shaffer ทำโฆษณาโทรทัศน์ หนังเรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก
Hardy เป็นผู้กำกับที่ไม่ได้มีความกระตือลือล้นมากในการสร้างภาพยนตร์มากนัก ทั้งชีวิตมีผลงานเพียง 3 เรื่อง ประกอบด้วย The Wicker Man (1973), The Fantasist (1986) และ The Wicker Tree (2011) [ภาคต่อ The Wicker Man] เคยมีความตั้งใจสร้าง The Wrath of the Gods เมื่อปี 2015 เพื่อปิดไตรภาค The Wicker Man ใช้การระดมทุนสร้าง (Crowdfunding) แต่ไม่ประสบความสำเร็จทำให้ต้องล้มเลิกความตั้งใจ และ Hardy เสียชีวิตในปีถัดมา
Edward Albert Arthur Woodward (1930 – 2009) นักร้อง นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Croydon, Surrey หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าร่วมกับ Royal Academy of Dramatic เป็นนักแสดงละครเวที มีผลงานเด่นๆมากมาย, ภาพยนตร์เรื่องแรก Where There’s a Will (1955) ได้รับการจดจำจาก The Wicker Man (1973) คว้า Golden Globe Award: Best Actor in a Television Series เรื่อง Drama The Equalizer (1985)
สำหรับบทบาทนี้ ผู้กำกับ Hardy มีความต้องการ Michael York, นักเขียน Shaffer มีภาพ David Hemmings, Christopher Lee ติดต่อ Peter Cushing, ส่วนโปรดิวเซอร์ Snell กลับเลือก Woodward เพราะความชื่นชอบส่วนตัว,
Sir Christopher Frank Carandini Lee (1922 – 2015) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Belgravia, London เจ้าของบทบาท Count Dracula ให้กับ Hammer Film Productions (สตูดิโอฝั่งอังกฤษ), Francisco Scaramanga ตัวร้ายใน James Bond ภาค The Man with the Golden Gun (1974), พ่อมดขาว Saruman ในไตรภาค The Lord of the Rings กับ The Hobbit, และ Count Dooku ในภาค 2-3 Star Wars Prequel Trilogy
“I think I could turn and live with animals, they are so placid and self-contain’d, I stand and look at them long and long.
They do not sweat and whine about their condition, They do not lie awake in the dark and weep for their sins, They do not make me sick discussing their duty to God, Not one is dissatisfied, not one is demented with the mania of owning things, Not one kneels to another, nor to his kind that lived thousands of years ago, Not one is respectable or unhappy over the whole earth.”
– Walt Whitman (1819 – 1892) จากหนังสือ Leaves of Grass: The Death-Bed Edition (1855)
(ส่วนที่ขีดกลาง คือที่ตัดออกไปในหนัง)
ถ่ายภาพโดย Harry Waxman ตากล้องมากฝีมือสัญชาติอังกฤษ, หนังถ่ายทำยังสถานที่จริง ประเทศ Scotland อาทิ Gatehouse of Fleet, Newton Stewart, Kirkcudbright, Galloway, Creetown ที่ Dumfries, Plockton ที่ Ross-shire, Wookey Hole ใน Somerset, Burrow Head ฯ
งานภาพมีความโดดเด่นเรื่องมุมกล้องก้ม-เงย ทิศทาง direction และองค์ประกอบที่เป็นพื้นหลัง สอดคล้องรับกับเรื่องราวและแฝงนัยยะสำคัญบางอย่าง, ไฮไลท์อยู่ช่วงท้าย การเผาไหม้ Wicker Man วินาทีที่ส่วนหัวพังทลายลงมา กล้องซูมเข้าไปที่พระอาทิตย์กำลังตกดินริมขอบฟ้าได้อย่างพอดิบพอดี แถมเครดิตที่ขึ้นมาจบตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้เปะๆเลยนะ เห็นแล้วชวนให้ขนลุกซู่ คำนวณประมาณการกันอย่างพอดิบพอดี
สำหรับ Wicker Man ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดชื่อ The Wicker Image ไม่รู้ใครวาด จัดแสดงในงาน Britannia Antiqua Illustrata (1676) รวบรวมโดย Aylett Sammes (มีชีวิตช่วงประมาณ 1636–1679) นักสะสมโบราณวัตถุ สัญชาติอังกฤษ
มีหลายบทเพลงเพราะๆที่อยากนำมาฝากกัน แต่ขอเลือกแค่ 2-3 เพลงที่น่าสนใจ Gently Johnny นี่คือตอนที่ชายหนุ่ม Johnny ได้รับโอกาสให้ขึ้นห้องของ Willow (ลูกสาวเจ้าของบ้าน) นี่เป็นบทเพลงที่แสนหวาน ลุ้นให้กำลังใจเชียร์ ค่ำคืนนี้ขอให้สุขสมหวังในรัก
Willow’s Song หรือที่มักรู้จักกันในชื่อ The Wicker Man Song ขับร้องโดย Rachel Verney นี่เป็นบทเพลงที่หญิงสาวห้องข้างๆ พยายามใช้เวทย์มนต์คาถา (เสียงร้องและการดิ้นไปดิ้นมา) ชักจูง Howie ที่อยู่ห้องข้างๆให้เกิดกิเลส แต่เขากลับสามารถฝืนทนเอาชนะได้อย่างทุกข์ทรมาน
สำหรับบทเพลงสุดท้ายที่แทบทุกคนในหนังขับร้องกัน (ยกเว้น Howie) ชื่อเพลง Sumer Is Icumen In (แปลว่า Summer Canon, Cuckoo Song, Summer Has Come In, Summer Has Arrived, ฤดูร้อนกำลังมาถึง) เป็นบทเพลงในยุค Medieval ช่วงศตวรรษที่ 13 เป็นภาษา Wessex ของ Middle English ชาวอังกฤษอาจฟังออกนะครับ เหมือนภาษาเหนือ/อีสาน/ใต้ บ้านเรา
พิธีกรรมบูชายัญ The Wicker Man มีจุดประสงค์เพื่อเฉลิมฉลอง อธิษฐานขอพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยเรื่องผลผลิต การเก็บเกี่ยว มีความอุดมสมบูรณ์ (ว่าไปก็คล้าย พืชมงคล) สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้คน จัดสืบต่อมาเป็นระยะเวลานาน ก็ประสบความสำเร็จร่ำไป แต่ปีล่าสุดเพราะความแห้งแล้งย่างกรายเข้ามา จึงมีความเชื่อว่าอาจต้องใช้ ‘มนุษย์’ เป็นเครื่องสังเวยตามแบบโบราณกาล … ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะสัมฤทธิ์ผลหรือเปล่า
คำว่า Wicker แปลว่า เครื่องจักสาน, ส่วนคำว่า Wicked แปลว่า ความชั่วร้าย … เชื่อว่าหลายคนคงเกิดความสับสนอย่างแน่นอน เพราะชื่อหนังเรื่องนี้ The Wicker Man เป็นการพูดถึง มนุษย์จักสานขนาดใหญ่ ที่ปรากฎตัวออกมาช่วงท้าย ไม่ได้มีนัยยะถึงตัวละคร Lord Summerisle ของ Christopher Lee ว่ามีความชั่วร้ายกาจ แต่พฤติกรรมการแสดงออกของเขามีความ Wicked Man อยู่พอสมควร
เหตุผลจริงๆที่ผมชื่นชอบหนังเรื่องนี้คือ กลิ่นอาย สัมผัส บรรยากาศของหนัง ภาพสวยเพลงเพราะ มีความเป็น Scottish ที่จับต้องได้ คล้ายกับ The Quite Man (1952) ของผู้กำกับ John Ford ที่สามารถถ่ายทอดบรรยากาศของชาว Irish ออกมาได้อย่างสวยงามหมดจรด
แนะนำกับคอหนัง Horror, Mystery, Suspense แฝงนัยยะการใช้ชีวิต พิสูจน์ศรัทธากับศาสนา(คริสต์), นักกวี จิตรกร นักดนตรี ผู้ชื่นชอบกลิ่นอายของดินแดน Scottish, แฟนๆนักแสดง Christopher Lee ไม่ควรพลาด
ดัดแปลงจากนิยายเรื่องแรกของ Stephen King ที่ได้สะท้อนความหวาดสะพรึงกลัวของอิสตรีเพศออกมา, เรื่องราวของเด็กหญิงสาวแรกรุ่น Carrie ถูกเพื่อนหัวเราะเยาะเย้ยจากการมีประจำเดือนครั้งแรก กลั่นแกล้งหลอกให้ตายใจสารพัด แต่เลวร้ายที่สุดคือทำให้อับอายขายหน้าในค่ำคืน Prom Night เธอจึงได้แสดงบางสิ่งอย่างออกมาที่จะทำให้คุณหัวเราะไม่ออก
Brian Russell De Palma (เกิดปี 1940) ผู้กำกับสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Newark, New Jersey ครอบครัวมีเชื้อสาย Italian ตั้งแต่เด็กมีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์ เคยคว้ารางวัล Science-Fair จากโปรเจค ‘An Analog Computer to Solve Differential Equations’ เข้าเรียน Columbia University สาขาฟิสิกส์ แต่พอได้รับชม Citizen Kane (1941) และ Vertigo (1959) เกิดความหลงใหลคลั่งไคล้ในภาพยนตร์ เข้าเรียน Sarah Lawrence College โรงเรียนหญิงล้วนที่เพิ่งเปิด Coed ปีแรกๆ De Palma เป็นหนึ่งในผู้ชายไม่กี่คน รายล้อมด้วยหญิงสาววัยรุ่นมากมาย
เริ่มมีผลงานหนังทุนสร้างต่ำ ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 60s แต่กว่าจะได้ออกฉาย Murder a la Mod (1968), Greetings (1968) เริ่มสร้างหนัง Hollywood จาก Get to Know Your Rabbit (1972) ได้รับคำวิจารณล้นหลามเรื่อง Sisters (1973) ถือเป็นทศวรรษแห่ง American New Wave รุ่นเดียวกับ Francis Ford Coppola, Martin Scorsese, John Carpenter, Paul Schrader, Steven Spielberg ฯ
ประมาณปี 1975, De Palma ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนคนหนึ่งให้อ่านนิยายเรื่อง Carrie (1974) เขียนโดย Stephen King ที่ตอนนั้นยังไม่มีชื่อเสียงใดๆ เกิดความชื่นชอบประทับใจอย่างมาก พยายามค้นหาว่ามีใครซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงหรือยัง ใช้เวลากว่า 6 เดือนถึงได้พบตัวโปรดิวเซอร์ Paul Monash รีบเข้าไปพูดคุยแสดงความสนใจ ก็พบว่าโปรเจคอยู่ในขั้นตอนการเขียนบทแล้ว ใช้เส้นสายเล็กน้อยกับ United Artists ทำให้ได้รับโอกาสกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้
เกร็ด: Carrie เป็นนิยายเรื่องแรกของ King ที่ได้รับการดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์
Carrie เป็นนิยายเรื่องที่ 4 ของนักเขียนสัญชาติอเมริกา Stephen King แต่เป็นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ โดยสำนักพิมพ์ Doubleday วางขายวันที่ 5 เมษายน 1974, แรงบันดาลใจของนิยายเรื่องนี้ เป็นคำท้าทายจากผู้หญิง (ไม่แน่ใจว่าภรรยาของเขาหรือเปล่า)
“You write all those macho things, but you can’t write about women.”
King รับคำท้าทาย พัฒนาเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีพลังจิต(เคลื่อนย้ายสิ่งของได้) ขณะพบว่าตัวเองมีประจำเดือนครั้งแรก เพื่อนๆกลับหัวเราะเยาะเย้ย โยนผ้าขนหนูใส่, หลังจากเขียนฉากอาบน้ำได้ 3-4 หน้า ก็ตัดสินใจขยำโยนทิ้งถังขยะ, ภรรยาของ King คงได้หยิบอ่านขณะกำลังนำขยะไปทิ้ง มีความชื่นชอบสนใจ เลยให้กำลังใจเขาเขียนต่อ ช่วยเหลือแนะนำเรื่องราวในมุมมองของหญิงสาว
“I persisted because I was dry and had no better ideas… my considered opinion was that I had written the world’s all-time loser.”
ขณะที่ King เขียนนิยายเล่มนี้ ยังทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ Hampden Academy และรับงาน part-time เฝ้าถังซักผ้า มีชีวิตดิ้นรนลำบากยากแค้น แต่ทันทีที่หนังสือได้รับการตีพิมพ์ ปีแรกมียอดขายกว่า 1 ล้านฉบับ ก็ตัดสินใจลาออกมาทุ่มเวลาให้กับการเขียนทันที
ปีถัดมา King ได้รับการติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ โดยได้รับเงินเพียง $2,500 เหรียญ น้อยมากเมื่อเทียบกับความสำเร็จของหนัง กระนั้นเขาก็ไม่มีความเสียใจหรือเรียกร้องอะไรเพิ่ม
“I was fortunate to have that happen to my first book,”
เพราะหนังเรื่องนี้ได้ทำให้ชื่อของ Stephen King เป็นที่รู้จักไปทั่วอเมริกา(และทั่วโลก) นิยายขายดีติดอันดับ หลายๆเรื่องได้รับความสนใจ ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงต่างๆมากมาย
Carietta ‘Carrie’ White (รับบทโดย Sissy Spacek) หญิงสาวอายุ 16 ปี อาศัยอยู่ Chamberlain, Maine ร่วมกับแม่ Margaret (รับบทโดย Piper Laurie) ผู้คลั่งไคล้ศาสนาอย่างขีดสุด พยายามเสี้ยมสอน ปลูกฝังความหวาดกลัวเกี่ยวกับเลือดและผู้ชาย แต่ Carrie กลับคิดรู้สึกตรงกันข้าม กระนั้นก็ทำให้เธอไม่ค่อยมีเพื่อนที่โรงเรียน เป็นศัตรูกับ Chris Hargensen (รับบทโดย Nancy Allen) ที่จองล้างจองผลาญทุกอย่าง ขณะเดียวกัน Sue Snell (รับบทโดย Amy Irving) เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ต้องการผูกสนิทเป็นเพื่อนกับเธอ
Mary Elizabeth ‘Sissy’ Spacek (เกิดปี 1949) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Quitman, Texas ตอนอายุ 6 ขวบได้ขึ้นแสดงละครเวทีโรงเรียนครั้งแรก มีความชื่นชอบหลงใหลจึงตัดสินใจเป็นนักแสดง ตอนเรียนมัธยมที่ Quitman High School งาน Prom Night ได้รับเลือกเป็น Homecoming Queen เข้าเรียนการแสดงที่ Actors Studio กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของโรงงาน Andy Warhol มีชื่อเสียงโด่งดังจาก Badlands (1973) ผลงาน debut ของผู้กำกับ Terrence Malick, คว้า Oscar: Best Actress จากเรื่อง Coal Miner’s Daughter (1980) ผลงานเด่น อาทิ 3 Women (1977), Raggedy Man (1981), Missing (1982), The River (1984), Crimes of the Heart (1986), JFK (1991), In the Bedroom (2001), The Help (2011) ฯ
การแสดงของ Laurie ระดับ Oscar เลยนะครับ (อย่างน้อยก็ได้เข้าชิง) เหมือนว่า Stephen King จะเชี่ยวชำนาญการเขียนตัวละครประเภท คลั่งศาสนาเป็นอย่างมาก (The Mist ก็อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเคยเห็น) และนักแสดงที่รับบท สามารถทำให้คนคลื่นไส้ รังเกลียดต่อต้านได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน, สายตาเงยมองด้านบน ปากพ่นพึมพัมคำสอน นี่มันการล้างสมองชัดๆ
Amy Davis Irving (เกิดปี 1953) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา ภรรยาคนแรกของผู้กำกับ Steven Spielberg เห็นว่าพบรักกันในกองถ่ายหนังเรื่องนี้ เกิดที่ Palo Alto, California ทั้งพ่อและแม่เป็นนักแสดง ทำให้ Irving เริ่มต้นการแสดงตั้งแต่อายุ 9 เดือน โตขึ้นเข้าเรียนที่ American Conservatory Theater ตามด้วย London Academy of Music and Dramatic Art มีผลงาน Off-Broadway ตอนอายุ 17, สำหรับภาพยนตร์ไป Audition ได้บท Princess Leia ใน Star Wars (1976) แต่ผู้กำกับ De Palma ขอแลกเธอกับผู้กำกับ George Lucas เพราะ Carrie Fisher ที่ได้บทในหนังเรื่องนี้ กลับไม่ยอมเล่นฉากเปลือย (ถือเป็นส้มหล่นของ Fisher ไปนะครับ)
รับบท Sue Snell แม้ตอนแรกจะเป็นหนึ่งในผู้กลั่นแกล้ง Carrie แต่ก็สำนึกกลับตัวได้ ต้องการเป็นเพื่อนเธอจากใจจริง ร้องขอให้แฟนหนุ่ม Tommy Ross ชักชวนเธอให้เป็นคู่เดท Prom Night คงเพราะมโนธรรมข้อนี้กระมังที่ทำให้เธอกลายเป็น …
De Palma เป็นเพื่อนสนิทรุ่นเดียวกับ Steven Spielberg เอ่ยปากชักชวนให้มาเยี่ยมกองถ่ายบ่อยๆ เพราะมีสาวๆอยู่เต็มไปหมด Spielberg มาแล้วก็เอ่ยปากชักชวนหญิงสาวทุกคนออกเดท แต่มีเพียง Irving คนเดียวเท่านั้นที่ยินยอมไปด้วย ทั้งคู่แต่งงานกันปี 1985 หย่าขาดปี 1989
Nancy Allen (เกิดปี 1950) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา ภรรยาคนแรกของผู้กำกับ Brian De Palma เกิดที่ The Bronx, New York City พ่อเป็นผู้หมวดที่ Yonkers ด้วยความขี้อายตั้งแต่เด็ก แม่จับเธอเข้าโรงเรียนสอนการเต้นตั้งแต่อายุ 4 ขวบ พัฒนาขึ้นเป็นความสนใจ เข้าเรียน High School of Performing Arts ตามด้วย Jose Quintano’s School for Young Professionals แต่จบออกมากลายเป็นนักแสดง มีผลงานตัวประกอบเล็กๆเรื่องแรก The Last Detail (1973) มีชื่อเสียงโด่งดังก็จากหนังเรื่องนี้
Allen เป็นนักแสดงคนสุดท้ายที่ De Palma เลือกเองกับมือ คงตกหลุมรักในอีกด้านของความใสซื่อบริสุทธิ์ ทั้งคู่แต่งงานกันปี 1979 หย่าขาดปี 1984
นี่ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของ John Travolta ที่ได้รับบทสำคัญไม่ใช่แค่ตัวประกอบพื้นหลัง ในตอนแรกได้พิจารณารับบท Tommy Ross แต่ผู้กำกับเห็นมุมขบถเล็กๆในภาพลักษณ์เลยเปลี่ยนให้มารับบท Billy Nolan แฟนหนุ่มของ Chris Hargensen คงด้วยเหตุนี้ Travolta เลยติดภาพวัยรุ่น Bad Boy หล่อเท่ห์นิสัยเลวๆมาด้วย
Isidore Mankofsky เป็นตากล้องคนแรกของหนัง แต่เกิดความขัดแย้งทางความคิดสร้างสรรค์กับผู้กำกับ เลยเปลี่ยนเป็น Mario Tosi ตากล้องสัญชาติอิตาเลี่ยน มีผลงานเด่นอาทิ The Killing Kind (1973), Report to the Commissioner (1975), Carrie (1976), Sybil (1976) ฯ
หลายฉากของหนังมีความสว่างเบลอ High Key สโลโมชั่นราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์ ความฝัน Paradise อาทิ ในห้องอาบน้ำต้นเรื่อง, งาน Prom Night ให้สัมผัสที่อิ่มเอิบสดใส ฯ แต่เมื่อความชั่วร้ายบางสิ่งอย่างเกิดขึ้น งานภาพจะกลับตารปัตรตรงกันข้าม ความมืดเข้าครอบงำ รวดเร็วคมเข้มชัด Low Key บรรยากาศชวนให้ขนลุกขนพองสยอง
ตัดต่อโดย Paul Hirsch ขาประจำของ De Palma และมีผลงานอย่าง Star Wars (1976), The Empire Strikes Back (1980), Footloose (1984), Mission: Impossible (1996), Ray (2004) ฯ หนังไม่ได้ใช้มุมมองของตัวละครใดเป็นพิเศษ แต่เน้นกับ Carrie ที่เป็นชื่อหนัง เล่าเรื่องในมุมมองบุคคลที่ 3
บทเพลงคำร้องในงาน Prom Night ตอนที่ Carrie เต้นรำกับ Tommy แต่งคำร้องโดย Merrit Malloy ขับร้องโดย Katie Irving ชื่อเพลง I Never Dreamed Someone Like You (Could Love Someone Like Me)
Prom Night ค่ำคืนสุดท้าย งานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองเลิกลาความเป็น ‘เด็ก’ ของเหล่านักเรียนจบชั้นมัธยม หลายคนฝังใจเชื่อว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะนับจากนี้พวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แยกย้ายออกเดินในเส้นทางสายความฝันของตนเอง ไม่มีทางหวนกลับคืนสู่อดีตวันวานอันหวานหอมนี้ได้อีก
ทั้งๆที่เรื่องราวของหนังเกี่ยวกับ เด็กหญิงสาวแรกรุ่น แต่ผู้กำกับ/เจ้าของนิยาย กลับเป็นผู้ชาย นี่ทำให้ผมมอง Brian De Palma และ Stephen King ต่างมีปัญหาในการทำความเข้าใจอิสตรีเพศ มองพวกเธอมีความน่าสะพรึงกลัว เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ บางครั้งเป็นสิ่งมีชีวิตสวยงามที่สุด แต่หลายครั้งกลับชั่วร้ายยิ่งกว่าปีศาจ จุดเริ่มต้นของความสุดขั้วนี้ก็คือ การมีประจำเดือนครั้งแรก นี่คือสัญลักษณ์ของการมีชีวิต (birth and dead)
ด้วยทุนสร้าง $1.8 ล้านเหรียญ หนังทำเงินได้ในปีแรก $14.5 ล้านเหรียญ รวมรายรับทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน $33.8 ล้านเหรียญ เรียกว่ากำไรมหาศาล เข้าชิง Oscar 2 สาขา
– Best Actress (Sissy Spacek)
– Best Supporting Actress (Piper Laurie)
เมื่อปี 2010 นักเขียน Stephen King ให้ความเห็นย้อนหลังเกี่ยวกับ Carrie ต้นฉบับนี้ว่า ‘good movie’ และคอมเมนต์ถึงภาคใหม่ที่กำลังสร้างตอนนั้น ‘The real question is why, when the original was so good?’
ส่วนตัวค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้เลยละ ประทับใจใน direction ของผู้กำกับ Brian De Palma ที่ถือเป็นสไตล์ลายเซ็นประจำตัว พบเห็นได้ในหนังหลายๆเรื่อง ช่วงท้ายและตอนจบเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริงๆ ทำเอาผมสะดุ้งแบบไม่ทันตั้งตัว (ทั้งๆที่ก็คาดคิดไว้แล้วว่าอาจมีอะไรแบบนั้น แต่มันก็ตกใจจริงๆ)
TAGLINE | “Carrie ของผู้กำกับ Brian De Palma จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ชะล่าใจ ก่อนฮุคปล่อยหมัดเด็ดที่ทำให้บ้าคลั่ง เสียสติแตก” QUALITY | RARE-GENDARY MY SCORE | LIKE
เท่าที่สังเกตเห็น นักวิจารณ์ส่วนใหญ่จะชื่นชอบประทับใจ 28 Days Later (2002) มากกว่า 28 Weeks Later (2007) เหตุผลประมาณว่า
– เพราะภาคแรกได้ทำการเปิดประตูสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ ตีความซอมบี้ในรูปแบบเชื้อโรคไวรัสแพร่ระบาด และแฝงแนวคิดเชิงปรัชญา ค้นหาคำตอบเป้าหมายชีวิตในโลกยุค Post-Apocalyptic
– ขณะที่ภาคนี้ ซอมบี้เหมือนจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ได้วิวัฒนาการกลายเป็นพาหะ (Carrier) และใส่ประเด็นครอบครัว สะท้อนเสียดสีกับการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเด็นเสียดสีการเมืองฤาจะไปเทียบกับปรัชญาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ แต่จะบอกว่าส่วนตัวผมกลับชื่นชอบ 28 Weeks Later มากกว่าในส่วนของนัยยะแฝง ขณะที่คะแนนฝั่ง Quality จะให้เท่ากัน
หลังจากความสำเร็จแบบ ‘sleeper hit’ ของ 28 Days Later ในอเมริกาเมื่อปี 2003 ได้เปิดทางการสร้างภาคต่อของหนังขึ้นทันที ผู้กำกับ Danny Boyle และนักเขียน Alex Garland จึงได้เริ่มครุ่นคิดเตรียมการวางแผนสร้างภาคต่อ
“We were quite taken aback by the phenomenal success of the first film, particularly in America. We saw an opportunity to make a second film that already had a built in audience. We thought it would be a great idea to try and satisfy that audience again.”
— Danny Boyle
โดยแผนแรกสุดตั้งชื่อหนังว่า 29 Days Later ตั้งใจนำตัวละครในภาคแรกกลับมา แต่เพราะพวกเขาชอบเลข 28 กันมาก เลยตัดสินใจเปลี่ยนสร้อยจาก Days เป็น Weeks แทน, สำหรับพล็อตเรื่อง วางแผนให้อเมริกาส่ง SAS (Special Air Service) เข้ามาช่วยเหลือนายกรัฐมนตรีและสมเด็จพระราชินี ที่ติดอยู่ในกรุง London
แต่หลังจาก Boyle เสร็จงานสร้างหนังเรื่อง Millions (2004) ก็ตัดใจหนีไปกำกับ Sunshine (2007) ร่วมกับ Garland ที่เป็นผู้เขียนบท ประกาศว่าจะไม่กำกับภาคต่อนี้แต่จะขออยู่ในตำแหน่ง Executive Producer และมอบหมายให้ Juan Carlos Fresnadillo (เกิดปี 1967) ผู้กำกับสัญชาติสเปน ที่เพิ่งมีผลงานหนัง debut เรื่อง Intacto (2001) ให้เข้ามาคุมบังเหียรแทน
Fresnadillo เป็นผู้กำกับตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียวขณะนั้น เพราะเคยได้เข้าชิง Oscar: Best Live-Action Short Film จากผลงานหนังสั้น Esposados (1996) ตามด้วยหนังยาวเรื่องแรก Intacto (2001) นำแสดงโดย Max von Sydow เป็นชื่นชอบของ Boyle อย่างมาก เห็นพ้องกับเหล่าโปรดิวเซอร์ จึงชักชวนให้มาสร้างหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรก
เรื่องราวของ Don (รับบทโดย Robert Carlyle) เพราะความหวาดกลัวจะติดเชื้อไวรัส วิ่งหนีสุดชีวิตทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้เบื้องหลัง รวมถึงภรรยา Alice (รับบทโดย Catherine McCormack) เพราะคิดเข้าใจว่าเธอคงเสียชีวิตไปแล้ว, หลายสัปดาห์ผ่านไป เมื่อฝูงซอมบี้สูญพันธุ์เพราะขาดแหล่งอาหาร NATO และสหรัฐอเมริกาส่งหน่วยทหารเข้ามาช่วยฟื้นฟูกรุง London ที่ Isle of Dogs ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า District One ลูกสาว Tammy และลูกชาย Andy เดินทางกลับมาหาพ่อ Don ที่ได้ทำงานเป็นช่างเทคนิค แต่พวกเขากลับลอบแอบหนีออกจาก Safe Zone ไปยังบ้านหลังเก่าชานเมือง พบเจอแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เหมือนบางสิ่งอย่างได้เกิดขึ้นกับเธอ
Robert Carlyle (เกิดปี 1961) นักแสดงสัญชาติ Scottish เกิดที่ Maryhill, Glasgow, อาศัยอยู่กับพ่อที่ทำงานเป็นนักวาดภาพ/ตกแต่งบ้าน โตขึ้นหลังจากได้อ่านนิยาย The Crucible ของ Arthur Miller ตัดสินใจสมัครเรียนการแสดงที่ Glasgow Arts Centre ร่วมกับเพื่อนๆเปิดบริษัท Raindog theatre company ได้รับการชักชวนจาก Boyle หนึ่งในชุดนักแสดง Trainspotting (1996) ทำให้กลายเป็นที่รู้จัก ผลงานอื่นๆอาทิ The World Is Not Enough (1999), The Beach (2000), Eragon (2006) ฯ
Catherine McCormack (เกิดปี 1972) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Epsom, Surrey มีความสนใจด้านการแสดงตั้งแต่เด็ก เข้าเรียนที่ Oxford School of Drama เริ่มต้นจากเป็นนักแสดงละครเวที มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง Braveheart (1995), Spy Game (2001) ระหว่างเล่นหนังเรื่องนี้งานยุ่งมาก รับเล่นละครเวทีเรื่อง The 39 Steps พร้อมกันไปด้วยที่ Tricycle Theatre, London
รับบท Alice ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง แต่เพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันบางอย่าง สามารถสกัดกั้นเชื้อไวรัส รอดชีวิตจากการถูกซอมบี้กัด คงด้วยสันชาติญาณหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังเก่า เฝ้ารอคอยวันเวลาและโอกาสที่จะได้พบเจอหน้าลูกและคนรักอีกครั้ง
Jeremy Lee Renner (เกิดปี 1971) นักแสดงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Modesto, California มีพี่น้องถึง 7 คน โตขึ้นเข้าเรียน Modesto Junior College สนใจวิทยาการคอมพิวเตอร์ และอาชญากรรม ภายหลังเปลี่ยนไปสนใจการแสดง เริ่มต้นมีผลงานเป็นตัวประกอบในหนัง Indy อาทิ Dahmer (2002), Neo Ned (2005) ก่อนกลายเป็นตำรวจ/นักแม่นปืนใน S.W.A.T. (2003) and 28 Weeks Later (2007) เข้าชิง Oscar: Best Actor จาก The Hurt Locker (2008) ทำให้ได้รับบท Hawkeye ในจักรวาล Marvel ผลงานอื่นๆ อาทิ Mission: Impossible ภาค 4-5, The Bourne Legacy (2012), American Hustle (2013), Arrival (2016) ฯ
รับบท Doyle นักแม่นปืน ตอนแรกมีหน้าที่ปฏิบัติตามตามอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อได้รับคำสั่ง Red Code ให้สังหารทุกคนที่ขวางหน้า ด้วยมโนธรรมส่วนตัวทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งหน้าที่ นำทางผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็กๆให้สามารถหนีเอาตัวรอดก่อนถูกระเบิดปูพรม District One
เกร็ด: ชื่อตัวละคร Doyle เป็นส่วนผสมของชื่อผู้กำกับ Danny Boyle
Rose Byrne (เกิดปี 1979) นักแสดงสัญชาติ Australian เกิดที่ Balmain, Sydney, ตอนอายุ 15 ได้เล่นหนังเรื่องแรก Dallas Doll (1994), คว้า Volpi Cup for Best Actress จาก The Goddess of 1967 (2000), รับบท Dormé ใน Star Wars: Episode II – Attack of the Clones (2002), Troy (2004), Insidious (2010), Bridesmaids (2011), X-Men: First Class (2011) ฯ
รับบท Major Scarlet มีหน้าที่ตรวจร่างกายของคนเข้าเมือง ได้พบเจอความหวังของมวลมนุษย์ชาติในการตรวจเลือดของ Alice แต่กลับถูก General Stone (รับบทโดย Idris Elba) มองข้ามไม่สนใจ จึงพยายามให้การช่วยเหลือ Andy และ Tammy คาดหวังว่ายีนพันธุกรรมของพวกเขา อาจมีโอกาสพบเจอทางออกในการรักษาผู้ติดเชื้อนี้
ผมค่อนข้างชอบงานภาพฉาก Night Vision ในอุโมงค์ใต้ดิน (ถ่ายทำที่ Millennium Stadium เมือง Cardiff ประเทศ Wales) พอถ่ายทำในความมืดด้วยกล้อง Digital มีความคมชัด สมจริง เห็นแสงอินฟราเรดสีเขียว สะท้อนดวงตาสีขาว เด็กๆหน้าเหมือนซอมบี้อย่างมาก, คือถ้าเป็นกล้องฟีล์มจะทำได้เพียงใส่ฟิลเลอร์ Day for Night ไม่แน่ใจมีกล้องที่สามารถถ่าย Night Vision ได้คมชัดขนาดนี้หรือเปล่านะ
ตัดต่อโดย Chris Gill ขาประจำของผู้กำกับ Danny Boyle ที่เข้ามาช่วยสานงานภาคต่อ, นอกจาก Prologue หนังจะใช้มุมมองของสองพี่น้อง Andy กับ Tammy ในการเล่าเรื่อง ผจญภัยสู่ District One ออกค้นหาแม่ และหาทางหนีเอาตัวรอดออกนอกเกาะอังกฤษ
เฉพาะ Prologue กำกับโดย Danny Boyle ที่เข้ามาช่วยงาน Second Unit เป็นฉากเล็กๆที่มีความบ้าคลั่ง ด้วยงานภาพ ตัดต่อและเพลงประกอบ ประสานประกอบกันได้ทรงพลังถึงขีดสุด
สำหรับฉากจบเดิมของหนังจะมีเพียง บรรดาผู้รอดชีวิตเดินทางมาถึงสนามฟุตบอลและได้ขึ้นเครื่องบินจากไป แต่ผู้กำกับตัดสินใจเพิ่ม Coda ตบท้ายอีกนิด เดินทางไป Paris เห็นหอไอเฟล ใช้กล้อง DV (Digital Video) ถ่ายทำแบบ Guerrilla Style เมื่อเชื้อไวรัสแพร่กระจายออกมานอกเกาะอังกฤษ นี่ทิ้งประเด็นเปิดกว้างสร้างภาคต่อได้มหาศาล, คือเราสามารถครุ่นคิดเหตุผลของการแพร่กระจายได้มากมายหลากหลาย เพราะตอนนี้ Andy ได้กลายเป็นพาหะเต็มตัวแล้ว เขาอาจดื่มน้ำส่งให้พี่สาว คนขับเฮลิคอปเตอร์ แล้วก็ติดโรคไป ฯ หนังปล่อยอิสระให้ผู้ชมสามารถครุ่นคิดจินตนาการ เพ้อไปเองได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
เพลงประกอบโดย John Murphy และได้ Hans Zimmer มาร่วมด้วยช่วยขัดเกลา, อารมณ์ของบทเพลงจะไม่กระจัดกระจายหลากหลายแบบภาคแรก เน้นสร้างบรรยากาศของความหวังและสิ้นหวัง ไปพร้อมๆกัน
หลายๆบทเพลงของหนัง ได้นำเอาทำนองของเพลงฮิตจากภาคแรก In The House – In A Heartbeat แทรกใส่เข้าไปด้วย นอกจากเพื่อให้เกิดความคุ้นเลยแล้ว จะสะท้อนสะท้านทรงพลัง ยิ่งใหญ่เหมือนเคย แค่ได้ยินก็จะรับรู้ได้ทันทีว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่บ้าคลั่งเกิดขึ้นแน่
บทเพลง London Deserted เริ่มจากตัวโน๊ตเสียงทุ้มต่ำ ค่อยๆไต่ไล่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุด จากความว่างเปล่าไม่มี สู่ยุคสมัยอารยธรรมมนุษย์ ที่พอถึงจุดสูงสุดกลับคืนสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง, นี่เป็นบทเพลงที่เรียบง่ายแต่มีความทรงพลังยิ่ง ในฉากที่ Andy กับ Tammy ลักลอบหนีออกจาก District One สิ่งที่พวกเขาพบเห็นคือกรุง London ที่ถูกทิ้งร้างว่างเปล่า ตึกรามบ้านช่องยังคงเหมือนเดิม แต่ไร้ซึ่งผู้คนและสิ่งมีชีวิต หลอกหลอนราวกับเมืองผีสิง
กับซีนไฮไลท์ของหนัง Kiss of Death เมื่อ Don แอบลักลอบเข้าไปพบภรรยาที่ถูกมัดอยู่บนเตียง (แบบไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่) เขาเอ่ยปากขอโทษ ร้องไห้ออกจากใจ แล้วประทับรอยจุมพิตอันนุ่มนวล แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้น มันทำให้ความบ้าคลั่งบางอย่าง ได้รับการถ่ายทอดส่งต่อ จุดสิ้นสุดของมวลมนุษย์ชาติเริ่มจากตรงนี้เอง
พ่อ Don เป็นคนขลาดเขลา อ่อนแอ แต่สร้างภาพให้กับตัวเองดูดี ใช้ความรักเป็นข้ออ้าง แต่พอติดเชื้อโรคระบาดจากแม่ กลายเป็นคนบ้าคลั่งเสียสติ ฆ่าเมีย ต้องการฆ่าลูกในไส้แท้ๆของตนเอง, เปรียบเทียบกับภาพใหญ่ขึ้นของหนัง กองทัพทหารอเมริกาแท้จริงแล้วไม่ได้มีความเข้มแข็งแกร่งอะไร แต่สร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี ใช้ข้ออ้างสันติภาพ แต่พอควบคุมแทรกแซงต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ใช้ปฏิบัติการ Code Red ทำลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า
“You can’t help thinking of that. Obviously, it’s not based on AIDS; it’s more like Ebola. And the manifestation of the disease in the film, the sickness, is all based on Ebola with a bit of rabies, so there is a bit of medical background there. But you can’t help thinking about it—ever since AIDS appeared, people have had this sensitivity about the smallest drop of blood.”
– Danny Boyle ให้สัมภาษณ์ที่ Sundance Film Festival ปี 2003
Danny Boyle (เกิดปี 1956) ผู้กำกับสัญชาติอังกฤษ เจ้าของรางวัล Oscar จาก Slumdog Millionaire (2008) เกิดที่ Radcliffe, Lancashire ในครอบครัว Irish Catholic ที่เคร่งครัด เคยเป็นเด็ก altar boy ครอบครัวคาดหวังให้โตขึ้นกลายเป็นบาทหลวง แต่พออายุ 14 หลวงพ่อแนะนำว่าอย่างเป็นพระเลย
“Whether he was saving me from the priesthood or the priesthood from me, I don’t know. But quite soon after, I started doing drama. And there’s a real connection, I think. All these directors – Martin Scorsese, John Woo, M. Night Shyamalan – they were all meant to be priests. There’s something very theatrical about it. It’s basically the same job – poncing around, telling people what to think.”
เข้าเรียน Thornleigh Salesian College ที่ Bolton ตามด้วย Bangor University สาขาภาษาอังกฤษและการแสดง จบมาเริ่มต้นจากทำงานละครเวที Joint Stock Theatre Company ก่อนย้ายไป Royal Court Theatre จากนั้นเป็นโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ เริ่มมีความสนใจภาพยนตร์จากการรับชม Apocalypse Now (1979) กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Shallow Grave (1955) ประสบความสำเร็จทำเงินสูงสุดแห่งปีในเกาะอังกฤษ ตามด้วย Trainspotting (1996) และ The Beach (2000) นำแสดงโดย Leonardo DiCaprio
จากการดัดแปลงนิยาย The Beach ทำให้ได้รู้จักกับ Alexander ‘Alex’ Medawar Garland (เกิดปี 1970) นักเขียนสัญชาติอังกฤษ ที่มีความสนใจเข้าสู่วงการภาพยนตร์ นำแนวคิดเกี่ยวกับ Horror/Zombie Project มาเสนอกับ Boyle ได้อย่างน่าสนใจ จึงได้ร่วมกันพัฒนา 28 Days Later ขึ้นมา
เกร็ด: Alex Garland จากนักเขียนบท ต่อมาได้กลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Ex Machina (2015)
สี่สัปดาห์หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสลึกลับทั่วเกาะอังกฤษ ชายหนุ่มคนหนึ่ง Jim (รับบทโดย Cillian Murphy) ตื่นขึ้นในโรงพยาบาล St Thomas’ Hospital หลังจากอาการโคม่า ราวกับความฝัน พบว่าทุกสิ่งอย่างรอบตัวไร้ซึ่งผู้คน กลายเป็นเมืองร้าง เดินไปเรื่อยๆจนได้พบกับซอมบี้กลุ่มหนึ่ง อยู่ดีๆวิ่งจู่โจมเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง ได้รับการช่วยเหลือจาก Selena (รับบทโดย Naomie Harris) และ Mark (Noah Huntley) ถึงได้รู้ว่ามีบางสิ่งอย่างเกิดขึ้นในระหว่างที่เขาหลับอยู่
Cillian Murphy (เกิดปี 1976) นักแสดงสัญชาติ Irish เกิดที่ Douglas, County Cork ทั้งพ่อแม่เป็นครูสอนหนังสือ แต่ตัวเขากลับเรียนไม่เก่งเท่าไหร่ ชื่นชอบการแสดงและเล่นดนตรี เริ่มต้นจากเป็นนักแสดงละครเวที แสดงในภาพยนตร์อินดี้หลายเรื่อง อาทิ Sunburn (1999), The Trench (1999), On the Edge (2001), หลังจากได้รับชม Disco Pigs (2001) ผู้กำกับ Danny Boyle จึงเลือกให้มารับบทนำในหนังเรื่องนี้
การแสดงของ Murphy เรื่องนี้ ถือว่าได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวเลยละ โดยเฉพาะสายตาที่มีความใสซื่อบริสุทธิ์ ขณะเดียวกันก็ราวกับถูกหลอนหลอนด้วยอดีตอะไรบางอย่าง ด้วยเหตุนี้กระมังจึงเป็นที่ชื่นชอบของ Christopher Nolan มักนำพาให้มาแสดงในหนังของตนร่ำไป
Naomie Melanie Harris (เกิดปี 1976) นักแสดงหญิงผิวสีสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Islington, London พ่อเป็นชาว Trinidad ส่วนแม่สัญชาติ Jamaica ที่ทำงานเป็นนักเขียนบทละครที่ EastEnders ทำให้ Naomie ได้เป็นนักแสดงเด็กในละครซีรีย์เรื่อง Simon and the Witch (1987) หลังจบจาก Pembroke College, Cambridge สาขา Social and Political Sciences เรียนต่อการแสดงที่ Bristol Old Vic Theatre School ทำงานเป็นนักแสดงเวที รับบทนำในภาพยนตร์ครั้งแรกจาก 28 Days Later มีชื่อเสียงระดับนานาชาติกับบทบาท Tia Dalma เรื่อง Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest (2006), Miami Vice (2006), Eve Moneypenny ใน Skyfall (2012), Spectre (2016) ล่าสุดเข้าชิง Oscar: Best Supporting Actress จากเรื่อง Moonlight (2016)
รับบท Selena หญิงแกร่งที่สามารถเอาตัวรอดผ่านวันสิ้นโลกมาได้ ด้วยความเห็นแก่ตัว สนแต่ตัวเอง ฆ่าพ่อแม่พี่น้องที่กลายเป็นซอมบี้เพื่อตัวเองยังชีวิตอยู่ได้, ก็ไม่รู้จักพบเจอกับ Mark ได้อย่างไร แต่พอเพื่อนคนนี้ถูกกัดติดเชื้อ ก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าสังหาร แต่หลังจากได้พบกับ Jim จิตใจของเธอค่อยๆอ่อนนุ่มนวลลง ตกหลุมรักเพราะความสุภาพมองโลกในแง่ดี นี่เป็นสิ่งที่หญิงสาวไม่คาดคิดมาก่อนจะพบผู้ชายแบบนี้ในวันสิ้นโลก
ถ่ายภาพโดย Anthony Dod Mantle ตากล้องสัญชาติอังกฤษ ที่หลังจากหนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นขาประจำของ Boyle และคว้า Oscar: Best Cinematography จากเรื่อง Slumdog Millionaire (2008)
บทเพลง Ava Maria ขณะที่ Jim, Selena ออกเดินทางร่วมกับ Frank กับ Hannah สู่สถานที่แห่งความหวังที่เมือง Manchester, ขับร้องโดย Perri Alleyne น้ำเสียงของเธอช่างมีความทรงพลัง ให้สัมผัสที่หลอนๆ แต่สั่นสะท้าน เต็มเปี่ยมด้วยความหวังขับออกมาจากภายใน
บทเพลงช่วงท้าย/Ending Credit ชื่อว่า Season Song ของวงดนตรีสัญชาติอังกฤษ Blue States แต่งโดย Andy Dragazis กับ Tahita Bulmer เป็นเพลงที่เปลี่ยนอารมณ์หนังโดยสิ้นเชิง จากที่ค่อนข้างเครียดหดหู่ มาเป็นผ่อนคลาย ฟังสบาย ฤดูกาลเคลื่อนผ่าน
ซอมบี้ในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่คนตายฟื้นคืนชีพ แต่คือผู้ที่กลายสภาพจากการติดเชื้อในเวลา 20 วินาที ดวงตาแดงกล่ำ มีความกระหายเลือด เมื่อพบเห็นมนุษย์/สิ่งมีชีวิต ก็จะรีบวิ่งแจ้นตรงไปหา ถ้าเผลอสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำลาย ก็จะมีโอกาสติดเชื้อกลายร่างในทันที, กระนั้นซอมบี้ในหนังเรื่องนี้สามารถถูกยิง บาดเจ็บ เสียชีวิตได้ เพราะยังมีสถานะเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนมนุษย์อยู่ (มีโอกาสที่จะรักษาหายได้) ไม่ได้มีข้อแม้ว่าต้องยิงหัวแบบหนังของ George A. Romero เท่านั้น
Selena ผู้หญิงคนเดียวของหนัง (จริงๆควรจะทำให้เธอเป็นจุดศูนย์กลางเสียด้วยซ้ำ) ได้พบเจอกับผู้ชาย 3-4 รูปแบบ
– Mark เพื่อนคนแรกที่สนแต่เอาชีวิตรอด (ดูแล้วคงไม่มีอะไรเกินเลย)
– Jim ชายผู้เปี่ยมด้วยมนุษยธรรม จิตใจดีงาม แม้จะไม่ได้เข้มแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถแสดงความเป็นลูกผู้ชาย สุภาพบุรุษออกมาได้
– Frank ชายวัยกลางคนที่มีภาพลักษณ์ของพ่อ อบอุ่น เหมือนจะพึ่งพาได้
– Major Henry West และกลุ่มนายทหารช่วงท้าย คือสัตว์ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ ดำรงชีพด้วยสันชาติญาณ ไร้ซึ่งพื้นฐานทางมโนธรรม
ตอนจบอีกแบบหนึ่งชื่อว่า Radical Alternative Ending มีการคิดวาดภาพร่าง Storyboard เอาไว้คร่าวๆ ปรากฎอยู่ใน DVD Extra เช่นกัน, หลังจากที่ Frank กลายร่างเป็นซอมบี้ โชคดีที่สามารถหาอะไรบางอย่างจับมัดตัวไว้ได้ ไม่มีหน่วยทหารเxยๆปรากฎตัวออกมา แต่ Jim ได้เดินเข้าไปสำรวจต่อในเมือง Manchester พบเจอหลุมหลบภัยและนักวิทยาศาสตร์ที่ยังเหลือชีวิตจากเหตุการณ์ต้นเรื่อง ในตอนแรกไม่ยินยอมให้เข้าภายใน แต่ก็โน้มน้าวจนสำเร็จ เพราะต้องการค้นหาวิธีการรักษา Frank ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บอกว่า มีวิธีการเดียวเท่านั้นคือเปลี่ยนถ่ายเลือดทั้งตัว ปรากฎว่าเพียง Jim เท่านั้นที่กรุ๊ปเลือดตรง เขาจึงตัดสินใจเสียสละชีวิตของตัวเอง, เหตุที่ Boyle ไม่เลือกเรื่องราวนี้ เพราะเขามองว่า ‘It didn’t make much sense.’
ทั้งๆที่มันควรจะยิ่งใหญ่ แต่ผู้กำกับ Sam Raimi กลับทำให้อภินิหารกองพันซี่โครง หนังปิดไตรภาค Evil Dead กลายเป็นหนังเกรด B ทุนสูง ต่อสู้รบระหว่างตัวละคร Bruce Campbell มนุษย์ฝั่งดี vs ปีศาจฝั่งชั่ว ที่ต้องย้อนเวลาไปดำเนินเรื่องยุคสมัย Medieval Age ไม่ได้มีความน่าสนใจแม้แต่น้อย
ความสำเร็จระดับนานาชาติของ Evil Dead 2 (1987) ทำให้โปรดิวเซอร์สัญชาติอิตาเลี่ยน Dino De Laurentiis พร้อมสนับสนุนเงินทุนสร้างภาคต่ออีกครั้ง แต่เพราะ Sam Raimi ต้องการให้หนังมีความยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นจากเดิม จึงตัดสินใจหาทุนเพิ่ม นำโปรเจคดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูน Darkman ไปเสนอ Universal Pictures ยินยอมทำตามเงื่อนไขเป็นอย่างดี แม้จะมีปัญหากันเล็กน้อยช่วงการตัดต่อ แต่ผลลัพท์จากการตลาดที่ชาญฉลาด โฆษณาชักชวนผู้ชมอย่างได้ประสิทธิผล ทำกำไรให้หนังอย่างมหาศาล สตูดิโอจึงยอมเจียดเงินส่วนแบ่งมาให้สร้างหนังปิดไตรภาค Evil Dead เรื่องนี้ด้วย
ในตอนแรก Raimi ชักชวน Scott Spiegel ที่ร่วมเขียน Evil Dead 2 ให้มาร่วมพัฒนาบทหนังเรื่องนี้ แต่เจ้าตัวติดงาน The Rookie (1990) ของผู้กำกับ Clint Eastwood จึงบอกปัดปฏิเสธ คราวนี้เลยร่วมงานกับพี่ชาย Ivan Raimi นำแรงบันดาลใจจาก
– A Connecticut Yankee in King Arthur’s Court
– Gulliver’s Travels
– The Seventh Voyage of Sinbad
– Jason and the Argonauts
– The Three Stooges
– Conan The Barbarian
ฯลฯ
สำหรับชื่อหนัง ตอนแรก Raimi วางแผนไว้คือ The Medieval Dead ก่อนมาเปลี่ยนชื่อเป็น Bruce Campbell vs. Army of Darkness ตามคำแนะนำของ Irvin Shapiro เป็นเทรนด์ของหนังเกรด B สมัยก่อนที่จะนำชื่อนักแสดงนำขึ้นหน้า ตามด้วย versus พบกับต่อสู้กับอะไร, แต่เพราะฉบับฉายอเมริกามันจะยาวไปหน่อย Universal เลยตัดให้เหลือเพียง Evil Dead III: Army of Darkness หรือสั้นๆว่า Army of Darkness
Ash (รับบทโดย Bruce Campbell) ได้ถูกส่งตัวย้อนเวลาพร้อมกับรถคันโปรดสู่ยุค Medieval Age ประมาณปี ค.ศ. 1,300 ถูกจับตัวโดย Lord Arthur (รับบทโดย Marcus Gilbert) ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกเดียวกับ Duke Henry the Red (รับบทโดย Richard Grove) แต่การปรากฎตัวของชายคนนี้ ได้ทำให้ The Wiseman (รับบทโดย Ian Abercrombie) คาดการณ์ว่าเขาอาจเป็น The Chosen One ผู้ที่จะสามารถนำหนังสือ Necronomicon กลับคืนสู่มือของมนุษย์ได้
“Bruce was cussing and swearing some of the time because you had to work on the number system. Sam would tell us to make it as complicated and hard for Bruce as possible. ‘Make him go through torture!’ So we’d come up with these shots that were really, really difficult, and sometimes they would take thirty-seven takes”.
เกร็ด: Bridget Fonda มารับเชิญในหนังด้วยนะครับ รับบทเป็น Linda แฟนสาว Ash ใน Flashback
เกร็ด2: คาถา Klaatu Verata Nikto นำมาจากหนังไซไฟเรื่อง The Day the Earth Stood Still (1951) เป็นคำสั่งใช้หยุดหุ่นยนต์ Gort ที่จะมาทำลายล้างโลก
ถ่ายภาพโดย Bill Pope ขาประจำคนใหม่ของ Raimi พบเจอกันตอน Darkman และยังร่วมงานกันอีกใน Spider-Man Trilogy นอกจากนี้ยังมี The Matrix Trilogy, Men in Black 3 (2012), The Jungle Book (2016), Baby Driver (2017) ฯ
ไม่แน่ใจตั้งแต่ Darkman หรือเปล่าที่ Raimi เริ่มใช้การวาด Storyboard ทุกช็อตที่ต้องการนำเสนอออกมา นี่ช่วยย่นระยะเวลาการทำงานได้เยอะ และช่วยให้งานถ่ายภาพของตากล้องดูง่ายขึ้นมาก แต่ยังถือว่ามีความท้าทายอยู่อีกหลายระดับ โดยเฉพาะสถานที่ถ่ายทำคราวนี้ไปยัง Bronson Canyon, Vasquez Rocks Natural Area Park ใกล้ๆกับทะเลทราย Mojave Desert กลางวันร้อนมาก กลางคืนหนาวสุดๆ ส่วนฉากภายในถ่ายทำที่ Introvision ใน Hollywood
ตัดต่อโดย Bob Murawski ขาประจำของ Raimi พบเจอกันตอน Darkman และยังร่วมงานกันอีกใน Spider-Man Trilogy, Oz the Great and Powerful (2013) ฯ คว้า Oscar: Best Edited จาก The Hurt Locker (2009)
“Actually, I kind of like the fact that there are two endings, that in one alternate universe Bruce is screwed, and in another universe he’s some cheesy hero.”
เห็นว่า DVD ฉบับ Director’s Cut จะมีการนำ Alternate Ending ดั้งเดิมมาใส่แทนตอนจบที่ S-Mart ผมพบเจอใน Youtube คลิกรับชมดูได้เลย, เพราะความที่ The Wiseman บอกให้ดื่ม 6 หยด แต่พี่แกซัดไป 7 นอนหลับนานไป 100 ปี ตื่นขึ้นมาพบเจอกรุง London ในยุค Post-Apocalypse เอาจริงๆนี่สร้างต่อได้อีกภาคเลยนะเนี่ย!
เพลงประกอบโดย Joseph LoDuca นักแต่งเพลง Jazz สัญชาติอเมริกา หวนกลับมาทำเพลงให้อีกครั้งเพื่อปิดไตรภาค Evil Dead
แต่บทเพลงไฮไลท์ของหนัง March Of The Dead ไม่ใช่ผลงานของ LoDuca แต่คือ Danny Elfman ที่ได้ร่วมงานกับ Raimi ตอนสร้าง Darkman ก่อนตามด้วย Spider-Man Trilogy, ไม่แน่ใจเหตุผลเท่าไหร่ที่ทำไม Elfman ถึงแต่งเพลงนี้ แต่ทำให้ LoDuca ต้องเขียนเพลงประกอบอื่นๆ มีสัมผัสกลิ่นอายที่สอดคล้องรับกับเพลงนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้