Hondo offers a stylistic collage to reflect the protagonist’s extremes of experience, from docudrama and musical numbers to slapstick absurdity, from dream sequences and bourgeois melodrama to political analyses.
Richard Brody นักวิจารณ์จาก The New Yorker
ขณะที่ Ousmane Sembène คือบุคคลแรกที่บุกเบิกวงการภาพยนตร์แอฟริกัน จนได้รับฉายา “Father of African Cinema” แต่ลูกเล่น ลีลา ภาษาภาพยนตร์ ไม่ได้มีความแปลกใหม่ ประดิษฐ์คิดค้นอะไรให้โลกตกตะลึง, Med Hondo ถือเป็นผู้กำกับคนแรกๆ(ของแอฟริกา) ที่พยายามรังสรรค์สร้างภาษาภาพยนตร์ในสไตล์ของตนเอง ด้วยเหตุนี้เลยได้รับคำยกย่อง “Founding Father of African Cinema” … แค่เพิ่มคำว่า Founding ทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
Soleil Ô แปลว่า Oh, Sun นำเรื่องราวจากประสบการณ์ตรง กึ่งๆอัตชีวประวัติของผกก. Hondo ตั้งแต่มาถึงฝรั่งเศส พบเห็นความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนผู้อพยพชาวแอฟริกัน เดินทางมาไล่ล่าความฝัน แต่กลับถูกพวกคนขาวกดขี่ข่มเหงสารพัด ไร้งาน ไร้เงิน แล้วจะชวนเชื่อให้พวกฉันมายังสรวงสวรรค์ขุมนรกแห่งนี้ทำไมกัน??
เกร็ด: Soleil Ô คือชื่อบทเพลงของชาว West Africa (หรือ West Indian) รำพันความทุกข์ทรมานจากการถูกจับ พาตัวขึ้นเรือ ออกเดินทางจาก Dahomey (ปัจจุบันคือประเทศ Benin) มุ่งสู่หมู่เกาะ Caribbean เพื่อขายต่อให้เป็นทาส
นำแสดงโดย Robert Liensol (1922-2011) เกิดที่ Saint-Barthélemy, French West Indies (หมู่เกาะในทะเล Caribbean ที่เป็นอาณานิคมฝรั่งเศส) โตขึ้นอพยพย้ายสู่กรุง Paris ทำงานตัวประกอบละคอนเวที/ภาพยนตร์ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1954 ร่วมก่อตั้งคณะการแสดง Compagnie des Griots (ถือเป็นคณะของชาวแอฟริกันกลุ่มแรกในฝรั่งเศส) จนกระทั่งควบรวมกับคณะของ Med Hondo เมื่อปี ค.ศ. 1972 เปลี่ยนชื่อเป็น Griot-Shango Company
เมื่อบทสัมภาษณ์กล่าวถึง ‘Black Invasion’ จะมีการร้อยเรียงภาพบรรดาผู้อพยพชาวแอฟริกัน แทรกซึมไปยังสถานที่ต่างๆทุกแห่งหนในฝรั่งเศส คลอประกอบบทเพลงชื่อ Apollo เนื้อคำร้องเกี่ยวกับยานอวกาศอพอลโล่ที่ถูกส่งไปสำรวจ/ยึดครองดวงจันทร์ (=ชาวแอฟริกันเข้ายึดครองฝรั่งเศส)
ชายคนหนึ่งพบเห็นเล่น Pinball นี่ถือเป็นการเคารพคารวะ French New Wave และแฝงนัยยะสะท้อนถึงผู้อพยพชาวแอฟริกันในฝรั่งเศส ดำเนินชีวิตไปอย่างเรื่อยเปื่อย ไร้เป้าหมาย เพียงเอาตัวรอดไปวันๆ
วิธีการดำเนินเรื่องที่ผันแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เอาจริงๆไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ (ยกตัวอย่าง Citizen Kane (1941) ก็มีทั้ง Newsreel, บทสัมภาษณ์นักข่าว, หวนระลึกความทรงจำ ฯ) แค่ว่ามันไม่มากมายแทบจะทุกซีเควนซ์เหมือนภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งสร้างความท้าทายในการรับชมอย่างมากๆ แต่ถ้าคุณสามารถทำความเข้าใจเหตุผลการกระทำ ย่อมตระหนักถึงอัจฉริยภาพของผกก. Hondo สมฉายา “Founding Father of African Cinema” สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชนชาวแอฟริกัน
สำหรับเพลงประกอบก็เต็มไปด้วยความหลากหลายเช่นเดียวกับวิธีการดำเนินเรื่อง อาทิ เพลงพื้นบ้านแอฟริกัน, ดนตรีคำร้องฝรั่งเศส, บรรเลงกีตาร์ Folk Song ฯ ทั้งหมดเรียบเรียงโดย George Anderson ศิลปินสัญชาติ Cameroonian และเนื้อร้องมักมีความสอดคล้องเรื่องราว หรือเคลือบแฝงนัยยะความหมายบางอย่าง
Some men went Apollo, to the Moon to look for summer Apollo, they challenged the cosmos Apollo, they sang without echo Apollo, leaving the Earth and its misery
I don’t know why Apollo, they went round in circles Apollo, did they want to discover Apollo, diamonds or sapphires? Apollo, leaving the Earth and its misery
Love is there, open-armed Why leave if you can’t cure it? Towards the immensity that dazzles us Day and night We are all crazy We are all crazy We are all crazy
They left without passports Apollo, for the unknown, the infinite Apollo, they could not resist Apollo, within our limited frontiers Apollo, leaving the earth and its misery
But the wars continue Apollo, on the earth between tribes Apollo, and hunger already has a hold Apollo, in towns far and wide Apollo, on this earth and its misery
Love is there, open-armed Why leave if you can’t cure it? Towards the immensity that dazzles us Day and night We are all crazy We are all crazy We are all crazy
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes ในสาย International Critics’ Week เสียงตอบรับถือว่าดียอดเยี่ยม เลยมีโอกาสเดินทางไปฉายยังประเทศต่างๆมากมาย รวมถึง Quintette Theater ณ กรุง Paris ยาวนานถึงสามเดือนเต็ม! ถือว่าประสบความสำเร็จ สร้างชื่อเสียงให้ผกก. Hondo มีโอกาสสรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องถัดๆไป
Soleil Ô (1970) คือภาพยนตร์เรื่องแรกๆที่ได้รับการบูรณะในโครงการ African Film Heritage Project ริเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 2017 โดย The Film Foundation (ของผกก. Martin Scorsese) ร่วมกับ Pan African Federation of Filmmakers และองค์การ UNESCO เพื่อซ่อมแซมฟีล์มหนังเก่าจากทวีปแอฟริกันสู่สายตาชาวโลก
ฟีล์มต้นฉบับ 16 mm ของหนังมีความเสียหายหนักมากๆ จนต้องนำเอาฟีล์มออกฉาย 35mm มาแปะติดปะต่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วทำการบูรณะ 4K ผ่านการตรวจอนุมัติโดยผกก. Hondo สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray ของค่าย Criterion รวบรวมอยู่ในคอลเลคชั่น Martin Scorsese’s World Cinema Project No. 3 ประกอบด้วย Dos monjes (1934), Soleil Ô (1970) และ Downpour (1972)
A visual rondo of free-floating symbols, shape-shifting vampires and erotic high jinks, set in the fertile imagination of a newly nubile teenager, Jaromil Jires’s phantasmagoric Valerie and Her Week of Wonders (1970) may be the most exotic flower to bloom on the grave of the Prague Spring, but it’s one with deep roots in 20th-century Czech culture.
นักวิจารณ์ J. Hoberman จากนิตยสาร The New York Times
ถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดยผู้กำกับหญิง ผมเชื่อว่าต้องได้รับการโหวตจากนิตยสาร Sight & Sound ติดอันดับ The Greatest Film of All-Time และ(อันดับ)อาจสูงกว่า Daisies (1966) ด้วยซ้ำไป! แต่เพราะ Valerie and Her Week of Wonders (1970) สร้างโดยผู้กำกับชาย นำเสนอช่วงเวลา ‘Sexual Awakening’ ของเด็กสาวอายุ 13 ปี ผู้ชมสมัยนี้บางคนอาจส่ายศีรษะ เบือนหน้าหนีโดยพลัน
Valerie and Her Week of Wonders (1970) ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายแห่งยุคสมัย Czechoslovak New Wave เพราะบทหนังได้รับการอนุมัติระหว่าง Prague Spring ก่อนที่สหภาพโซเวียตจะบุกรุกราน เข้ามายึดอำนาจในกลุ่มประเทศ Warsaw Pact จากนั้นก่อตั้งกองเซนเซอร์เพื่อควบคุมครอบงำ ตรวจสอบภาพยนตร์ไม่ให้มีความล่อแหลม สุ่มเสี่ยงต่อพรรคคอมมิวนิสต์ (และสหภาพโซเวียต) นั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนยุคสมัยเลยก็ว่าได้
รับชม Valerie and Her Week of Wonders (1970) ทำให้ผมนึกถึงโคตรหนังอาร์ทญี่ปุ่น House (1977) จริงๆมันก็ไม่ได้ละม้ายคล้ายกันเท่าไหร่หรอก แต่การที่ตัวละครไม่ยี่หร่าต่อสิ่งชั่วร้ายรอบข้าง ล่องลอยราวกับอยู่ในจินตนาการเพ้อฝัน มันช่างโลกสวย เหนือจริง (Surreal) เต็มไปด้วยเรื่องราวสุดมหัศจรรย์! … ไว้ปีหน้าว่าจะกลับไปเขียนถึง J-Horror อีกสักรอบนะครับ
Jaromil Jireš (1935-2001) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Slovak เกิดที่ Bratislava, Czechoslovakia (ปัจจุบันคือ Slovakia) ก่อนย้ายมาปักหลักอาศัยกับมารดาที่ Prague, ร่ำเรียนการถ่ายภาพและกำกับภาพยนตร์ยัง Film and TV School of the Academy of Performing Arts in Prague (FAMU) เริ่มจากถ่ายทำสารคดีสั้น Fever (1959), หนังสั้น Uncle (1959), Footprints (1960), ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก The Cry (1964) ถูกเลือกให้เป็นหมุดหมายแห่งยุคสมัย Czechoslovak New Wave [เพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกถ่ายทำในสตูดิโอ Barrandov Studios]
เกร็ด: Czechoslovak New Wave แม้คือการรวมกลุ่มของผู้สร้างภาพยนตร์หัวขบถคล้ายๆแบบ French New Wave แต่ถ้าลงในรายละเอียดจะพบความแตกต่างอยู่มาก นั่นเพราะอิทธิพลรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่คอยควบคุม ครอบงำ เข้ามาแทรกแซงบ่อยครั้ง ไร้อิสรภาพในการสรรค์สร้างผลงานอย่างประเทศฟากฝั่งประชาธิปไตย ด้วยเหตุนี้จุดโด่นเด่นของ Czechoslovak New Wave มักมีลักษณะตลกร้าย (Dark Humor) บรรยากาศเหนือจริง (Surrealist) เต็มไปด้วยนัยยะเชิงสัญลักษณ์ซุกซ่อนเร้น ผู้กำกับส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาจาก FAMU และทำงานกับสตูดิโอ Barrandov Studios
ผลงานเด่นๆของกลุ่มเคลื่อนไหว Czechoslovak New Wave ประกอบด้วย Diamonds of the Night (1964), Loves of a Blonde (1965), Intimate Lighting (1965), The Shop On Main Street (1965), Daisies (1966), Closely Watched Trains (1966), The Firemen’s Ball (1967), The Cremator (1969) และ Valerie and Her Week of Wonders (1970)
สำหรับภาพยนตร์ลำดับที่สองของผกก. Jireš คือ The Joke (1969) สร้างขึ้นระหว่าง Prague Spring จัดเต็มการเสียดสีล้อเลียน วิพากย์วิจารณ์รัฐบาลคอมมิวนิสต์ โชคร้ายออกฉายภายหลังสหภาพโซเวียตบุกรุกรานกลุ่มประเทศ Warsaw Pact เข้าโรงได้ไม่กี่วันก็ถูกแบน เก็บเข้ากรุนานกว่า 20 ปี (ได้ออกฉายอีกครั้งก็เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย)
Valerie a týden divů (เขียนเสร็จเมื่อปี 1935 แต่ได้ตีพิมพ์ ค.ศ. 1945) แปลว่า Valerie and Her Week of Wonders นวนิยายแนว Surrealist แต่งโดย Vítězslav Nezval (1900-58) นักกวี นักเขียนแนว Avant-Garde สมาชิกกลุ่ม Devetsil (แปลว่า Nine Forces) และร่วมก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหว Surrealist ในประเทศ Czechoslovakia (เป็นกลุ่ม Surrealist แรกนอกประเทศฝรั่งเศส)
I wrote this novel out of a love of the mystique in those ancient tales, superstitions and romances, printed in Gothic script, which used to flit before my eyes and declined to convey to me their content. It strikes me that the poetic art is no more and no less than the repayment of old debts to life and to the mystery of life. Not wishing to lead anyone astray by my “Gothic novel” (least of all those who are afraid to look beyond the boundaries of “the present”), I am appealing to those who, like myself, gladly pause at times over the secrets of certain old courtyards, vaults, summer houses and those mental loops which gyrate around the mysterious. If, with this book, I will have given them an evocation of the rare and tenuous sensations which compelled me to write a story that borders on the ridiculous and trite, I shall be satisfied.
คำปรารถในหนังสือ Valerie and Her Week of Wonders โดย Vítězslav Nezval
ปล. นักวิจารณ์หลายๆสำนัก ให้ข้อสังเกตเรื่องราวสุดมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับ Valerie มีความละม้ายคล้าย Alice in Wonderland
ดั้งเดิมนั้น Valerie and Her Week of Wonders ดัดแปลงบทโดย Ester Krumbachová (1923-96) ให้กับสามีขณะนั้น ผกก. Jan Němec โปรเจคได้รับการอนุมัติปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1968 แต่หลังจากสหภาพโซเวียตบุกรุกรานสู่กลุ่มประเทศ Warsaw Pact ช่วงกลางเดือนสิงหาคม Němec ลักลอบแอบบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าว แล้วขนฟุตเทจไปต่างประเทศ ตัดต่อสารคดี Oratorio for Prague (1968) สร้างความไม่พึงพอใจแก่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ เลยถูกขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) ปฏิเสธกลับมารับโทษทัณฑ์ เลยจำต้องอพยพหลบลี้ภัย หมดสิทธิ์สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ทันใด!
เอาจริงๆ Jireš ก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน เพราะเพิ่งจัดหนักกับ The Joke (1969) เลยถูกหมายหัวจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ แต่เพราะเขาไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ จึงยังได้รับโอกาสสานต่อโปรเจค Valerie and Her Week of Wonders โดยสิ่งหลักๆที่ทำการปรับเปลี่ยนจากต้นฉบับนวนิยาย อาทิ ลดอายุของ Valerie จากเดิม 17 ปี เหลือเพียง 13 ปี แล้วให้เรื่องราวเริ่มต้นจากการมีประจำเดือนครั้งแรก และสร้างความคลุมเคลือให้เรื่องราวทั้งหมด ว่าบังเกิดขึ้นจริง หรือแค่เพียงภายในจินตนาการเพ้อฝัน
แซว: ทั้งที่มารดาของ Schallerová อยู่ในกองถ่ายร่วมกับบุตรสาวแทบตลอดเวลา แต่เธอก็ตกหลุมรักและได้แต่งงานกับ Petr Kopřiva นักแสดงรับบท Orlík
ถ่ายภาพโดย Jan Čuřík (1924-96) ตากล้องสัญชาติ Czech เกิดที่ Prague, โตขึ้นทำงานเป็นผู้ช่วยตากล้อง Krátký film Praha, ช่วงระหว่างอาสาสมัครทหาร มีโอกาสถ่ายทำหนังสั้น/สารคดีให้กับ Czechoslovak Army Film, ผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ Suburban Romance (1958), The White Dove (1960), Something Different (1963), The Joke (1969), Valerie and her Week of Wonders (1970), Lovers in the Year One (1973), Love Between the Raindrops (1979) ฯ
ผมพยายามนั่งฟังซ้ำๆอยู่หลายรอบ เพราะรู้สึกมักคุ้นท่วงทำนอง/คำร้องเสียเหลือเกิน (ถึงคำร้องภาษา Czech แต่ก็มีความมักคุ้นเสียเหลือเกิน) ก่อนมาระลึกได้ว่ามาจากบทเพลงระหว่างทำพิธีมิสซา มิน่าฟังแล้วสัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์ ราวกับต้องมนต์ขลัง และสำหรับบทเพลงสุดท้าย And the Last เปรียบดั่งงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ก่อนร่ำลา ปลุกตื่นขึ้นจากความเพ้อฝัน ทุกคนล้อมวงเข้ามาอำนวยอวยพรให้ Valerie ประสบโชคดีมีชัย เติบใหญ่เป็นสาวแรกรุ่นที่เพรียบพร้อมบริบูรณ์
Valerie and Her Week of Wonders นำเสนอเรื่องราวของเด็กหญิง ในวันที่ร่างกายมีประจำเดือนครั้งแรก ย่อมถือว่าถึงวัยเจริญพันธุ์ (พร้อมที่จะสืบพันธุ์) เติบโตเป็นผู้ใหญ่ จึงได้เวลาเรียนรู้จักโลกกว้าง ทำความเข้าใจสิ่งต่างๆรอบข้าง พบเห็นทั้งความงดงาม และพฤติกรรมอัปลักษณ์เลวทรามของผู้คนในสังคม
เมื่อตอนที่โปรเจค Valerie and Her Week of Wonders ได้รับการอนุมัติจาก Barrandov Studio ยังอยู่ในช่วงระหว่าง Prague Spring คงเป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่จะใช้ภาพยนตร์เรื่องนี้คือหมุดหมาย บันทึกประวัติศาสตร์ นำเสนอช่วงเวลาที่ชาว Czech ได้ปลุกตื่นจากฝันร้ายภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์/สหภาพโซเวียต แต่น่าเสียดายที่มันเป็นได้แค่ฝันซ้อนฝัน ตรงกันข้ามกลายเป็นจุดจบยุคสมัยแห่งความมหัศจรรย์ Czechoskovakia New Wave (กลุ่มเคลื่อนไหวนี้มีชื่อเล่น Czechoslovak Film Miracle) นำเข้าสู่ด้านมืด หนังใต้ดิน Czech Underground Films ในช่วงทศวรรษ 80s
ส่วนตัวไม่ค่อยชอบ The Confession (1970) อาจเพราะความคาดหวังจาก Z (1969) ครุ่นคิดว่าจะได้รับชมหนัง Political Thriller ที่มีความน่าตื่นเต้น รุกเร้าใจ แต่กลับเป็น ‘Torture Porn’ เต็มไปด้วยความอัดอั้น ทุกข์ทรมานทรวงใน … ผมอยากเรียกว่า ‘Political Turture’ เสียมากกว่านะ
Costa-Gavras ชื่อเต็ม Konstantinos Gavras หรือ Κωνσταντίνος “Κώστας” Γαβράς (เกิดปี ค.ศ. 1933) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติกรีก เกิดที่ Loutra Iraias, Arcadia ประเทศกรีซ, บิดาเข้าร่วมกลุ่ม Greek Resistance ต่อต้าน Nazi ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ภายหลังสงครามรัฐบาลกลับตีตราว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ทำให้ถูกควบคุมขังในช่วง Greek Civil War (1946-49) ครอบครัวจึงจำต้องอพยพหลบลี้ภัยไปอยู่สหรัฐอเมริกา โตขึ้นถึงสามารถกลับมาศึกษาต่อวรรณกรรม Université de Paris ตามด้วยภาพยนตร์ L’Institut des hautes études cinématographiques (IDHEC), แล้วทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Jean Giono, René Clair, Henri Verneuil, Jacques Demy, René Clément, Jean Becker, จนมีโอกาสกำกับหนังเรื่องแรก The Sleeping Car Murder (1965) คดีฆาตกรรมบนรถไฟสไตล์ Hitchcock แต่ผสมผสานประเด็นการเมือง
สไตล์ของ Costa-Gavras เป็นส่วนผสม/วิวัฒนาการของ ‘political cinema’ ในช่วงทศวรรษ 60s-70s รับอิทธิพลจาก Francesco Rosi (Salvatore Giuliano, Hands over the City, The Moment of Truth), Gillo Pontecorvo (The Battle of Algiers) และ Elio Petri (The Tenth Victim, We Still Kill the Old Way, Investigation of a Citizen Above Suspicion)
Thriller is a way to tell a story about society. Political thrillers are movies about people in a particular situation. We call them thrillers because they are thrilling. It’s a spectacle in a different way. It gives us another possibility. Everything is political.
ขออธิบายถึง Slánský trial (1952) สักหน่อยก็แล้วกัน ชื่อเต็มๆแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Trial of the Leadership of the Anti-State Conspiracy Centre Headed by Rudolf Slánský” การพิจารณาคดี 14 สมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง Czechoslovakia (Komunistická strana Československa, KSČ)) ที่ต่างมีเชื้อสาย Jewish นำโดย Rudolf Slánský ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการ KSČ ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นไส้ศึก คิดคดทรยศองค์กร โดนจับกุม ทัณฑ์ทรมาน ขึ้นศาลไต่สวน ส่วนใหญ่ตัดสินโทษประหารชีวิต แต่ก็ยังมีสามคนจำคุกตลอดชีวิต (แต่ไม่นานก็ถูกปล่อยตัวออกมา)
Yves Montand หรือ Ivo Livi (1921-91) นักร้อง นักแสดง สัญชาติ Italian-French เกิดที่ Monsummano Terme, Italy ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 ถูกขับไล่จากรัฐบาล Italian Fascist ครอบครัวจึงอพยพมาปักหลักอยู่ Marseilles, เริ่มต้นจากการเป็นนักร้องในผันบาร์ ก่อนได้รับการค้นพบโดย Édith Piaf เมื่อปี ค.ศ. 1944 ชักชวนให้มาเป็นส่วนหนึ่งในการแสดง พอเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็เข้าสู่วงการภาพยนตร์ อาทิ The Wages of Fear (1953), Let’s Make Love (1960), Is Paris Burning? (1966), Grand Prix (1966), Z (1969) Le Cercle Rouge (1970), Le sauvage (1975), Jean de Florette (1986) ฯ
ถ่ายภาพโดย Raoul Coutard (1924-2016) ตากล้องระดับตำนาน สัญชาติฝรั่งเศส ขาประจำของบรรดาผู้กำกับ French New Wave, สมัยเด็กตั้งใจร่ำเรียนเคมี แต่ไม่มีทุนการศึกษาเลยหันมาเป็นช่างภาพ เข้าร่วมสงคราม French Indichina War (1946-54) ในฐานะ ‘war photographer’ อาศัยอยู่เวียดนามถึง 11 ปี กลับมาฝรั่งเศสกลายเป็นฟรีแลนซ์ให้นิตยสาร Paris Match และ Look กระทั่งได้รับการติดต่อจากผู้กำกับ Pierre Schoendoerffer ทั้งๆไม่เคยมีประสบการถ่ายทำภาพยนตร์ แต่กลับได้เสียงชื่นชม The Devil’s Pass (1958), ติดตามมาด้วยผลงานแจ้งเกิดโด่งดัง Breathless (1960), Shoot the Piano Player (1960), Vivre sa Vie (1962), Jules et Jim (1962), Le Mépris (1963), Bande à part (1964), Pierrot le Fou (1965), Z (1969), The Confession (1970) ฯลฯ
ตากล้อง Coutard บ่นอุบถึงความยุ่งยากในการจัดแสง เพราะพื้นที่คับแคบ เปียกชื้นแฉะ แถมยังต้องไม่ให้มีเงามืดปรากฎบนใบหน้า ถือว่าท้าทายไม่น้อยกว่า ‘bedroom scene’ ที่ได้รับความนิยมยุค French New Wave
ดั้งเดิมนั้นหนังวางแผนถ่ายทำยัง Prague, Czechoslovakia โดยได้รับการสนับสนุนจาก Alois Poledňák อดีตผู้บริหารสตูดิโอ Czechoslovak State Film ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา แต่ก่อนเริ่มถ่ายทำเพียงเดือนเดียว Poledňák ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง เลยจำต้องเปลี่ยนสถานที่มายังเมือง Lille ตอนเหนือฝรั่งเศส, ส่วนภายในห้องพิพากษา ก่อสร้างฉากขึ้นยัง Boulogne-Billancourt Studio ณ กรุง Pars
รูปซ้ายมือหลายคนน่าจะรู้จักกันดี Joseph Stalin, ส่วนขวามือ Klement Gottwald (1896-1953) หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ (Komunistická strana Československa, KSČ) ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (President of Czechoslovakia) ระหว่างปี ค.ศ. 1948-53
ตัดต่อโดย Françoise Bonnot (1939-2018) สัญชาติฝรั่งเศส บุตรสาวของนักตัดต่อ Monique Bonnot ขาประจำผู้กำกับ Jean-Pierre Melville, เริ่มต้นจากเป็นผู้ช่วยมารดาตัดต่อภาพยนตร์ Two Men in Manhattan (1959), ฉายเดี่ยวกับ Army of Shadows (1969), จากนั้นกลายเป็นขาประจำผู้กำกับ Costa-Gavras ตั้งแต่ Z (1969), The Confession (1970), State of Siege (1972), Special Section (1975), Missing (1982), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ The Tenant (1976), 1492: Conquest of Paradise (1992), Frida (2002), Across the Universe (2007) ฯ
The Confession (1970) เพิ่มเติมก็คือ Anti-Stalinism เพราะการพิจารณาคดีความ Slánský trial บังเกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งระหว่าง Joseph Stalin และ Josip Broz Tito ก่อให้เกิด Anti-Cosmopolitan Campaign (1948) สำหรับกำจัดชนชาวยิว (Anti-Semitic) จากการเป็นสมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ พฤติกรรมดังกล่าวไม่แตกต่างจากพวก Nazi เลยสักนิด!
ผมมอง Z (1969) และ The Confession (1970) คือภาคต่อทางจิตวิญญาณของผกก. Costa-Gavras ต่างสะท้อนเหตุการณ์เคยบังเกิดขึ้นกับบิดาตนเอง (ถือเป็นกึ่งๆอัตชีวประวัติก็ว่าได้) สำหรับเรื่องนี้ก็คือการถูกรัฐบาลกรีกจับกุม คุมขัง ทัณฑ์ทรมาน ช่วงระหว่าง Greek Civil War (1946-49) เจ็บปวดทรมานทั้งร่างกาย-จิตใจ ครอบครัวต้องอพยพลี้ภัยต่างประเทศ
ผกก. Costa-Gavras แม้ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว แต่เขาสามารถสัมผัสความรู้สึก ครุ่นคิดถึงหัวอกบิดา ในขณะที่ Z (1969) ระบายอารมณ์คลุ้มบ้าคลั่งออกมา, The Confession (1970) พรรณาความท้อแท้สิ้นหวัง (ร้อยเรียงสารพัดการถูกทัณฑ์ทรมาน) จนถูกล้างสมอง สูญเสียความเชื่อมั่น ความเป็นตัวของตนเอง … การตื่นรู้ทางการเมืองในยุคสมัยสงครามเย็น เลวร้ายยิ่งกว่าการสู้รบสงครามโลกครั้งที่สองเสียอีกนะ!
ผิดกับ Z (1969) ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม แถมได้รับโอกาสเข้าฉายตามเทศกาลหนังทั่วโลก, The Confession (1970) เพราะใจความเหมือนจะต่อต้านคอมมิวนิสต์ (Anti-Communist) ทำให้แม้แต่ในฝรั่งเศสยังสร้างความกระอักกระอ่วน นักวิจารณ์ไม่ค่อยอยากแสดงความคิดเห็น ถึงอย่างนั้นช่วงปลายปียังพอมีลุ้นรางวัล
Golden Globe Award: Best Foreign-Language Foreign Film พ่ายให้กับ Rider on the Rain (1970)
Barbara Loden’s Wanda is anti-Bonnie and Clyde. It’s about a woman who doesn’t want anything, who hasn’t found anything to want, and who can accept life only on a day-to-day basis, without hope or plans, without fear or hatred. Wanda is a small, skinny, slovenly woman with bad teeth and straggly hair, who looks as if she’s never been loved, and never expected to be. She’s a real loser. But what the movie gets from her is something that we almost never get from a movie character—the feeling that Wanda could be any woman who ever lived.
เพราะความโคตรๆสมจริงนั้นเอง เป็นสิ่งที่ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ใคร่อยากดู รับรู้พบเห็น ภาพยนตร์ควรเป็นสื่อบันเทิง สร้างความผ่อนคลาย ไม่ใช่นำเสนอโลกความจริงที่เหี้ยมโหดร้าย แม้สามารถคว้ารางวัล Pasinetti Award: Best Foreign Film จากเทศกาลหนังเมือง Venice กลับถูกหลงลืม “มาสเตอร์พีซที่เลือนหาย”
Barbara Ann Loden (1932-80) นักแสดง/ผู้กำกับ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Asheville, North Carolina บิดาเป็นช่างตัดผม หลังหย่าร้างส่งบุตรสาวไปอาศัยอยู่กับย่าผู้เคร่งศาสนา ณ Marion, North Carolina วัยเด็กเป็นคนเหนียงอาย ไม่ชอบพูดคุยกับใคร จนกระทั่งอายุ 16 เดินทางสู่ New York City ทำงานนางแบบ, นักเต้นไนท์คลับ, แม้ไม่ค่อยชื่นชอบภาพยนตร์ แต่กลับเลือกร่ำเรียนการแสดง Actors Studio เพราะครุ่นคิดอยากมีชื่อเสียงโด่งดัง
People on the screen were perfect and they made me feel inferior.
Barbara Loden
จากนั้นเริ่มมีผลงานละครเวที ซีรีย์โทรทัศน์ เข้าตาผู้กำกับ Elia Kazan ชักชวนมาแสดงภาพยนตร์ Wind River (1960), Splendor in the Grass (1961), แล้วทั้งสองแต่งงานกันเมื่อปี ค.ศ. 1967
Barbara Loden was born anti-respectable … [She] was feisty with men, fearless on the streets, dubious of all ethical principles. [She]’s a bitch, bold, fearless, a sexual adventurer, maybe a gold-digger.
ผกก. Kazan เล่าว่าตนเองคือผู้เขียนบทร่างแรกให้ Loden จากนั้นเธอทำการปรับแก้ไขนับครั้งไม่ถ้วน (“rewrote it many times, and it became hers”.) ผสมผสานเข้ากับตัวตนเอง จนกลายเป็นกึ่งๆอัตชีวประวัติ (Semi-Autobiography) ในอดีตก็เคยเป็นแบบตัวละคร Wanda ล่องลอยไปมา ไร้จุดมุ่งหมายอะไรใดๆในชีวิต
It was sort of based on my own personality … A sort of passive, wandering around, passing from one person to another, no direction—I spent many years of my life that way and I felt that … well, I think that a lot of people are that way. And not just women, but men too. They don’t know why they exist.
I wanted to create a character who was not traditionally likable, but who was still sympathetic. Wanda is not a hero, but she is someone who we can relate to and care about. She’s flawed, but so are we all.
Barbara Loden
ในตอนแรก Loden ไม่ได้ครุ่นคิดอยากจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แต่หลังจากปรับแก้ไขบทอยู่หลายครั้ง คงทำให้เริ่มค้นพบเป้าหมายของตนเอง “to be an artist … is to justify her own existence” และยังได้รับการผลักดัน(ฟังดูกึ่งๆบีบบังคับ)จากสามี “You’re going to be a director”.
I feel that I’ve had a lot of things against me, aside from the fact that I’m a woman. I’m not part of a group, like the film schools, where a lot of people work together and help each other. I’ve had to do everything myself, and it’s much harder that way. When I was trying to raise money for the film, people were reluctant to give me any because they thought it was a woman’s lib thing, or something like that.
พื้นหลังเหมืองถ่านหิน Pennsylvania, เรื่องราวของ Wanda Goronski (รับบทโดย Barbara Loden) หญิงสาวผู้มีความเอื่อยเฉื่อย เชื่องชักช้า ใช้ชีวิตด้วยความน่าเบื่อหน่าย จึงตอบตกลงหย่าร้างสามี แล้วออกเดินทางเตร็ดเตร่ เร่ร่อน ร่วมหลับนอนผู้ชาย One-Night Stand (ONS) ไร้งาน ไร้เงิน จับพลัดจับพลูพบเจอ Norman Dennis (รับบทโดย Norman Dennis) โจรกระจอกกำลังปล้นบาร์แห่งหนึ่ง
I created Wanda as a woman who is very passive, and very accepting of the conditions of her life. She’s a woman who was born into a situation that she couldn’t escape from. And yet, I think there’s a strength in her, a certain resilience. She’s very much in touch with her own feelings and her own needs, and she’s very much a woman of the moment. She has an ability to find pleasure in small things, like the sun shining on her face, or a good cup of coffee. She’s very human, very real, and very much a product of her circumstances.
ตัวละคร Wanda ไม่ได้มีความสวยสาว ‘zombie-like beauty’ อุปนิสัยยังหาความน่าชื่นชอบไม่ได้ นักวิจารณ์บางคนเรียกว่า “Wanda is a totally loser”. แต่นั่นคือเป้าหมายของผกก. Loden เพราะเชื่อว่าผู้ชม/หญิงสาวสมัยนั้นจะสามารถจับต้อง เชื่อมโยงสัมพันธ์ รู้สึกสงสารเห็นใจ ตระหนักถึงสิ่งเลวร้ายบังเกิดขึ้น
Loden’s performance is one of the treasures of American cinema. She was the wife of the director, Kazan, and here shows the feeling of a person who is simply not making the grade in life, and who is too passive, or uncertain, or defeated, or whatever, to take steps to change things. The mystery of Wanda is that she is not unhappy. She accepts her lot, such as it is, and seems resigned to it. This acceptance is the key to the film’s greatness; Wanda is not a victim, but a woman who simply isn’t able to do better. Loden does not even seem to be acting; she seems to have made herself invisible and let the character come through.
Michael Patrick Higgins Jr. (1920-2008) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Brooklyn, New York ตั้งแต่เด็กมีความชื่นชอบหลงใหล Shakespeare, หลังได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติจากสงคราม มีโอกาสแสดงละครเวที Broadway, ตามด้วยซีรีย์โทรทัศน์, ภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ The Arrangement (1969), Wanda (1970), The Conversation (1974), Angel Heart (1987) ฯ
รับบท Norman Dennis ชายผู้มีความเก็บกด อึดอัดอั้น เต็มไปด้วยอารมณ์เกี้ยวกราดกับชีวิต อาจเพราะไม่สามารถหางานทำ เลยจำใจกลายเป็นโจร จับพลัดจับพลูพบเจอ Wanda ในตอนแรกก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวง วิตกจริต ไม่พึงพอใจที่อีกฝ่ายทึ่มทื่อ ซื่อบื้อ เชื่องชักชา ถึงอย่างนั้นกลับยินยอมให้ติดสอยห้อยตาม ออกคำสั่ง บีบบังคับโน่นนี่นั่น รู้สึกผ่อนคลายเล็กๆเมื่อได้อยู่เคียงข้าง
ตัวละคร Norman ถือเป็นขั้วตรงข้ามกับ Wanda แต่แม้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แตกต่าง คนหนึ่งชอบบงการ อีกคนเพียงก้มหัวทำตามคำสั่ง ทั้งสองกลับสามารถเติมเต็มสิ่งขาดหาย กลายเป็นที่พึงพักพิงของกันและกัน
I knew that Barbara was a gifted writer and actress, but I was really surprised at how gifted she was as a director. She had a real vision for the film and was able to create an atmosphere on set that was both supportive and challenging. She had a great eye for detail and was always looking for ways to make the scenes more authentic and true to life.
I was also really impressed by the way Barbara worked with the actors. She was very collaborative and always open to our ideas and suggestions. She had a real gift for bringing out the best in people and creating a sense of trust and camaraderie on set.
Michael Higgins, an actor I had not seen before, is unforgettable as Norman, conveying a complex mixture of anger, bitterness, and vulnerability that is both raw and deeply affecting. Loden is not afraid of showing us characters who are not particularly likable, and Higgins’ performance is a case in point – his Norman is often angry and even abusive, but we also see the hurt and fear that underlie his behavior.
นักวิจารณ์ Roger Ebert
ถ่ายภาพ/ตัดต่อโดย Nicholas T. Proferes (เกิดปี 1936) ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานผกก. D. A. Pennebaker เป็นผู้ช่วยถ่ายภาพ/ตัดต่อสารคดี Primary (1960), แม้ไม่เคยมีประสบการณ์ถ่ายทำภาพยนตร์ (Feature Film) แต่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้กำกับ Barbara Loden ชักชวนมาร่วมงาน Wanda (1970)
I was very reluctant. I had never shot any feature… Also, working with a woman, an actress – [that] didn’t seem a good idea, or even an interesting idea. I don’t know what made me do it
I wanted to capture the barrenness and ugliness of the landscape, and also the interior lives of the characters. I wanted the camera to be unobtrusive, to let the actors be the focus, and to give the viewer a sense of being there with them. We used natural light and minimal lighting, and shot on 16mm film, which gave the images a grainy, raw quality that I think suited the story and the characters.
The walking sequence -it’s my favorite sequence in the film- was, for me, an affirmation of her life. Even though she’s walking toward something that’s not very hopeful, she’s walking and she’s alive and she’s looking around. She’s living in the present, not in the future, not in the past, but in the present. And I think that’s the way she lives her whole life.
ผมเพิ่งรับชม Je Tu Il Elle (1974) เมื่อไม่กี่วันก่อน เลยตระหนักถึงอัตราส่วน/การมีตัวตนของหญิงสาวในเฟรมนี้ สังเกตว่าเตียงนอนออกจะกว้างใหญ่ แต่ฝ่ายชาย Norman กลับยึดครองสองในสาม หลงเหลือเพียงบริเวณอันคับแคบให้กับ Wanda ดิ้นสักนิดก็อาจตกเตียง
On the other side of the open field, there was a man with his son, playing with a toy plane guided by remote control. And Barbara said ‘Can you do something with that?’ I loved the idea and said ‘Yes, I can.’ So, while it was flying around, I was saying ‘Come back,’ waving my hand at the plane. Then I jumped on the [top of the] car, and raised my arms toward the sky.
I wanted the film to be simple, direct, and uncluttered, and to avoid any unnecessary camera movements. It’s an extremely simple film, actually; there are long takes and very few camera movements. We edited very closely to the camera work, not just for rhythm but for the continuity of the actors’ performances.
I didn’t want to do the kind of editing that’s done in Hollywood, where you show somebody driving up to a house and then cut to them coming out of the car and going into the house. I wanted the camera to follow her and the audience to follow her, and to feel what she felt.
I didn’t think of it as a woman’s liberation film, but it is. I think I was more interested in the existential dilemma that Wanda found herself in.
Barbara Loden
วัยเด็กของ Loden เติบโตขึ้นด้วยความยากลำบาก ถูกบิดา-มารดาทอดทิ้ง มีชีวิตล่องลอยเคว้งคว้าง ไร้เป้าหมายความต้องการใดๆ จนกระทั่งจุดๆหนึ่งโหยหาการมีตัวตน ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ออกเดินทางสู่ New York ร่ำเรียนการแสดงทั้งๆไม่ชอบสื่อภาพยนตร์ เกี้ยวพาราสี ตอบตกลงแต่งงานสามีคนแรก Laurence Joachim เพียงเพราะ “I want to be famous…” มีบุตรด้วยกันสองคน ก่อนตัดสินใจเลิกราหย่าร้างเมื่อมีโอกาสแสดงภาพยนตร์ของ Elia Kazan
ผมครุ่นคิดว่าเราสามารถเปรียบเทียบตัวละคร Norman ได้ตรงๆกับ Elia Kazan ต่างเป็นจอมบงการ เลื่องลือเรื่องความเผด็จการในกองถ่าย เมื่อครั้นเตรียมงานสร้างภาพยนตร์ The Arrangement (1969) ให้คำนิยามว่า “an autobiographical study of him and his wife”. ตั้งใจจะให้ Loden รับบทนางเอกประกบ Marlon Brando แต่พอเปลี่ยนมานักแสดงฝ่ายชายมาเป็น Kirk Douglas เลยต้องเลือกนางเอกใหม่ Faye Dunaway นั่นสร้างความไม่พึงพอใจ อย่างไม่ให้อภัย
(เราสามารถเปรียบเทียบภาพยนตร์ The Arrangement (1969) กับการปล้นธนาคารของ Norman ที่หลังจากทอดทิ้ง Loden/Wanda พวกเขาต่างประสบความล้มเหลวระดับหายนะ)
When I first met her, she had little choice but to depend on her sexual appeal. But after Wanda she no longer needed to be that way, no longer wore clothes that dramatised her lure, no longer came on as a frail, uncertain woman who depended on men who had the power… I realised I was losing her, but I was also losing interest in her struggle… She was careless about managing the house, let it fall apart, and I am an old-fashioned man
She had succeeded completely in making a life independent.
Elia Kazan เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของ Barbara Loden ภายหลัง Wanda (1970)
Wanda is not just dull and uninteresting, she is ungraspable. She is so insipid, so almost deliberately inarticulate, that one cannot even pity her, much less comprehend her.
Stanley Kauffmann นักวิจารณ์จาก The New Republic
The picture’s not much good, but it’s just slow enough and boring enough to make you think it’s supposed to be great… There’s no humor, no wit, no tension, no suspense, and no drama, and nothing happens that isn’t obvious from the start.
Rex Reed นักวิจารณ์จาก The New York Observer
แต่กระแสนิยมอย่างต่อเนื่องในยุโรป ทำให้ผู้ชมในสหรัฐอเมริกาค่อยๆตระหนักถึงความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อหนัง ปัจจุบันได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างมากๆ ถึงขนาดติดอันดับ “Greatest Film of All-Times” ของนิตยสาร Sight & Sound โดยเฉพาะครั้งล่าสุด ค.ศ. 2022 เกาะกระแส Feminist ไต่ขึ้นถึง Top50
Barbara Loden’s Wanda is a gem of a film, with a touch of John Cassavetes and a hint of early Terrence Malick, yet a movie that is completely its own thing. Loden makes Wanda’s unvarnished world absolutely authentic: this is America, working-class America, the America of the gas station and the diner, the drab streets and the rundown hotel rooms, the one that has so often been neglected.
Peter Bradshaw นักวิจารณ์จาก The Guardian
Wanda (1970) is one of the great independent films of the nineteen-seventies, a landmark work of American realism. Loden’s direction, with its spare, observational style, is rigorous in its unpretentiousness; the camera remains, as it were, a respectful and empathetic but unyielding distance from Wanda, recording her with a vividness that, paradoxically, imparts a subtle sense of the inscrutability of her character. Loden’s performance, too, is a masterpiece of its kind: from her clothes to her posture to her way of speaking, she conveys the trapped and helpless condition of a woman who doesn’t know what she wants and is too battered and too resigned to try to find out.
Richard Brody นักวิจารณ์จาก The New Yorker
ความที่ต้นฉบับถ่ายทำด้วยฟีล์ม 16mm แถมยังเป็นหนัง Indy (ไม่มีสตูดิโอจัดจำหน่าย) การบูรณะจึงเต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบาก โชคดีได้รับการสนับสนุนจาก The Film Foundation ร่วมกับ Gucci เข้าโครงการของ UCLA Film & Television Archive เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2010 คุณภาพ 2K, ปัจจุบันสามารถหาซื้อ Blu-Ray และรับชมออนไลน์ได้ทาง Criterion Channel
ส่วนตัวมีความชื่นชอบหนังอย่างมากๆยิ่งกว่า Breathless (1960), Bonnie and Clyde (1967) สร้างความตระหนักถึงการเป็นอาชญากร ปัญหาสังคม สิทธิสตรีได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการแสดง/กำกับของ Barbara Loden ชวนให้รู้สึกสมเพศเวทนาแบบเดียวกับ Dog Day Afternoon (1975)
ผมตั้งใจจะเริ่มเทศกาล Halloween (ที่เลยมาแล้ว) ด้วยหนังแนว Horror เน้นสร้างความเขย่าขวัญ สั่นประสาท จิตวิทยา (Psychological Horror) ทีแรกแอบคาดหวัง Witchhammer (1970) จะมีบรรยากาศแฟนตาซีคล้ายๆ Häxan (1922) แต่กลับออกเป็น The Passion of Joan of Arc (1928) ผสมกับ Day of Wrath (1943) (ทั้งสองเรื่องกำกับโดย Carl Theodor Dreyer) ที่สามารถเปรียบเทียบสถานการณ์การเมืองยุคสมัยนั้น
He always said a director must make films and uses a phrase that a director without a camera is like a shoemaker without shoes.
What Vávra did he did because he knew what he had to do. His work at the Barrandov film studios raised the professional level of all technical staff and other people involved. And was not alone, you know. Other directors made the same things. But because Vávra is older, and he worked under all the regimes, he became a target of other people’s envy and jealousy. But he didn’t do it for himself; he did it to make Czech cinema better.
Vladimír Šmeral (1903-82) นักแสดงสัญชาติ Czech เกิดที่ Drásov, Austria-Hungary โตขึ้นเดินทางสู่ Prague เข้าร่วมโรงละคร Osvobozené divadlo (Liberated Theatre), ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองถูกส่งไปค่ายกักกัน Wroclaw โชคดีสามารถหลบหนีเอาตัวรอดมาได้ หลังสงครามสมัครเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ Czechoslovak กลายเป็นนักแสดงขาประจำผู้กำกับ Otakar Vávra มีผลงานภาพยนตร์ อาทิ The World Is Ours (1937) Silent Barricade (1949), Hotel for Strangers (1966), Larks on a String (1970), Witchhammer (1970) ฯลฯ
รับบท Jindřich František Boblig of Edelstadt อดีตผู้พิพากษาที่ถูกตีตราถึงความคอรัปชั่น แต่โชคชะตานำพาให้เขากลายเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวน (inquisitor) คดีความเกี่ยวกับแม่มด โดยใช้คัมภีร์ Malleus Maleficarum สำหรับอ้างอิงการไต่สวน จับผู้ต้องสงสัยมาทำทัณฑ์ทรมาน บีบบังคับให้สารภาพความผิดที่ไม่ได้ก่อ นั่นสร้างความพึงพอใจให้เบื้องบน มอบอำนาจที่แทบจะล้นฟ้า สามารถแบล็กเมล์ กำจัดผู้ครุ่นคิดเห็นแตกต่างให้พ้นภัยทาง
เกร็ด: โบสถ์แห่งนี้คือ Kostel svatého Jakuba Většího แปลว่า Church of St. Jakub Větší (Saint James the Greater, อัครทูตของพระเยซู) ตั้งอยู่ที่ Prague-Kunratice เป็นวิหารเก่าแก่ของ Roman Catholic ในสไตล์ high Czech Baroque สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1730-36
แซว: เห็นอุปกรณ์ทัณฑ์ทรมาน รวมถึงการแผดเผาในกองเพลิง ก็ชวนให้นึกถึงโคตรหนังเงียบ The Passion of Joan of Arc (1928) มีความละม้ายคล้ายกันหลายๆส่วนทีเดียว
หนังดำเนินเรื่องในลักษณะเคียงคู่ขนาน/ตัดสลับไปมาระหว่างบาทหลวง Kryštof Alois Lautner และผู้พิพากษา Jindřich František Boblig of Edelstadt ฝั่งหนึ่งทำการพิจารณาคดีความเกี่ยวกับแม่มด อีกฝั่งหนึ่งพยายามหาหนทางแก้ไข ทำบางสิ่งอย่างต่อเหตุการณ์บังเกิดขึ้น
Jak černý mrak, už táhne smrťák zabiják, už táhne smrťák zabiják, už zabiják táhne na hrbatém koni a na tom koni kosti jenom zvoní a vlá a vlá mu hříva plesnivá, a kosti a kosti a těma on nás hostí,
jak černý mrak, už táhne smrťák zabiják, už táhne smrťák zabiják a krev a krev, není čas na rakev a krví a krví on pustá pole mrví, nám je už hej, už s námi táhne zubatej, už s námi táhne zubatej,
už zubatec táhne na svém černém koni a na tom koni jenom kosti zvoní, a láká a láká každého vojáka ta dávivá kosa smrti zabijáka,
a černý host, už ohryzává bílou kost, už ohryzává bílou kost a černý host už ohryzává kost, a kosti a kosti a těma on nás hostí, nám je už hej, už s náma táhne zubatej, už s námi táhne zubatej.
Like a black cloud, the dead killer is already dragging, the dead man is already dragging, the killer is already pulling on a humpbacked horse and the bones just ring on that horse and his moldy mane sways and sways, and bones and bones and with these he hosts us,
like a black cloud, the dead killer is already dragging, the dead man is already pulling the killer and blood and blood, no time for a coffin and with blood and blood he wastes the field of carrion, we’re fine now, he’s already dragging the toothy with us, the toothy one is already dragging with us,
already the cog pulls on his black horse and on that horse only the bones ring, and entices and tempts every soldier that slaying scythe of death,
and the black guest, already gnawing at the white bone, already gnawing at the white bone and the black guest is already gnawing the bone and bones and bones and with these he hosts us, we’re fine now, we’re already being dragged along, the toothy one is already with us.
นอกจากนี้ระหว่างงานเลี้ยง ยังมีการบรรเลงบทเพลงคลาสสิก ของคตีกวีชาวอิตาเลี่ยน Antonio Vivaldi: Violin Concerto in A Minor, Op. 3, No. 6, RV356 (1711) ท่อน I. Allegro มีชื่อเรียกว่า L’estro armonico (The Harmonic Inspiration) ให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม เหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในปุยเมฆ รับฟังเสียงนกน้อยใหญ่กำลังขับขาน สุขสำราญ เกษมเปรมปรีดา
In our younger days, the fifth concerto of Vivaldi, composed of rattling passages in perpetual semiquavers, was the making of every player on the violin, who could mount into the clouds, and imitate not only the flight, but the whistling notes of birds.
นักประวัติศาสตร์ดนตรี Charles Burney (1726–1814) กล่าวถึงในหนังสือ Rees’s Cyclopædia
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะคุณภาพ 2K โดยนำฟีล์มต้นฉบับมาจาก Czech National Film Archive สามารถหาซื้อ Blu-Ray ลิขสิทธิ์ของ Severin Films และ Second Run (ของค่าย Second Run จะมี Special Feature ที่น่าสนใจเยอะกว่า)
หรือถ้าใครสนใจ Boxset รวมโคตรหนัง Horror แห่งทวีปยุโรปทั้งหมด 20 เรื่อง (ได้รับการบูรณะ 2K) แนะนำให้ค้นหา All the Haunts Be Ours: A Compendium of Folk Horror ของค่าย Severin Films เพิ่งจัดจำหน่ายเมื่อปลายปี 2021
ใครเคยอ่านเทพนิยายของ Charles Perrault, Grim Brothers หรือ Hans Christian Andersen ฉบับดั้งเดิมแท้ๆ น่าจะตระหนักว่าเรื่องราว Fairy Tale มักซ่อนเร้นความเหี้ยมโหดร้ายที่สามารถเป็นบทเรียนตราฝังในความทรงจำ! เช่นว่า หนูน้อยหมวกแดงระบำเปลือยให้หมาป่า ก่อนถูกข่มขืนแล้วจับกิน, ฮันเทลกับเกรเทล โดนหญิงแก่จับขังเพราะไปล้วงความลับสูตรขนมปัง ฯลฯ
ผมไปอ่านเจอบทความของนักวิจารณ์ต่างประเทศ กล่าวถีงความหมกมุ่นในประเด็น Incest ของผู้กำกับ Demy ไม่ได้จบลงแค่ภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ยังผลงานเรื่องสุดท้าย Three Seats for the 26th (1988) ก็นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างบิดา-บุตรสาว ที่ได้กระทำสำเร็จ เติมเต็มความต้องการของกันและกัน (น่าเสียดายที่ผมหาหนังเรื่องนั้นมารับชมไม่ได้ T_T)
Jacques Demy (1931-90) ผู้กำกับสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Pontchâteau, Loire-Atlantique เมืองท่าทางตะวันตกของฝรั่งเศส ครอบครัวเปิดกิจการร้านซ่อมรถ จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง ดินแดนแห่งนี้ถูกใช้เป็นจุดจอดท่าเรือรบ มีทหารพันธมิตรขึ้นฝั่งมากมาย ตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตีทิ้งระเบิด แล้วทุกสิ่งอย่างก็ราบเรียบหน้ากลอง, ช่วงหลังสงคราม Demy ถูกส่งไปโรงเรียนมัธยมยังเมือง Nantes ค้นพบความหลงใหลในภาพยนตร์ พออายุ 18 ออกเดินทางสู่กรุง Paris ได้เป็นลูกศิษย์ของ Georges Rouquier (ผู้กำกับสารคดี) และ Paul Grimault (นักทำอนิเมเตอร์ชื่อดัง), สรรค์สร้างหนังสั้นเรื่องแรก Dead Horizons (1951), ตามด้วยสารคดีขนาดสั้น The clog maker of the Loire Valley (1956)
ตั้งแต่วัยเด็ก Demy มีความหลงใหลในเทพนิยายแฟนตาซี คลั่งไคล้วรรณกรรมของ Charles Perrault และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์ Beauty and the Beast (1946) ของผู้กำกับคนโปรด Jean Cocteau ซึ่งหลังจากเดินทางมาร่ำเรียนภาพยนตร์ยังกรุง Paris ช่วงกลางทศวรรษ 50s เคยพัฒนาดัดแปลงบท The Sleeping Beauty แต่หลังจาก Walt Diseny สรรค์สร้างอนิเมชั่น Sleeping Beauty (1959) ก็ล้มละเลิกความตั้งใจดังกล่าว
In the past, before, when I was a child, I particularly liked Donkey Skin. I tried to make the film in this perspective, through my eyes, like that, when I was seven or eight years old.
Jacques Demy
หลังความสำเร็จของ The Young Girls of Rochefort (1967) ผู้กำกับ Demy ก็ได้โอกาสเดินทางสู่ Hollywood สรรค์สร้างภาพยนตร์ Model Shop (1969) ที่ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ นั่นทำให้เขาสองจิตสองใจ จะยังอยู่สหรัฐอเมริกาต่อไปดีไหม หรือกลับฝรั่งเศสดีกว่า? ระหว่างสร้างหนังตามใบสั่งสตูดิโอ หรืออิสรภาพในการเลือกโปรเจคที่อยากทำ?
I especially wanted to return to France to make Peau d’ânethat I had in mind for a while. Mag Bodard came to see me in Hollywood to tell me that she had the funding, that Catherine [Deneuve] wanted to do it. I hesitated a bit and told myself that if I continued on this path, it was not the one I had chosen since I prefer to write the subjects that I produce. If I entered the Hollywood system, it might suit me, but I wasn’t sure.
เกร็ด: โปรเจคที่ Columbia Pictures ยื่นข้อเสนอให้ Jacques Demy คือกำกับภาพยนตร์ A Walk in the Spring Rain (1970) นำแสดงโดย Ingrid Berman และ Anthony Quinn ซึ่งหลังจากเจ้าตัวบอกปัดปฏิเสธ ส้มหล่นใส่ผู้กำกับ Guy Green แต่ก็ไม่สามารถทำออกมาให้น่าสนใจ
Peau d’Âne (1695) หรือ Donkey Skin ประพันธ์โดย Charles Perrault (1628-1703) นักเขียนชาวฝรั่งเศส ที่มีผลงานเทพนิยายดังๆอย่าง Le Petit Chaperon Rouge (หนูน้อยหมวกแดง), Cendrillon (Cinderella), Le Maître chat ou le Chat botté (Puss in Boots), La Belle au bois dormant (Sleeping Beauty) ฯ
ขอกล่าวถึง Charles Perrault สักเล็กน้อย, เกิดที่กรุง Paris ครอบครัวชนชั้นกลาง ฐานะมั่งคั่ง ร่ำเรียนกฎหมาย ทำงานเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อมาได้เข้าร่วม Academy of Inscriptions and Belles-Lettres กลายเป็นเลขานุการ Jean Baptiste Colbert (รัฐมนตรีการคลังของ King Louis XIV), ไต่เต้าจนกลายเป็นสมาชิกบัณฑิตยสถาน Académie française, พออายุมากขึ้นหลังจากเกษียณจากการทำงาน หันมาเขียนวรรณกรรมเยาวชน ตีพิมพ์ผลงานเรื่องแรกปี 1965 (ขณะอายุ 67 ปี)
แม้ว่าผู้กำกับ Demy จะเคยมีภาพของ Brigitte Bardot ในบทบาทเจ้าหญิง แต่หลังจากได้ร่วมงานกับ Deneuve ตั้งแต่ The Umbrellas of Cherbourg (1964) และ The Young Girls of Rochefort (1967) ก็เลยมีโอกาสพูดคุย ชักชวน นำบทให้อ่าน ซึ่งเธอก็ตอบตกลงด้วยความเชื่อมั่นแบบไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิดตัดสินใจ
Like the other girls, I liked stories of fairies and witches, kings and princesses, pearls and toads. When I read the script for Peau d’Âne, I rediscovered the emotions of my childhood reading, the same simplicity, the same humour, and, why not say it, a certain cruelty which generally wells up under the quiet snow from the most magical tales.
Catherine Deneuve
ไดเรคชั่นการแสดงของหนังเรื่องนี้ จะมีความแตกต่างจากผลงานอื่นๆ (ของผู้กำกับ Demy) ทุกท่วงท่า การขยับเคลื่อนไหว ล้วนปรุงปั้นแต่งให้ดูเว่อวังอลังการ (แลดูคล้ายๆ Beauty and the Beast (1946)) เพื่อสร้างสัมผัสเหนือจริง (Surreal) หลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซี แห่งความเพ้อฝันจินตนาการ
Jacques [Demy] asked us to exaggerate everything: our gazes at the ceiling, our gestures overplaying despondency or emotion, as in a pious image. This earned us giggles whose traces can be detected in a few scenes of the film. But it was mostly covertly, an injunction to surreality in the aesthetic and literary sense.
Jacques Perrin ชื่อจริง Jacques André Simonet (เกิดปี 1941) นักแสดง/โปรดิวเซอร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Paris บิดาทำงานผู้จัดการโรงละคร ส่วนมารดาก็เป็นนักแสดง(ประจำโรงละคร) แน่นอนว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เข้าฝีกฝนการแสดงยัง Conservatoire National Supérieur d’Art Dramatique, จากนั้นขี้นแสดงละครเวที, สมทบภาพยนตร์ Girl with a Suitcase (1960), โด่งดังกับ La busca (1966), Un uomo a metà (1966), The Young Girls of Rochefort (1967), แต่หลังจากนั้นก็เปิดสตูดิโอ กลายเป็นโปรดิวเซอร์หนังรางวัลอย่าง Z (1969), Home Sweet Home (1973), Black and White in Color (1976), Himalaya (1996) ฯ
จะว่าไปบทบาทของ Perrin แทบไม่แตกต่างจาก The Young Girls of Rochefort (1967) ตัวละครมีความโหยหารักแท้จนไม่เป็นอันกินอันนอน สายตาเหม่อล่องลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนกว่าจะได้รับการตอบสนอง แต่แค่เพียงรับประทานเค้ก เกือบจะกลืนกินแหวนวงนั้น ก็สามารถลุกขึ้นจากเตียง ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
Delphine Claire Beltiane Seyrig (1932-90) นักแสดงสัญชาติ Lebanese เกิดที่ Beirut, Greater Lebanon บิดาเป็นชาวฝรั่งเศส มารดาเชื้อสาย Swiss, ตั้งแต่เด็กมีโอกาสฝึกฝนการแสดงยัง Comédie de Saint-Étienne จากนั้นเดินทางสู่ New York เข้าร่วม Actors Studio ตั้งแต่ปี 1956, ภาพยนตร์เรื่องแรก Pull My Daisy (1958) แล้วได้พบเจอผู้กำกับ Alain Resnais ชักชวนมาเล่น Last Year at Marienbad (1961) แจ้งเกิดโด่งดังโดยทันที, ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Muriel ou Le temps d’un retour (1963), The Discreet Charm of the Bourgeoisie (1972), The Day of the Jackal (1973), India Song (1975), Jeanne Dielman, 23 quai du Commerce, 1080 Bruxelles (1975) ฯ
ถ่ายภาพโดย Ghislain Cloquet (1924-81) สัญชาติ Belgian เกิดที่ Antwerp, Belgium ย้ายมาเรียนต่อ Paris แล้วได้สัญชาติเมื่อปี 1940, เริ่มต้นถ่ายทำหนังสั้น มีชื่อเสียงจาก Le Trou (1960), Classe Tous Risques (1960), The Fire Within (1963), Au hasard Balthazar (1966), The Young Girls of Rochefort (1967), Mouchette (1967), Love and Death (1975), Tess (1979) ** คว้า Oscar: Best Cinematography
ผู้กำกับ Demy ต้องการอุทิศภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ Jean Cocteau ผู้ล่วงลับ ซึ่งหลายๆสิ่งอย่างล้วนเคารพคารวะ Beauty and the Beast (1946) ตั้งแต่เจาะจงนักแสดง Jean Marais เสื้อผ้าหน้าผม การออกแบบฉาก (ที่ใช้มนุษย์เป็นเฟอร์นิเจอร์) รวมไปถึงการถ่ายภาพ Trick Shot อาทิ Slow-Motion, Reverse Shot ฯ เพื่อสร้างสัมผัสราวกับเวทย์มนต์ ในดินแดนแฟนตาซี เหนือจินตนาการ
แต่ความแตกต่างระหว่าง Donkey Skin และ Beauty and the Beast คือการถ่ายทำด้วย Eastmancolor ซึ่งสามารถละเลงสีสัน ใส่ความระยิบระยับ ให้มีความตื่นตระการตา และใช้ปราสาทจริงๆเป็นพื้นหลัง หนังจึงมอบความรู้สึกจับต้องได้มากกว่า
Château de Chambord ตั้งอยู่ที่ Chambord, Centre-Val de Loire เริ่มต้นก่อสร้าง ค.ศ. 1519 ในรัชสมัย King Francis I (ครองราชย์ 1515-47) แล้วเสร็จสิ้น ค.ศ. 1954, ออกแบบโดย Domenico da Cortona ด้วยสถาปัตยกรรม French Renaissance
พระราชวังของประเทศสีแดง
Château du Plessis-Bourré ตั้งอยู่ที่ Loire Valley, Maine-et-Loire เริ่มต้นก่อสร้าง ค.ศ. 1468 แล้วเสร็จสิ้น ค.ศ. 1472 ด้วยสถาปัตยกรรม Renaissance
พระราชวังของประเทศสีน้ำเงิน
Château de Neuville ตั้งอยู่ Gambais, Yvelines ก่อสร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 16 ออกแบบโดยสถาปนิก Jacques I Androuet du Cerceau
ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย Gitt Magrini (1914–77) สัญชาติอิตาเลี่ยน ขาประจำของ Bernardo Bertolucci แต่ก็มักร่วมงานผู้กำกับยุค French New Wave อาทิ The Fire Within (1963), The Nun (1966), Two English Girls (1971), La Grande Bouffe (1973) ฯ
“technician walked around with a 16 mm projector, following Catherine Deneuve so that the cloud was still on her dress, even if sometimes it overflowed a little”.
ภายนอกดูอัปลักษณ์ น่ารังเกียจขยะแขยง แต่ซุกซ่อนเร้นภายในด้วยความงดงามของเจ้าหญิง … นัยยะเดียวกับ Beauty and the Beast
ในส่วนของ Production Design เพราะขาประจำ Bernard Evein และ (ออกแบบฉาก) Agostino Pace ต่างติดพันโปรเจคอื่น ทำให้ผู้กำกับ Demy ต้องมองหาสมาชิกใหม่ Jim Leon แต่หลังร่วมงานไปได้สักพัก หมอนี่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง จำต้องเปลี่ยนตัวกลางคันมาเป็น Jacques Dugied แล้วหาทางแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ แต่ก็สิ้นเปลืองงบประมาณกว่าเท่าตัว (ในส่วนของ Production Design จากเตรียมงบไว้ 350,000 ฟรังก์ เพิ่มมาเป็น 770,000 ฟรังก์)
At seven o’clock in the evening, the decorator comes to tell me: ‘It’s a disaster. The Princess’s bed is completely ruined; we didn’t have it done where it should have been. It was a very large, very pretty flower, in pink flocked velvet, which opened when the Princess approached and closed when she was lying in it. I went to see the machine in question and it was a terrible mechanism, which worked in jerks; the flocking had not been done; they had glued a fabric on it and you could see the glue. It was horrible, unusable. We fired that and spent the night trying to come up with a set. I had seen two stags, downstairs, in the entrance to Chambord, we brought them up and made the bed with that, improvising the rest.
ประเทศสีน้ำเงิน ใช้ปราสาท Château du Plessis-Bourré ดูมึความเรียบง่าย สถาปัตยกรรมไม่ได้ดูซับซ้อนอะไร ส่วนการตกแต่งภายในทำออกมาละม้ายคล้าย Beauty and the Beast (1946) เต็มไปด้วยดอกไม้ เถาวัลย์ เฟอร์นิเจอร์สิ่งมีชีวิต (มนุษย์และสัตว์)
ประเทศสีแดง ใช้ปราสาท Château de Chambord ภายนอกมีความหรูหรา วิจิตรตระการตา ภายในก็ดูโอ่งโถง รโหฐาน ทำจากอิฐปูน มีความมั่นคง สะอาดสะอ้าน ไม่รกหูรกตา
ฉากที่ผมรู้สึกว่ามีความ Charming น่าหลงใหลมากๆ คือขณะเจ้าหญิงทำขนมเค้กให้เจ้าชาย ไม่ใช่แค่บทเพลง Recipe for a Love Cake ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นลีลา แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะตอกไข่ได้ลูกไก่ (เอาลูกไก่ใส่ไข่ไว้ก่อน แล้วแสร้งทำเป็นตอกออกมา) ช่างมีความน่ารักน่าชังยิ่งนัก
เพลงประกอบโดย Michel Jean Legrand (1932-2019) สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Paris เป็นบุตรของนักแต่งเพลง/วาทยากรชื่อดัง Raymond Legrand มีอัจฉริยภาพด้านเปียโนตั้งแต่เด็ก พออายุ 10-11 ขวบ เข้าศึกษา Conservatoire de Paris ค้นพบความสนใจดนตรีแจ๊สและการประพันธ์เพลง จบออกร่วมทัวร์การแสดงของ Maurice Chevalier (เป็นนักเปียโน) จากนั้นออกอัลบัมแรก I Love Paris (1954) ได้รับความนิยมอย่างคาดไม่ถึง, สำหรับภาพยนตร์เริ่มต้นจาก Les Amants Du Tage (1954), โด่งดังกับ L’Amérique insolite (1958), A Woman Is a Woman (1960), ร่วมงานกลายเป็นขาประจำผู้กำกับ Jacques Demy ตั้งแต่ Lola (1961), The Umbrellas of Cherbourg (1964), The Young Girls of Rochefort (1966), กระทั่งคว้า Oscar: Best Score จาก Summer of ’42 (1971), The Thomas Crown Affair (1968) และ Yentl (1983)
Legrand คงมองภาพยนตร์เรื่องนี้คือความท้าทายที่จะได้ทดลองสรรค์สร้างแนวเพลงใหม่ๆ ซึ่งความตั้งใจของผู้กำกับ Demy คือการผสมผสานดนตรี Baroque เข้ากับ Jazz และ Pop เพื่อสร้างสัมผัสยุคกลาง (Medieval) คลุกเคล้าโลกแฟนตาซี (Fantasy) ให้มีกลิ่นอายราวกับเวทย์มนต์ขลัง
From the outset, I give Peau d’Âne a kind of symmetry, framing it with two great fugues, one opening, the other closing: the first on the theme of the search for love (Amour, Amour), the second on that of found love (Rêves secrets)
Michel Legrand
วิธีการดังกล่าวดูเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ผมมานั่งฟังทีละบทเพลงในอัลบัมก็รู้สึกว่ามีความไพเราะ เคลิบเคลิ้มหลงใหล แต่พอนำไปประกอบภาพยนตร์กลับไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไหร่ มันดูกลมกลืน ลื่นไหล ธรรมดาเกินไป ผิดความคาดหวังผู้ชม เพราะนึกว่าจะได้ยินดนตรีที่เต็มไปด้วยสีสัน ฉูดฉาดจัดจ้าน แบบที่เคยทำกับ The Umbrellas of Cherbourg (1964) และ The Young Girls of Rochefort (1966)
Fugue du Prince เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นโดยใช้วิธีการ Fugue เริ่มต้นด้วยเสียงเชลโล่บรรเลงท่วงทำนองซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นจะตามด้วยเสียงไวโอลินสอดประสานเข้ามา แล้วช่วงท้ายก็จะมีเครื่องสายอื่นๆร่วมด้วยช่วยกัน
ปล. แม้ว่า The Umbrellas of Cherbourg (1964) จะได้รับความนิยมในฝรั่งเศสน้อยกว่า Donkey Skin (1970) แต่รายรับทั่วโลกเหมือนจะมากกว่า/สูงที่สุดของผู้กำกับ Jacques Demy
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ (digital restoration) คุณภาพ 2K พร้อมเสียง 5.1ch surround จัดจำหน่าย DVD โดย Koch-Lorber Films และสามารถหารับชมได้ทาง Criterion Channel
ช่วงต้นทศวรรษ 60s, Truffaut เคยแสดงความสนใจอยากดัดแปลงบทละครเวที The Miracle Worker ของ William Gibson แต่สตูดิโอ United Artists เซ็นสัญญาผู้กำกับ Arthur Penn กลายเป็นภาพยนตร์ The Miracle Worker (1962) ได้เข้าชิง Oscar 5 สาขา คว้ามา 2 รางวัล Best Actress (Anne Bancroft) และ Best Supporting Actress (Patty Duke ครอบครองสถิตินักแสดงหญิงอายุน้อยสุดคว้ารางวัลนี้ยาวนานถึง 11 ปี จนการมาถึงของ Tatum O’Neal เรื่อง Paper Moon (1973))
ช่วงปี 1966, Truffaut ได้อ่านบทความของ Lucien Malson ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Le Monde นำเสนอเรื่องราวของ ‘feral child’ จำนวน 52 คน ที่ถูกพบเจอ/จดบันทึกในประวัติศาสตร์ช่วงปี ค.ศ. 1344-1968 หนึ่งในนั้น Victor of Aveyron หรือ The Wild Boy of Aveyron ดึงดูดความสนใจเขาเป็นพิเศษ
เรื่องราวของ Victor of Aveyron มีการจดบันทึกในรายงานสองฉบับ
An Historical Account of the Discovery and Education of a Savage Man, Or of the First Developments, Physical and Moral, of the Young Savage Caught in the Woods Near Aveyron, in the Year 1798 (1802)
บันทึกการทดลอง/ศึกษาโดย Dr. Jean Marc Gaspard Itard (1774-1838) อายุรแพทย์ชาวฝรั่งเศส ทำงานอยู่ Institution Nationale des Sourds-Muets à Paris สำหรับคนหูหนวก/มีปัญหาด้านการได้ยิน ซึ่งเขาได้พยายามสร้างพัฒนาการเรียนรู้ให้ Victor of Aveyron แต่กลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนผ่านมา 5 ปี ถือว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่
อีกฉบับคือรายงานเขียนโดยรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย (French Minister of the Interior) เมื่อปี ค.ศ. 1806 เพื่อของบประมาณรายปีเป็นทุนค่าเลี้ยงดูแล Victor ให้กับ Madame Guérin (แม่บ้านของ Dr. Itard) อาสารับดูแลแทน Dr. Itard ตลอดชีวิตที่เหลือ
พัฒนาบทร่วมกับ Jean Gruault (1924-2015) นักเขียนสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Fontenay-sous-Bois, เป็นอีกสมาชิก French New Wave รู้จักสนิทสนม Truffaut ตั้งแต่เข้าร่วมกลุ่ม Cinémathèque Française เริ่มมีชื่อเสียงจากพัฒนาบท Paris Belongs to Us (1960), และยังเป็นผู้ดัดแปลง Jules and Jim (1962) กับ Two English Girls (1971)
เรื่องราวเริ่มต้นฤดูร้อน ค.ศ. 1798, เด็กชายอายุ 11-12 ปี ได้รับการค้นพบบริเวณผืนป่า Aveyron ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส หลังจากสามารถจับกุม ถูกส่งตัวไปยัง Institution Nationale des Sourds-Muets à Paris แต่เพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นๆ Dr. Jean Itard (รับบทโดย François Truffaut) จึงอาสารับเลี้ยงดูแล พยายามสอนการพูด-อ่าน-เขียน เรียนรู้จักการเข้าสังคม ซึ่งต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูงกว่าจะสามารถสื่อสาร เกิดความเข้าใจ
หลังไม่สามารถหาบุคคลเหมาะสม Truffaut เลยตัดสินใจเล่นเป็น Dr. Jean Itard ด้วยตนเอง! (เป็นการแสดงหน้ากล้องครั้งแรกในชีวิต) เพราะครุ่นคิดว่าจะสามารถกำกับนักแสดงเด็กได้ง่ายกว่า โดยไม่ต้องเสียเวลาสื่อสารผ่านนักแสดง(ที่จะมารับบท Dr. Itard) ซึ่งบทบาทนี้เขายังมองว่าแตกต่างจากการแสดงทั่วไป ให้ความรู้สึกเหมือนการกำกับ(นักแสดง)จาก ‘หน้ากล้อง’ เสียมากกว่า
the impression not of having acted a role, but simply of having directed the film in front of the camera and not, as usual, from behind it.
François Truffaut
การเล่นเป็น Dr. Itard ทำให้ Truffaut เรียนรู้การเป็นผู้ใหญ่ เข้าใจหัวอกความเป็นบิดาที่คอยเป็นห่วงเป็นใย ดูแลเอาใจใส่บุตรของตนเอง ซึ่งก็คือนักแสดงเด็กที่เลือกมารับบท พบเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในภาพยนตร์และชีวิตจริง นั่นเองทำให้เขาอุทิศภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แก่ Jean-Pierre Léaud ระลึกถึงตอนสรรค์สร้าง The 400 Blows (1959) ตระหนักว่าตนเองได้ทำให้ชีวิตเด็กคนหนึ่งปรับเปลี่ยนแปลงไป
the decision to play Dr. Itard myself is a more complex choice than I believed at the time … this was the first time I identified myself with the adult, the father, to the extent that at the end of the editing, I dedicated the film to Jean-Pierre Léaud because this passage, this shift became perfectly clear to me.
เกร็ด: ก่อนหน้านี้ไม่นาน ค.ศ. 1968 นักสืบเอกชนได้ติดตามหาจนพบบิดาแท้ๆของ François Truffaut คือหมอฟันชาวยิวชื่อ Roland Levy แต่เขาตัดสินใจไม่ขอพบเจอหน้า ทั้งหมดนี้็ก็แค่สนองความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวเท่านั้น
ในหนังสืออัตชีวประวัติของ Truffaut วิเคราะห์เปรียบเทียบตัวละครในหนัง Dr. Itard (ที่ตนเองรับบท) สามารถเทียบแทนด้วย(พ่อบุญธรรม) André Bazin และเด็กชาย Victor ก็คือตัวเขาเองที่ในอดีตนิสัยดื้อรัน หัวขบถ เอาแต่ใจ ไม่ต่างจากสัตว์ป่า กว่าจะเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ ต้องพานผ่านอะไรๆมาไม่น้อยทีเดียว!
ส่วนการสรรหาหานักแสดงรับบท Victor ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด! Truffaut เคยพิจารณาเด็กปัญญาเลิศ (gifted child) หรือบุตรของคนมีชื่อเสียง (เพราะจะสามารถสื่อสารกับครอบครัวพวกเขาโดยง่าย) จนกระทั่งมาพบเจอ Jean-Pierre Cargol เด็กชายเร่ร่อน อาศัยอยู่กับกลุ่มชาวยิปซี มีศักดิ์เป็นหลานของนักกีตาร์ชื่อดัง Manitas de Plata
เนื่องจากตัวละคร Victor ไม่สามารถพูดออกเสียง มีเพียงปฏิกิริยาแสดงออก ร่างกายขยับเคลื่อนไหวตามสันชาตญาณ ซึ่งวิธีการกำกับของ Truffaut เพียงพูดบอกออกคำสั่งให้ทำโน่นนี่นั่น เดินเหมือนลิง วิ่งเหมือนสุนัข กระโดดโลดเต้น นอนกลิ้งเกลือกไปมา ฯลฯ ไม่จำเป็นที่เด็กชายต้องอ่าน/ท่องบท แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จก็พร้อมเข้าฉาก ส่วนการบันทึกเสียงของ Dr. Itard ค่อยไปพากย์ทับเอาภายหลังถ่ายทำ
น่าเสียดายที่ Cargol ไม่ได้มีความสนใจด้านการแสดงเหมือน Jean-Pierre Léaud หลังเสร็จจาก The Wild Child (1970) มีผลงานอีกเพียงเรื่องเดียว Caravan to Vaccares (1974) แล้วก็ออกไปทำอย่างอื่นที่เจ้าตัวชื่นชอบหลงใหล
ถ่ายภาพโดย Néstor Almendros (1930-92) ตากล้องสัญชาติ Spanish เกิดที่ Barcelona แล้วหลบลี้หนีภัย (จากจอมพล Francisco Franco) มาอาศัยอยู่ประเทศ Cuba จากนั้นไปร่ำเรียนการถ่ายภาพยังกรุงโรม Centro Sperimentale di Cinematografia, หวนกลับมาถ่ายทำสารคดี Cuba Revolution (1959) พอถูกแบนห้ามฉายก็มุ่งสู่ Paris กลายเป็นขาประจำผู้กำกับรุ่น French New Wave ร่วมงาน François Truffaut ตั้งแต่ The Wild Child (1970), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Days of Heaven (1978) ** คว้า Oscar: Best Cinematography, Kramer vs. Kramer (1979), The Blue Lagoon (1980), Sophie’s Choice (1982) ฯ
งานภาพของ Almendros งดงามตราตรึงมากๆในช่วงแรกๆที่ถ่ายทำยังป่าเขาลำเนาไพร (ยังแว่นแคว้น Auvergne) ใช้เพียงแสงธรรมชาติระยิบระยับส่องผ่านใบไม้ ที่มีลำต้นสูงใหญ่, ซึ่งหลังจาก Victor ถูกจับนำกลับมากรุง Paris แทบทั้งนั้นล้วนเป็นฉากภายใน ขยับ-เคลื่อน-หมุน ให้ตัวละครอยู่ตำแหน่งกึ่งกลางภาพก็เพียงพอใช้ได้
ปล. ช็อตสวยๆเหล่านี้คือเหตุผลที่ผู้กำกับ Terrence Malick ต้องการตัว Néstor Almendros มาเป็นตากล้องถ่ายทำ Days of Heaven (1978)
ระหว่างการนำพาเด็กชายพบเจอจากป่า ขึ้นรถม้ามุ่งสู่ Paris ต้องพานผ่านธารน้ำเล็กๆสายนี้ ซึ่งจำต้องให้ผู้โดยสารลงจากรถ แล้วเดินข้ามสะพาน ส่วนขบวนรถก็จะวิ่งด้านล่างผ่านผืนน้ำ ซึ่งในบริบทของหนังเป็นการแบ่งชนชั้น มนุษย์(สัตว์ประเสริฐ)-สัตว์(เดรัจฉาน) อย่างชัดเจน!
เช่นเดียวกับทุกครั้งวันฝนตก (และค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง) Victor จะสูญเสียความเป็นมนุษย์ ออกไปกระโดดโลดเต้น ก้าวเดินสี่เท้าเหมือนสัตว์ป่า นั่นอาจเพราะธาราคือจิตวิญญาณแห่งชีวิต ความสุขสูงสุดที่เขาได้รับระหว่างยังอาศัยอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร
ฉากที่ถือเป็นไคลน์แม็กซ์ของหนัง คือการตั้งคำถามว่า Victor สามารถแยกแยะถูก-ผิด ชั่ว-ดี จากการกระทำที่ไร้ซี่งเหตุผลได้หรือไม่ ซี่งปฏิกิริยาต่อต้านหลังถูก Dr. Itard กำลังจะลงโทษจับขังห้องใต้บันไดโดยที่ตนเองไม่กระทำผิดใดๆ ผมถือว่ามีความยิ่งใหญ่เทียบเท่าลิงทุบกะโหลกศีรษะจาก 2001: A Space Odyssey (1968) และไดโนเสาร์มีเมตตาธรรม เรื่อง The Tree of Life (2011) เพราะสามารถสื่อถีงพัฒนาการ(ของ Victor)มาจนถีงจุดที่ค้นพบว่ามี ‘ความเป็นมนุษย์’
ช็อตสุดท้ายของหนัง หลังจาก Victor ตัดสินใจหวนกลับมาบ้าน Dr. Itard ขอให้ Madame Guérin พาเด็กชายขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จบลงที่ขณะก้าวเดินขึ้นบันได ซึ่งสะท้อนถึงการเลื่อนวิทยฐานะ เด็กชายจากเคยเป็นเหมือนสัตวป่า/เดรัจฉาน ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดห่วงโซ่อาหาร มีความเป็นมนุษย์/สัตว์ประเสริฐผู้สูงส่ง
จะว่าไปทิศทางเรื่องราวของ The 400 Blows (1959) ตรงกันข้ามกับ The Wild Child (1970), เรื่องแรกเด็กชายสูญเสียครอบครัว ไม่รู้จะดำเนินชีวิตต่อไปเช่นไร เรื่องหลังจากคนป่าได้พบเจอครอบครัวใหม่ และอาจมีอนาคตที่สดใส
ตัดต่อโดย Agnès Guillemot (1931-2005) สัญชาติฝรั่งเศส ขาประจำผู้กำกับ Jean-Luc Godard ตั้งแต่ A Woman Is a Woman (1961), และร่วมงาน François Truffaut ถีงสี่ครั้งเริ่มจาก The Wild Child (1970)
หนังดำเนินเรื่องโดยมี Victor คือจุดศูนย์กลาง เริ่มตั้งแต่การถูกพบเจอ จับกุมตัว ส่งมาสถาบันคนหูหนวก และได้รับการเลี้ยงดูแลจาก Dr. Jean Itard ให้ค่อยๆเรียนรู้ สามารถสื่อสาร และค้นพบว่ามีสามัญสำนึก ความเป็นมนุษย์อยู่ในตัว
องก์สี่ การตัดสินใจของ Victor จะหนีกลับป่าหรือหวนกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์
เอาจริงๆ ถ้าตัดทิ้งเสียงสนทนาและคำบรรยาย(สำหรับจดบันทึกการทดลอง)ของ Dr. Jean Itard (ซึ่งถือเป็นลายเซ็นต์ ‘สไตล์ Truffaut’) ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถดูเป็นหนังเงียบ ด้วยการเทียบแทนตนเองเป็น Victor ที่ไม่มีความเข้าใจในการพูดคุยของใครๆ แต่เขาจักค่อยๆเรียนรู้ ปรับตัว จนในที่สุดก็สื่อสารทำความเข้าใจ(ด้วยภาษากาย) … แต่จะสามารถธำรงชีพรอดในสังคมได้ด้วยตนเองไหม นั่นเป็นอีกประเด็นนึง!
ระหว่างที่ Victor ยังอาศัยอยู่ในผืนป่าใหญ่ ก็จะได้ยินเพียงเสียงสายลม นกร้อง Sound Effect ของธรรมชาติ แต่เมื่อถูกจับนำเข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง จักได้ยินบทเพลงของ Antonio Vivaldi เท่าที่ผมคุ้นหูมีอยู่สองบทเพลง เริ่มจาก Concerto in C Major for Mandolin, Strings and Continuo, RV 425 ซึ่งโดดเด่นจากการใช้เครื่องดนตรี Mandolin โดยปกตินั้นมี 3 ท่อน แต่ผมได้ยินในหนังแค่เพียง 2 ท่อนเท่านั้น
I. Allegro เป็นท่อนที่เน้นความร่าเริง สนุกหรรษา มักได้ยินขณะ Victor ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ ปรับเปลี่ยนแปลง เกิดความเข้าใจบางสิ่งอย่างได้ด้วยตนเอง
II. Largo ท่วงทำนองอันเชื่องช้า วาบหวิว แสดงถึงความเจ็บปวดรวดร้าว นั่นคือ Victor ยังไม่สามารถทำบางสิ่งอย่างได้สำเร็จ กำลังถูกลงโทษทัณฑ์ ไม่พึงพอใจสิ่งบังเกิดขึ้นขณะนั้น
และทุกครั้งเวลา Victor เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างกำลังดื่มน้ำ ราวกับเขาโหยหาถึงป่าพงไพร สถานที่เคยอาศัยใช้ชีวิต ซึ่งจะได้ยินเสียง Piccolo อันโหยหวยจากบทเพลง Concerto for Piccolo and Strings in C Major RV 443 เต็มไปด้วยความห่วงหาอาลัย อยากหวนกลับไปแต่ไม่รู้จะทำได้อย่างไร ผืนป่าแห่งนั้นมันช่างไกลเสียเหลือเกิน
ความสนใจของ Truffaut ต่อเรื่องราวของ Victor of Aveyron สามารถเปรียบเทียบแทนถีงตัวตน/ช่วงเวลาวัยเด็ก(ของ Truffaut)ที่มีนิสัยก้าวร้าว หัวขบถ ไม่ชอบทำตัวอยู่ในกฎกรอบ หรือถูกบีบบังคับ เหมือนสัตว์ป่าโหยหาอิสรภาพ แต่หลังจากเรียนรู้จักชีวิต เข้าถีงอารยธรรม สิ่งศิวิไลซ์ทั้งหลายในสังคม จีงค่อยๆยินยอมรับ ปรับตัว เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และค้นพบ’ความเป็นมนุษย์’เพิ่มขี้นมา
สิ่งที่เป็นประเด็นคำถามของหนัง ระหว่างใช้ชีวิตตามสันชาตญาณ ด้วยการอาศัยอยู่กับธรรมชาติ vs. เรียนรู้ ฝีกฝน ปรับตัวเข้าสังคม ใช้ชีวิตบนความเจริญของอารยธรรมมนุษย์ แบบไหนคือสิ่งเหมาะสมกับตัวเรามากกว่า?
เมื่อตอนออกฉาย The Wild Child (1970) ประสบความสำเร็จทั้งรายรับและเสียงวิจารณ์ กลายเป็นหนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของ Truffaut โดยเฉพาะนักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนนเต็มสี่ดาว พร้อมชื่นชมในความเป็นขั้นเป็นตอน ของการนำเสนอกระบวนการเรียนรู้ในระดับพื้นฐาน (education at its most fundamental level)
it is an intellectually cleansing experience to watch this intelligent and hopeful film.
“You are 7 years old. You are a man. Bury your first toy and your mother’s picture”.
El Topo พูดกับบุตรชาย
ในบรรดาผู้กำกับหนัง Surrealist ชื่อของ Alejandro Jodorowsky โด่งดัง/สุดโต่งไม่น้อยไปกว่า Luis Buñuel หรือ David Lynch แต่ผลงานกลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะถูกหมักหมมโดยโปรดิวเซอร์ผู้สร้าง ไม่ยินยอมนำออกฉายเพราะต้องการเก็บไว้เหมือนไวน์ บ่มเพาะด้วยกาลเวลา ตั้งใจว่าหลัง Jodorowsky เสียชีวิตจากไปค่อยนำออกฉาย ตักตวงผลประโยชน์กำไรน่าจะมากกว่าตอนเพิ่งสร้างสำเร็จเสร็จ
“He’s awaiting my death. He believes he can make more money from the film after I am dead. He says my film is like wine — it grows better with age. He is waiting like a vulture for me to die. For 15 years, I’ve tried to talk to him by telephone, and he’s always busy. He eats the smoking meat. Smoking meat … you know? From the delicatessen?
Yes. When I call him by telephone they say to me he’s eating the smoking meat. I cannot speak with him because he is eating the smoking meat. He’s eating for 15 years the smoking meat”.
Alejandro Jodorowsky พูดถึงโปรดิวเซอร์ Allen Klein
“Now you are 8 years old, and you have the right to be a kid”.
Alejandro Jodorowsky
Alejandro Jodorowsky Prullansky (เกิดปี 1929) ศิลปินสัญชาติ Chilean-French เกิดที่ Tocopilla ครอบครัวเป็นชาว Ukrainian เชื้อสาย Jews อพยพย้ายมาปักหลักอาศัยอยู่ประเทศ Chile, บิดาชอบใช้ชอบกำลัง ความรุนแรง ข่มขืนมารดาจนท้องบุตรชาย Alejandro ด้วยเหตุนี้จีงไม่ได้รับความรักจากทั้งคู่ รวมถีงพี่สาวเอาแต่เรียกร้องความสนใจ เลยหมกตัวอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือแทบทุกเล่มที่มี ชื่นชอบปรัชญา ศาสนา เริ่มหัดเขียนบทกวี ร่ำเรียนจิตวิทยาและปรัชญา University of Chile เพียงสองปียื่นใบลาออกเดินทางสู่ Paris ด้วยความหลงใหลการแสดง Mime เล่นเป็นตัวตลก ไต่เต้าสู่ผู้กำกับละครเวที จากนั้นก่อตั้งคณะการแสดง Teatro Mimico เขียนบทละครเรื่องแรก El Minotaura (แปลว่า The Minotaur) กระทั่งค้นพบความน่าสนใจด้านภาพยนตร์ สรรค์สร้างหนังสั้นละครใบ้ Les têtes interverties (1957) [แปลว่า The Severed Heads] ร่วมกับ Saul Gilbert, Ruth Michelly ถูกอกถูกใจผู้กำกับ Jean Cocteau ถีงขนาดขอเขียนคำนิยมชื่นชมผลงาน
ปี 1960, ออกเดินทางสู่ Mexico City ร่วมก่อตั้ง Panic Movement (ร่วมกับ Fernando Arrabal และ Roland Topor) ด้วยจุดมุ่งหมายพัฒนาการ Surrealist สู่ Absurdism มุ่งเน้นนำเสนอภาพความรุนแรงที่สมจริง/เหนือจริง เพื่อสร้างความตกตะลีก ให้ผู้ชมตื่นตระหนักถีงสาสน์สาระซ่อนเร้นในเนื้อหานั้นๆ ด้วยหนังสือการ์ตูน, การแสดง Performance Art, ละครเวที และภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Fando y Lis (1967) [จากบทละครเวทีของ Arrabal] เมื่อตอนออกฉายก่อให้การจราจลบนท้องถนนจนถูกแบนใน Mexico
“Most directors make films with their eyes, I make them with my testicles. [ฺBecause] human being is not only intellect, it’s also muscle. Material, sexual, emotional, intellectual – we need to act with all four parts of ourselves, like a complete being”.
Alejandro Jodorowsky
แม้ว่า Fando y Lis (1967) จะออกฉายเพียงระยะเวลาสั้นๆ 3 วันเท่านั้น แต่กลับสามารถทำเงินถล่มทลาย (ผู้ชมคงสงสัยว่าทำไมหนังถีงเป็นต้นเหตุให้เกิดการจราจล เลยรีบเร่งออกไปดูก่อนถูกห้ามฉาย) ด้วยเหตุนี้ Jodorowsky เลยได้รับทุนสนับสนุนโปรเจคถัดมาสูงถีง $200,000 เหรียญ และประกาศว่าจะสรรค์สร้าง Cowboy Western ที่ใครๆสามารถรับชมได้
“The next picture I make will be a cowboy picture – then everyone will come and see it”.
“No actor wanted to play El Topo, because they didn’t want to grow a beard and they didn’t want to shave their head, they didn’t want to play a ‘bad’ character, or do this, or do that . . . and so I was obliged to do it myself”.
“When I wanted to do the rape scene, I explained to [Mara Lorenzio] that I was going to hit her and rape her. There was no emotional relationship between us, because I had put a clause in all the women’s contracts stating that they would not make love with the director. We had never talked to each other. I knew nothing about her. We went to the desert with two other people: the photographer and a technician. No one else. I said, ‘I’m not going to rehearse. There will be only one take because it will be impossible to repeat. Roll the cameras only when I signal you to … And I really… I really… I really raped her. And she screamed.
Then she told me that she had been raped before. You see, for me the character is frigid until El Topo rapes her. And she has an orgasm. That’s why I show a stone phallus in that scene … which spouts water. She has an orgasm. She accepts the male sex. And that’s what happened to Mara in reality. She really had that problem. Fantastic scene. A very, very strong scene”.
ถ่ายภาพโดย Raphael Corkidi (1930-2013) ผู้กำกับ/ตากล้อง สัญชาติ Mexican ร่วมงานผู้กำกับ Jodorowsky ทั้งหมดสามครั้ง Fando y Lis (1968), El Topo (1970) และ The Holy Mountain (1973)
“I have some ethics of shooting. Not when you have the camera here, I put an object here [between the subject and the camera]. An aesthetic effort, never. Only you. No shadow. Natural [light]. Things like that. Every movement for me has a meaning, with a moral meaning for the camera, no? A moral meaning. No use of the subjective camera. I’m speaking with you, I’m showing what I see, things like that.
I don’t move the camera, I move actors. And I never make a camera movement only to show something. The camera doesn’t exist”.
“I constructed, I invented as I was shooting. On one hand there was the script, but then I also wanted to find the places that were like in a dream. I travelled through Mexico for a month finding these nice places that were like a dream. And then I put the character there, and I started to invent the actions there. The creation happened there, because I didn’t believe in respecting the script as a machine. Because the day of shooting changes the picture, because, you know, another light suddenly appears, something you want to put inside the picture appears, a cloud, something you want. It becomes different”.
“For me the music is not there to accompany, it’s not a pointer. It’s a character. As you realised, sometimes it is contrary to what you are showing. Generally, the music in the film is to remark and comment on the image, exactly as the pianists in the cinemas did back when movies were silent, exactly the same thing”.
ปล. Jodorowsky ทำเพลงประกอบอัลบัมภาพยนตร์ El Topo ด้วยนะครับ แต่กลับมีเพียง Burial of the First Toy นำมาจากหนังตรงๆ ที่เหลือทั้งหมดเป็นการ REMIX เรียบเรียง/ตีความ บรรเลงใหม่หมด (จริงๆมันควรเรียกว่า Image Album หรือ Inspired by El Topo Album ไม่ใช่ Original SoundTrack)
“The pole in the desert is a Tao symbol. It is a sundial. I wanted to try to film the scene at a given point facing a given direction that would cast a shadow that would point to the site of a hidden treasure. He went to that site. He dug and dug, but found nothing. As his shadow began to shorten until at noon, he had no shadow at all. And then he understood”.
Opening Credit ร้อยเรียงภาพตัวตุ่นและมือกำลังขุดคุ้ยดิน ตัดสลับไปมาอย่างรวดเร็วในลักษณะ ‘montage’ พร้อมเสียงบรรยาย/อธิบายชื่อหนัง El Topo ที่แปลว่า The Mole ซี่งมีนัยยะสอดคล้องเรื่องราวทั้งหมดของหนัง และฉากแรกที่เด็กชายขุดกลบฝังตุ๊กตาหมี/ภาพถ่ายมารดา ส่งผลให้บิดา(El Topo)ต้องขุดอุโมงค์เพื่อช่วยเหลือชาวถ้ำออกมา
The moles digs tunnels under the earth, looking for the sun. Sometimes he gets to the surface. When he sees the sun, he is blinded.
“The Pigs Monastery, when you go to the darkness, you understand religion. Religion now is dead because religion kill God. That is the Pigs Monastery”.
ฉากภายในสถานที่แห่งนี้ ออกแบบให้มีลักษณะเหมือนถ้ำ ห้อมล้อมด้วยก้อนอิฐ เพียงแสงสว่างสาดส่องจากด้านบน และเส้นทางออกสู่ภายนอก เป็นการสะท้อนถีงสิ่งที่ El Topo กำลังจะกระทำช่วงในช่วงองก์สาม
แต่สำหรับผู้กำกับ Jodorowsky มองว่า Colonel คือตัวแทนอาณาจักรคนบาป Sodom and Gomorrah, ขณะที่ Mara คือตัวแทนของสิ่งชั่วร้าย (Evil One) ผู้พยายามขัดขวางการสำเร็จมรรคผลของพระพุทธเจ้า
“El Topo kills the Colonel’s gang, who like the renegades of Sodom and Gomorrah perform sacrilege. At the monastery where they hang out and El Topo exchanges his son for Mara, the Colonel’s mistress. In the Buddhist religion, Mara is the Evil One who rejoiced not and threatened the enlightenment of Buddha. She was overcome by his power and banished from his life forever”.
แซว: ลักษณะน้ำพุ่งออกจากโขดหิน ช่างดูละม้ายคล้ายตอน El Topo ตัดตอน Colonel และประโยคพูดก่อนหน้านั้นนำจากหนังสือเพลงสดุดี Psalm (42:1-2)
As the deer pants for streams of water, so my soul pants for you, O God. My soul thirsts for God, for the living God.
Psalm (42:1-2)
ในความเข้าใจของผมเองต่อหนัง, Sex คือการปลดปล่อยตนเองทางกายภาพ (ก่อนที่ El Topo จะสามารถปลดปล่อยทางจิตใจหลังจบครึ่งแรก) สนองตัณหาความต้องการส่วนตน เพื่อตัวละครสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (ทอดทิ้งบุตรชาย=เริ่มต้นชีวิต/เกิดใหม่, Sex คือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่) ชาย-หญิง กลายเป็นบุคคลเดียวกันจนเทียบแทนได้ด้วย ร่างกาย-จิตใจ
ผมนำบทสัมภาษณ์ของ Jodorowsky ที่เปรียบเทียบตอนเตรียมงานสร้าง Dune ราวกับต้อง ‘ข่มขืน’ ผู้เขียนนวนิยาย Frank Herbert ด้วยรัก หลายคนอาจรับไม่ได้กับแนวความคิดดังกล่าว เพราะผู้หญิงยุค Feminist มีความละเอียดอ่อนไหวต่อเรื่องพรรค์นี้ แต่ถ้าคุณมีความเข้าใจ ‘ศิลปะ’ สูงเพียงพอ ถึงจิตใจเต็มไปด้วยอคติแต่ก็ควรเข้าใจว่ามันก็คือมุมมองหนึ่งเท่านั้น
“When you make a picture, you must not respect the novel. It’s like you get married, no? You go with the wife, white, the woman is white. You take the woman, if you respect the woman, you will never have child. You need to open the costume and to… to rape the bride. And then you will have your picture. I was raping Frank Herbert, raping, like this! But with love, with love”.
คำเรียกร้องของ Mara ถ้าต้องการครอบครองตนเองทั้งร่างกายจิตใจ จักต้องพิสูจน์ตนเอง ออกเดินทางค้นหา ต่อสู้เอาชนะปรมาจารย์ทั้งสี่ แต่พวกเขาอาศัยอยู่แห่งหนไหน? ใช้นิ้วจิ้มลงบนพื้นทราย วาดก้นหอยสัญลักษณ์ของ Zen ถ้าเดินทางวนรอบจากริมขอบมาจนถึงศูนย์กลาง ยังไงก็ต้องได้พบเจอบุคคลที่พวกเขาต้องการเข้าสักวัน
โดยปกติแล้วความรักมันไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง หรือพิสูจน์อะไร แต่ในบริบทของหนังผมครุ่นคิดว่าทั้งสองตัวละคร El Topo – Mara สามารถตีความได้ถึงร่างกาย-จิตใจ คำขอของหญิงสาวจึงสะท้อนความต้องการของจิตใจ(ผู้กำกับ Jodorowsky)เพื่อให้ร่างกายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ/จักรวาล (แนวคิดของ Zen เริ่มต้น-สิ้นสุด, หมุนรอบวงกลม)
ผมครุ่นคิดว่ากะเทยแปลกหน้าคนนี้น่าจะคือกระจกสะท้อน El Topo ตัวตนที่เขาจักค่อยๆสูญเสียหลังจากพานผ่านปรมาจารย์แต่ละคน ถ่ายทอดมาสู่บุคคลผู้นี้ ทำให้สามารถล่วงล่อหลอก และท้ายสุดได้ครอบครองรักกับ Mara
เมื่อชาย-หญิงร่วมรัก (เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน) ยังพื้นทะเลทราย แสดงถึงความต้องการเป็นส่วนหนึ่งร่วมกับธรรมชาติ (ตามหลักการของ Zen อีกเช่นกัน) แต่ Mara กลับเอาแต่จับจ้องมองกระจก สีเพียงตัวของตนเอง นี่สะท้อนถึงรอยร้าว ความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง เป้าหมายปลายทางอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเพ้อใฝ่ฝัน
ผู้กำกับ Jodorowsky อ้างว่าตาข่าย/แหที่สามารถดักจับทุกสรรพสิ่ง ได้แรงบันดาลใจจากคำกล่าวของพระพุทธเจ้า (ผมหาแหล่งอ้างอิงไม่ได้นะครับ เลยไม่แน่ใจว่าเป็นแนวคิดของ Zen หรือเปล่า?)
“In Buddhist scripture there is a chapter entitled, ‘The Perfect Net’. Buddha speaks of the Net of Advantage, the Net of Truth, and the Net of Theories. ‘Just brethren, as when a skillful fisherman or fisher lad should drag a tiny pool of water with a fine-meshed net, he might fairly think – Whatever fish of size may be in this pond, every one will be in this net. Flounder about as they may, they will be included in it, and caught. Just so as it is with these speculators about the past and the future. In this net, flounder as they may, they are included and caught’.”
เสียงกรีดร้องของ El Topo มาพร้อมกับแตรวงงานศพ แม้ร่างกายยังมีชีวิตแต่จิตใจนั้นดับสูญสิ้นไปแล้ว หวนกลับไปหาเรือนร่างของปรมาจารย์สามคนก่อนหน้า กลับพบว่าทั้งหมดได้แปรสภาพกลายเป็นอะไรบางอย่างไปแล้ว
Goliathus หรือ Goliath Beetles คือด้วงขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นชื่อมาจากยักษ์ Goliath ในคัมภีร์ไบเบิล Book of Samuel แม้สามารถต่อสู้เอาชนะใครต่อใคร กลับพ่ายแพ้ให้ David เพียงดาบเดียว (จนมีคำเรียก David and Goliath)
เกร็ด: ตอนจบของ Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring (2003) ก็แนวคิดแบบเดียวกันเปี๊ยบ!
แล้วทุกสิ่งอย่างก็เวียนวนหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น ดั่งวัฎจักรชีวิต ภรรยาของ El Topo หลังจากคลอดบุตรชาย ขี้นขี่หลังม้าบุตรชายของ El Topo สำหรับการออกเดินทางครั้งใหม่
And after a time he returned to take her, and he turned aside to see the carcase of the lion: and, behold, there was a swarm of bees and honey in the carcase of the lion.
“What do bees make? Honey. What is honey? The sweet product of a beautiful world. You are a bee; you make honey. If you don’t make honey, you are not a human being”.
“A person is not the same in his life at all times. Your consciousness is developing all the time. When I started making El Topo, I was one person. When I finished that picture, I was another person”.
การรู้แจ้งของ El Topo ผมมองว่าเป็นเพียงความเข้าใจต่อวิถีทางโลกเท่านั้นนะครับ มันทำให้เขาค้นพบมนุษยธรรม (Humanity) รับรู้สีกถีงความทุกข์ยากลำบากของบรรดาคนพิการ ต้องการให้ความช่วยเหลือนำทางออกสู่โลกภายนอก ถีงขนาดยินยอมเสียสละตนเองกลายเป็นตัวตลกของสังคม และเผชิญหน้าบุตรชายที่ต้องการล้างแค้นเอาคืนให้สาสม
“I think if you want a picture to change the world, you must first change the actors in the picture. And before doing that, you must change youself. With every new picture, I must change myself. I must kill myself, and I must be reborn. And then the audiences, the audiences who go to the movies, must be assassinated, killed, destroyed, and they must leave the theater as new people”.
ส่วนนัยยะเชิงนามธรรม สื่อถึงการบรรลุความเข้าใจบางสิ่งอย่าง อาทิ El Topo รู้แจ้งคำสอนปรมาจารย์ทั้งสี่, แผดเผาตัวตนเองเพื่อจักได้ถือกำเนิดเริ่มต้นใหม่, และผู้ชมออกจากโรงภาพยนตร์บังเกิดมุมมอง ทัศนคติต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
มีนักข่าวสัมภาษณ์ความเห็นของ Jodorowsky หลายต่อหลายคนชื่นชมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ ‘the greatest film ever made’
“I have no idea why they would say this, unless it is because my liver is the best liver in creation. My work comes not from critical thoughts, but from out of myself. I made El Topo out of total artistic honesty. I didn’t want money, I didn’t want to work with big stars. I wanted nothing, except to do my art. To show others how beautiful is their soul. The beauty of the other. To open up consciousness”.
แม้หนังสร้างขึ้นใน Mexico แต่ผู้กำกับ Jodorowsky ไม่ได้ครุ่นคิดคาดหวังจะนำออกฉายในประเทศ เพราะเหตุการณ์จราจลจากผลงานก่อนหน้า Fando y Lis (1968) แต่ก็สามารถผ่านกองเซนเซอร์หลังตัดฉากโป๊เปลือยออกไปกว่า 30 นาที (แต่ไม่หั่นฉากที่มีความรุนแรงใดๆ) และกลายเป็นตัวแทนส่งเข้าชิงชัย Oscar: Best Foreign Language Film ไม่ได้ผ่านเข้ารอบใดๆ
หนังเข้าฉายในสหรัฐอเมริกาอย่างเงียบๆ ตีตราว่าเป็น ‘Underground Film’ มีเฉพาะรอบดีกที่ Elgin Theater, New York (ปิดกิจการไปตั้งแต่ปี 1978) ก่อนกลายกระแส Cult ติดตามมา หนี่งในผู้ชม John Lennon (และ Yoko Ono) หลงใหลคลั่งไคล้ภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ ถีงขนาดซี้เซ้า Allen Klein (ผู้จัดการวง The Beatles) ให้ซื้อลิขสิทธิ์จัดจำหน่าย ก่อตั้งสตูดิโอ ABKCO Films (ภายใต้สังกัด ABKCO Music & Record) แถมช่วยสรรหาทุนสร้างผลงานถัดไปของ Jodorowsky เรื่อง The Holy Mountain (1973)
ด้วยความที่ George Harrison อยากเป็นส่วนหนี่งของภาพยนตร์ The Holy Mountain แต่ปฏิเสธจะแสดงฉากสำคัญ (ที่ต้องถอดกางเกงโชว์แก้มก้นและฮิปโปโปเตมัส) เลยถูกบอกปัดจาก Jodorowsky เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความหงุดหงิดขุ่นเคืองให้โปรดิวเซอร์ Allen Klein ตัดสินใจดองภาพยนตร์ทั้งสองเลือกใส่ถังหมักไวน์ ไม่ยินยอมนำออกฉายจนกว่าจะมีใครตาย (ปรากฎว่า Klein ตายจากไปก่อนเมื่อปี 2009)
“George Harrison wanted to play the thief in Holy Mountain. I met him in the Plaza Hotel in New York and he told me there’s one scene he didn’t want to do, when the thief shows his asshole and there is a hippopotamus. I said: ‘But it would be a big, big lesson for humanity if you could finish with your ego and show your asshole.’ He said no. I said, ‘I can’t use you, because for me this is a sin.’ I lost millions and millions – stars are good for business but not for art, they kill the art”.
Alejandro Jodorowsky
บังเอิญว่า Jodorowsky ค้นพบฟีล์มหนังก็อปปี้หนี่ง คุณภาพค่อนข้างย่ำแย่ (คงฉายมาหลายร้อยรอบจนฟีล์มเริ่มเสื่อมคุณภาพ) เลยลักลอบส่งให้ผู้ค้าหนังเถื่อนแจกจ่ายกันแบบฟรีๆ … กระทั่ง 30 กว่าปีให้หลังถีงค่อยสงบศีกกับ Klein ยินยอมนำออกฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes สาย Classic เมื่อปี 2006, จัดจำหน่าย DVD เมื่อปี 2007, ออกแผ่น Blu-Ray ปี 2011 และได้รับการบูรณะคุณภาพ 4K [ร่วมกับ Fando y Lis และ The Holy Mountain] วางขายปี 2020
“Yes he was angry, for 30 years he wouldn’t release my film. But I found some really bad copies, and gave them to pirates for free. So people saw it in bad condition – but at least they could not kill my picture. Some years ago, I saw Allen and we made peace, just in time. The picture went out and then he died”.
ในบรรดานักแสดงที่ได้รับการค้นพบโดยผู้กำกับ Ray ผมครุ่นคิดว่า Dhritiman Chatterjee คือเพชรแท้เม็ดงาม มีความสามารถรอบด้าน จัดจ้าน ครบเครื่อง น่าจะโดดเด่นกว่าใครอื่นที่สุดแล้ว
“I do not know what definition of a star these filmmakers have been using, but mine goes something like this. A star is a person on the screen who continues to be expressive and interesting even after he or she has stopped doing anything. This definition does not exclude the rare and lucky breed that gets lakhs of rupees per film; and it includes everyone who keeps his calm before the camera, projects a personality and evokes empathy. This is a rare breed too but one has met it in our films.Dhritiman Chatterjee of Pratidwandi is such a star”.
– Satyajit Ray
ถ่ายภาพโดย Soumendu Roy เลื่อนตำแหน่งจากนักจัดแสง/ผู้ช่วย Subrata Mitra กลายมาเป็นขาประจำคนใหม่ของผู้กำกับ Ray, และเรื่องนี้ยังให้เครดิตผู้ช่วยอีกคน Purnendu Bose ซึ่งก็ร่วมงานกันมาตั้งแต่ The Apu Trilogy
ที่ให้เครดิตถึงสองคน น่าจะเพราะหลายๆฉากของหนังถ่ายทำแบบ Guerilla Unit บันทึกภาพวิถีชีวิตชาวเมือง Calcatta และตัวละครเดินย่ำอยู่บนท้องถนน ท่ามกลางฝูงชนเดินสวนไปมาขวักไขว่
“the most provocative film I have made yet. I could feel the impact on the audience. All of which surprises and pleases me a great deal, because the film is deadly serious, and much of the style is elliptical and modern. People either loved the film or hated it”.
Days and Nights in the Forest เรื่องราวของสี่หนุ่มเดินทางไปพักผ่อนวันหยุดริมชายป่า ปลดปล่อยชีวิตให้ได้รับอิสรภาพเสรี พยายามอย่างยิ่งจะแหกแหวกกฎ ประเพณี ทุกสิ่งอย่าง กระทั่งพานพบเจอหญิงสาวสวยสองคนอาศัยอยู่บ้านข้างๆ ความมีอารยะถึงค่อยๆหวนคืนสติกลับมาทีละนิด
นั่นคือความลุ่มลึกล้ำในระดับปราชญ์ รับชม Days and Nights in the Forest เพียงผ่านๆย่อมไม่สามารถพบเห็นความงดงามที่หลบซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ ซึ่งความตั้งใจของผู้กำกับ Ray ต้องการสะท้อนเสียดสีสภาพสังคมอินเดียยุคสมัยนั้น (ที่เต็มไปด้วยความแตกแยก คอรัปชั่น และกำลังห้ำหั่นแบ่งแยกประเทศเพราะความแตกต่างทางศาสนา) ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่ โหยหาอิสรภาพ ไม่ต้องการถูกจำกัดอยู่ในกฎกรอบ ขณะเดียวกันถือได้ว่าเป็นการค้นหาอัตลักษณ์ตัวตนเอง (ของผู้กำกับ และความเป็นอินเดีย) เผชิญหน้าด้านมืด โอบรับสิ่งชั่วร้ายภายใน เมื่อสามารถเรียนรู้เข้าใจ ก็จักทำให้ชีวิตสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้
“Bengalis are so accustomed to the plains that even a mere hillock delights them. Men and women drink together in Palamau, but I’ve never seen a local woman drunk, although the men are often completely intoxicated. The woman are dark-skinned, and all young. They are scantily dressed and naked from the waist up”.
Simi Garewal (เกิดปี 1947) นักแสดง, พิธีกร, Talk Show เกิดที่ Ludhiana, East Punjab แล้วไปเติบโตยังประเทศอังกฤษ หวนกลับมาอินเดียกลายเป็นนักแสดง Son of India (1962), Tarzan Goes to India (1962), ปกติแสดงหนัง Bollywood มักได้รับบทสมทบ อาทิ Mera Naam Joker (1970), Andaz (1971), Kabhi Kabhie (1976), สำหรับ Aranyer Din Ratri (1970) รับบท Duli หญิงสาวชนเผ่า Santhal ผิวสีเข้ม ผู้มีความขี้เล่น ซุกซน มักมาก ร่านสวาท เห็นเงินคือพระเจ้า พร้อมยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้มา นำไปใช้ดื่มด่ำแต่ไม่เห็นเมามาย ถือว่าเข้าขากับ Hari ใช้เงินเพื่อสนองตัณหา อย่างอื่นนอกเหนือสันชาตญาณไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ
ปกติแล้วตากล้องขาประจำของผู้กำกับ Ray จะคือ Subrata Mitra แต่หลังจาก Teen Kanya (1961) เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา บางทีก็ติดโปรเจคอื่นไม่ว่างมาช่วยงาน เลยผลักดัน Soumendu Roy (เกิดปี 1933) จากเคยเป็นผู้ช่วย จัดแสง ตั้งแต่ Pather Panchali (1955) ขึ้นมารับเครดิตถ่ายภาพ
Opening Credit ทีแรกจะเป็นตัวอักษรสีดำ ปรากฎท่ามกลางทิวทัศน์สองข้างทางเคลื่อนผ่านไป แต่นับตั้งแต่ชื่อหนังช็อตนี้ปรากฎขึ้น กลับมีลักษณะตารปัตรตรงกันข้าม พื้นหลังกลับกลายเป็นสีดำ เฉพาะส่วนของตัวอักษรถึงพบเห็นภาพข้างทางเคลื่อนผ่านไป, นัยยะคงสื่อถึงกลางวัน-กลางคืน (ตามชื่อหนัง Days and Nights in the Forest ) ซึ่งทุกสิ่งอย่างจะกลับตารปัตรตรงกันข้ามระหว่างเริ่มต้น-สิ้นสุด ด้วยเช่นกัน
ฉากย้อนอดีต (Flashback) ครั้งเดียวของหนัง Hari ครุ่นนึกถึงแฟนสาวที่เพิ่งเลิกรา เอาจริงๆผมว่าไม่จำเป็นต้องใส่มาเลยนะ เพราะผู้ชมสามารถคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา และพอไม่มีตัวละครอื่นที่มีฉากย้อนอดีต นั่นทำให้หนังขาดความสมดุลแบบแปลกๆ
ซึ่งเหตุผลที่ผมครุ่นคิดว่า ผู้กำกับ Ray ใส่ฉากย้อนอดีตนี้เข้ามา ก็เพื่อแนะนำตัวละครที่มัวแต่นอนหลับฝัน ให้ผู้ชมได้เกิดความเข้าใจโดยทันทีว่าเป็นบุคคลเช่นไร (ตัวละครอื่นไม่ได้นอนหลับระหว่างเดินทาง เลยไม่จำเป็นต้องฉากย้อนอดีตหวนระลึกความทรงจำ)
ผู้กำกับ Ray ถือว่าฉากเล่นเกมความทรงจำนี้ คือ Sequence ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตตนเอง ซึ่งชื่อบุคคลตัวละครเอ่ยมา ล้วนสะท้อนถึงรสนิยม ความชื่นชอบ สนใจของพวกเขาทั้งหมด
– Jaya เอ่ยถึง Rabindranath Tagore (1861 – 1941) นักปราชญ์ นักเขียน นักกวี สัญชาติเบงกาลี ยังเป็นปู่ของ Sharmila Tagore (และไอดอลผู้กำกับ Ray)
– Sanjoy เอ่ยถึง Karl Marx และเหมาเจ๋อตุง ต่างเป็นผู้นำระบอบสังคมนิยม เน้นความเสมอภาคเท่าเทียมในสังคม ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น
– Aparna เอ่ยถึง Cleopatra (คงจะเปรียบเทียบความงาม และเล่ห์เหลี่ยมเข้ากับตนเอง), Don Brandman (นักกีฬาคริกเก็ตชาวออสเตรเลีย ได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่ตลอดกาล), Robert F. Kennedy น้องชายของปธน. John F. Kennedy ถูกลอบสังหารเหมือนพี่ 5 ปีถัดมา, และจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส
– Shekhar เอ่ยถึง Atulya Ghosh (1904 – 1968) นักการเมืองชาวเบงกาลี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่ชาญฉลาด ซื่อสัตย์ ผู้จัดงานทางการเมืองยอดเยี่ยมที่สุด
– Hari เอ่ยถึง Helen of Troy เลื่องลือชาเรื่องงาม หญิงสาวผู้เป็นชนวนศึกในสงครามเมืองทรอย
– Ashim เอ่ยถึง Shakespere (วินาทีนั้นทำให้ Aparna เงยหน้าขึ้นมอง เพราะเขาเคยเอ่ยถึง Rome & Juliet), Rani Rashmoni (1793 – 1861) ผู้ก่อตั้งวิหาร Dakshineswar Kali Temple, Teckchand Thakur (1818 – 1883) นักเขียนสัญชาติชาวเบงกาลี, Mumtaz Mahal จักรพรรดินีแห่งอินเดีย ราชวงศ์โมกุล หลังจากสวรรคต พระสวามี Shah Jahan สร้าง Taj Maha ให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งรัก
พูดถึงฉากปิคนิค มักทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ Partie de campagne (1936) ของผู้กำกับ Jean Renoir ที่เป็นเป็นแรงบันดาลใจให้หนังเรื่องนี้ รวมไปถึง Kapurush (1965) ด้วยนะ
นี่เองทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า
– Days and Nights ก็คือจิตใจมนุษย์ที่ผันแปรเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา
– Forest ดินแดนเปรียบเสมือนจิตสำนึก สันชาติญาณ สะท้อนความเป็นมนุษย์ที่หลบซ่อนเร้นอยู่ภายในทุกคน
Days and Nights in the Forest จึงคือเรื่องราวการผจญภัย เพื่อเผชิญหน้ากับด้านมืด-ด้านสว่าง จิตสำนึก-สันชาตญาณ ของตัวตนเอง เพื่อเรียนรู้จัก ทำความเข้าใจ ถ้าค้นพบสิ่งผิดพลาด น่าอับอายขายขี้หน้า ก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ตนเองสามารถแสดงออกในสิ่งถูกต้องเหมาะสมควร ในกาลต่อไปได้
สำหรับผู้กำกับ Ray ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนการ ‘ค้นหาอัตลักษณ์’ ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวละคร ตัวเขาเอง ยังรวมไปถึงชนชาวอินเดีย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นพานผ่านช่วงเวลาแห่งการแบ่งแยก ได้รับอิทธิพลมากมายจากชาติตะวันตก แล้วเราจะหลงเหลืออะไรธำรงไว้ซึ่งความเป็นภารตะ
“People in India kept saying: What is it about, where is the story, the theme?. . . . And the film is about so many things, that’s the trouble. People want just one theme, which they can hold in their hands”.
– Satyajit Ray
แต่พอส่งออกฉายต่างประเทศยังเทศกาลหนังเมือง Berlin แม้ไม่ได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือกลับมา กลับเป็นที่ถูกอกถูกใจนักวิจารณ์ ถึงขนาดติด Top 10 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสาร Cahiers du Cinéma